ขันทีหวังเอียงหลบ เมื่อเฟิ่งสือจิ่นเดินผ่านไปแล้ว จึงยืดตัวตรง แล้วมุ่งหน้าไปที่ตำหนักอันเป็ที่ประทับของฝ่าา
ยาลับของวังหลังเป็ยาที่ถูกปรุงขึ้นอย่างลับๆ ผู้คนในวังจึงไม่กล้าพูดถึงเื่นี้สุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากหมอหลวงที่ปรุงยาเหล่านี้ให้พระสนมทั้งหลาย เพื่อเตรียมพร้อมต่อการถูกฝ่าาโปรดปรานแล้ว ยาชนิดอื่นๆ รวมไปถึงยาที่ฝ่าาต้องเสวย ล้วนถูกปรุงโดยราชครูทั้งสิ้น เมื่อเฟิ่งสือจิ่นมาส่งยา คนในวังย่อมไม่กล้าเสียมารยาทต่อนางเป็ธรรมดา
เมื่อถึงตำหนักจาวหยวน นางพบว่าพระสนมอวี๋กับซวงเอ๋อร์นั่งอยู่ในตำหนักตามลำพัง ทั้งสองเงียบขรึม ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา หญิงรับใช้ด้านนอกพูดเร่งหลายครั้ง เพราะตอนนี้ถึงเวลาที่พระสนมอวี๋ต้องอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอการโปรดปรานแล้วนั่นเอง
เฟิ่งสือจิ่นโบกมือเป็เชิงให้หญิงรับใช้ทั้งหลายถอยออกไป “ซวงเอ๋อร์จะเป็คนดูแลพระสนมอวี๋เอง วางใจเถอะ เื่พวกนี้ แค่นางคนเดียวก็ทำได้แล้ว”
ตอนที่เฟิ่งสือจิ่นเดินเข้าไปในตำหนัก พระสนมอวี๋ยังไม่ได้เตรียมตัวใดๆ ทั้งสิ้น นางดูอ่อนล้าไม่ต่างไปจากเมื่อหลายวันก่อน หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งสือจิ่นรู้ว่าร่างกายของนางไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว ต้องหลงคิดว่านางป่วยด้วยโรคร้ายแรงแน่ๆ
คนทั้งสองหยุดนิ่งราวกับรูปปั้น แม้เฟิ่งสือจิ่นจะเดินเข้ามาด้านในแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังไม่แม้แต่จะขยับร่างกาย เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว หากเดินหน้าต่อไป นอกจากจะรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว ยังจะได้ทั้งลาภยศและตำแหน่งสูงส่ง แต่หากเลือกที่จะถอยหนี เช่นนั้นก็มีแค่ตายกับตาย พวกเ้าลองไตร่ตรองดูเถิด”
ดวงตาเศร้าหมองของซวงเอ๋อร์กระตุกขึ้นเบาๆ เขาเดินเข้าไปอุ้มพระสนมอวี๋ขึ้นมา แล้วพานางไปที่ห้องอาบน้ำ ไม่นานก็มีเสียงน้ำดังออกมาจากในห้อง นอกจากนี้ ยังมีเสียงร้องไห้ของพระสนมอวี๋ดังแว่วออกมาด้วย ทั้งสองอยู่ในนั้นเป็เวลานาน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร นั่นก็ไม่ใช่เื่ของเฟิ่งสือจิ่น นางไม่อยากยุ่งกับเื่พวกนี้ จึงเดินออกมารออยู่ที่หน้าตำหนักแทน
นางมีหน้าที่แค่ช่วยให้เื่ในคืนนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเท่านั้น ส่วนเื่อื่นๆ ในวังหลวง ต่างก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย เสร็จหน้าที่ นางจะได้กลับจวนราชครูได้อย่างสบายใจเสียที
คนรับใช้มาตามอีกประมาณสองรอบ กว่าซวงเอ๋อร์จะอุ้มพระสนมอวี๋ออกมาจากห้องอาบน้ำ ทั้งสองร่างกายเปียกปอน หยดน้ำบนร่างของพระสนมอวี๋มีสีใสราวกับแก้วมณี ขับให้ผิวพรรณของนางดูเปล่งปลั่งและชุ่มชื่น ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ ซวงเอ๋อร์สวมชุดคลุมบางๆ ให้นาง ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มพระสนมอวี๋ไปนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อทำเสร็จจึงเรียกเฟิ่งสือจิ่นเข้ามา
ต่อจากนั้น เฟิ่งสือจิ่นยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบ นางดูซวงเอ๋อร์เช็ดผมให้พระสนมอวี๋จนแห้ง จากนั้นก็เริ่มเขียนคิ้ว และประโคมเครื่องสำอางบางๆ ลงบนใบหน้าของพระสนมอย่างช่ำชอง ระหว่างนั้น ใบหน้าสวยๆ ของพระสนมอวี๋ไม่เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ผิวพรรณที่เคยหมองหม่นเปล่งปลั่งขึ้นมาได้ด้วยฝีมือของซวงเอ๋อร์ พระสนมอวี๋ดูงดงาม อ่อนโยน และยั่วยวนกว่าเดิมหลายเท่า แก้มที่เคยซีดก็เปลี่ยนเป็อมชมพูระเรื่อ
เฟิ่งสือจิ่นอดนึกชื่นชมซวงเอ๋อร์ไม่ได้ ประโคมโฉมหญิงที่รักจนงดงามเช่นนี้ เพื่อส่งนางไปที่เตียงของชายอื่น ช่างเป็คนที่มีจิตใจกว้างขวางเสียจริง
เมื่อเตรียมการพร้อมแล้ว ซวงเอ๋อร์ก็ย่อตัวลงไปนั่งเบื้องหน้าพระสนมอวี๋ เขาจูบนิ้วมือทั้งสิบของคนรักด้วยความเคารพและจริงใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้ง “แค่ผ่านคืนนี้ไปให้ได้ พวกเราสองคนก็จะได้อยู่ด้วยกันทุกวันทุกคืน อยู่คู่กันตลอดไป แต่หากเ้ารู้สึกเ็ปจนทนไม่ไหว...” เขาเผยรอยยิ้มที่ขมขื่นแต่ก็จนปัญญาออกมา “เช่นนั้นก็คิดเสียว่าเขาเป็ข้าเถิด ข้าไม่ถือสาหรอก”
พระสนมอวี๋ขอบตาแดงก่ำ ซวงเอ๋อร์เช็ดคราบน้ำตาที่ขอบตาของนางเบาๆ “อย่าร้องไปเลย เ้ายิ่งร้อง ก็ยิ่งทำให้ข้าดูไร้ประโยชน์มากขึ้น ในเมื่อพวกเราหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เช่นนั้น ก็จงยอมรับมันเสียเถิด ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะอยู่เคียงข้างเ้า และรักเ้าไปตลอดชีวิตของข้า”
เฟิ่งสือจิ่นเดินเข้าไปใกล้ นางเปิดกล่องเล็กๆ ในมือออก ในนั้นมียาวางอยู่เม็ดหนึ่ง “แต่ก่อนอื่น คืนนี้ เ้าต้องทำให้ฮ่องเต้เฒ่าคนนั้นพึงพอใจเสียก่อน พวกเ้าถึงจะมีโอกาสอยู่เคียงคู่กันได้ กินยาเม็ดนี้เข้าไป เมื่อยาออกฤทธิ์ ทุกคนที่เ้าเห็นจะมีหน้าตาเหมือนคนที่เ้ารัก แบบนั้น จะได้ไม่เ็ปทรมานมากนัก ยังมีอีกเื่ เมื่อเสร็จกิจ เ้าต้องกัดนิ้วของตัวเอง แล้วนำเืไปป้ายผ้าปูบนเตียงให้เสร็จก่อนจะมีคนเข้าไปตรวจสอบ หากทำได้ ย่อมไม่มีปัญหาอะไร” เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยเสียงราบเรียบ
ซวงเอ๋อร์เม้มปากแน่น คล้ายกำลังอดกลั้นกับบางสิ่งอย่างสุดความสามารถ ท้ายที่สุด พระสนมอวี๋ก็กินยาเม็ดนั้นเข้าไปทั้งน้ำตา เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้น “ข้ารักษาสัจจะเสมอ ทางฝั่งของฮ่องเต้ ข้าเตรียมการไว้แล้ว พวกเ้าไม่ต้องเป็ห่วงอะไรทั้งนั้น หากเตรียมตัวเสร็จแล้วละก็ ข้าจะเรียกคนเข้ามาเดี๋ยวนี้เลย”
คนรับใช้จากวังของฮ่องเต้เดินเข้ามาในตำหนัก พวกเขาอุ้มพระสนมอวี๋ที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มออกไป โดยมีเฟิ่งสือจิ่นกับซวงเอ๋อร์เดินตามไปติดๆ ซวงเอ๋อร์เป็คนรับใช้คนสนิทของพระสนมอวี๋ ย่อมต้องตามไปดูแลรับใช้เ้านายเป็ธรรมดา แต่กับเฟิ่งสือจิ่น นางไม่มีเหตุผลให้ตามไปเลยสักนิด แต่หากไม่ไปก็เกรงว่าซวงเอ๋อร์ที่เป็ชายเืร้อนจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนสร้างเื่ที่ใหญ่โตจนไม่อาจแก้ไขได้อีก ถ้าเป็เช่นนั้นจริง สิ่งที่ทำมาทั้งหมดย่อมสูญเปล่า
เหตุนี้ เฟิ่งสือจิ่นจึงอ้างด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นสักเท่าไร นางบอกว่าพระสนมอวี๋เพิ่งหายป่วย นางเป็ห่วง เลยอยากตามไปรออยู่หน้าตำหนัก หากเกิดอะไรขึ้นจะได้เข้าไปช่วยได้ทัน
เป็ข้ออ้างที่มีเหตุผล ทว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าใด ยังดีที่ขันทีหวังเปิดทางให้ นางจึงได้รับอนุญาตให้ตามไปด้วย
ในสายตาของเฟิ่งสือจิ่น ทุกสิ่งในตำหนักของฮ่องเต้ ไม่เว้นแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า ต่างก็ชวนให้สะอิดสะเอียนเป็อย่างมาก นอกตำหนักมีคนรับใช้เฝ้าอยู่ไม่น้อย ทว่าภายในตำหนักกลับมีคนเฝ้าอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น พระสนมอวี๋ถูกยกเข้าไปในห้องบรรทมของฮ่องเต้โดยตรง ไม่นาน คนรับใช้ทั้งหลายก็ถอยออกมานอกตำหนักจนหมด เหลือแค่เฟิ่งสือจิ่นกับซวงเอ๋อร์เท่านั้นที่ยังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง
เดิมที ขันทีหวังก็ควรต้องเฝ้าอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับพูดขึ้น “ขันทีหวัง ท่านไปพักผ่อนเถอะ พวกเราจะดูแลทางนี้เอง ท่านเองก็เหนื่อยมามากแล้ว”
ขันทีหวังมีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมจากไปแต่โดยดี เขาเป็ขันที ยืนเฝ้าขณะฝ่าาโปรดปรานพระสนมเช่นนี้ ย่อมลำบากใจเป็ธรรมดา
สุดท้าย หน้าห้องบรรทมก็เหลือแค่เฟิ่งสือจิ่นกับซวงเอ๋อร์ เบื้องบนเป็จันทราสีขาวสะอาด รอบด้านมีโคมไฟจุดให้แสงสว่าง สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน
ทว่าราตรีนี้ กลับไม่อาจเงียบสงบได้อย่างแท้จริง
เฟิ่งสือจิ่นนั่งลงบนขั้นบันไดที่มีแสงจันทร์ทอดส่อง นางแหงนหน้ามองซวงเอ๋อร์ที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าประตูแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นมือไปดึงชายเสื้อของเขาเบาๆ “ข้าว่าเ้าทำใจเย็นๆ แล้วมานั่งรออยู่ตรงนี้จะดีกว่า”
ซวงเอ๋อร์ปรายตามองนางแวบหนึ่ง เขาพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกอย่างสุดชีวิต “เ้าคิดว่าข้ามีอารมณ์มานั่งรออย่างใจเย็นหรือไง?”
เฟิ่งสือจิ่นถามกลับ “หากไม่ใช่แบบนั้น แล้วเ้ามาที่นี่ทำไม?” ซวงเอ๋อร์ชะงักอึ้งเพราะคำถามนี้ เฟิ่งสือจิ่นยันข้อศอกลงบนหัวเข่า แล้วยกมือเท้าคาง “หากสงบใจไม่ได้ ทำไมต้องมาที่นี่ด้วย เ้าควรจะไปเสียั้แ่เมื่อครู่ถึงจะถูก”
ซวงเอ๋อร์เม้มปากแน่น เขาหงุดหงิดมากพอแล้ว ยังต้องมาฟังคำประชดแดกดันจากเฟิ่งสือจิ่นอีก วินาทีนั้น เขาโมโหจนแทบจะะเิอยู่แล้ว ทว่ายังไม่ทันที่จะได้โวยวายออกมา เฟิ่งสือจิ่นก็หรี่ตาลง แล้วพูดขึ้น “มาคิดถึงเื่ในอนาคตดีกว่า”
ซวงเอ๋อร์ชะงักอึ้งลงอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ ทั้งสองจมเข้าสู่ความเงียบงัน ต่างก็กำลังคิดเื่ของตนเองในใจ
ห้องบรรทมมีไฟส่องสว่าง แสงที่เล็ดลอดออกมาจากซอกประตู ย้อมให้แสงจันทร์สีขาวขุ่นมัวลงเล็กน้อย เพียงไม่นานก็เริ่มมีเสียงดังออกมาจากในตำหนัก เสียงนั้นเริ่มจากเบาในตอนแรก และค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป แม้ไม่อยากได้ยิน เสียงนั้นก็ยังดังลอดเข้าไปในแก้วหูอยู่ดี
ซวงเอ๋อร์นั่งอยู่ด้านนอก เขาเกร็งไปทั้งตัว เส้นเืที่ใบหน้าก็บวมปูดออกมาให้เห็น
ยาจากจวนราชครูย่อมเป็ยาชั้นดีซึ่งมีฤทธิ์รุนแรงเป็ธรรมดา หลังกินยาปลุกอารมณ์เข้าไป แม้พระสนมอวี๋จะไม่เต็มใจเพียงใด สุดท้ายก็ยังจมดิ่งไปกับมันอยู่ดี มีเพียงให้นางดื่มด่ำกับการร่วมรักในครั้งนี้อย่างแท้จริง ฮ่องเต้จึงจะพึงพอใจ และไม่คิดสงสัยเื่อื่นๆ อีก