จางกุ้ยฮัวยิ้มและกล่าวว่า “ไม่รีบร้อน ท่านย่าหวงบอกแล้ว ต่อไปจะพาแม่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยๆ แม่จะค่อยๆ ถามคนอื่น เช่นนี้จะได้มีแผนในใจและรู้ว่าควรเตรียมอะไรให้พวกเ้าบ้าง”
ในอดีตตอนที่ยังไม่มีเงินจึงไม่พิธีรีตองอะไรมากมาย เพียงแค่เป็ชายหนุ่มที่ถูไถไปได้และเหมาะสมกันก็เป็พอ
แต่หลังจากที่ครอบครัวของนางร่ำรวย จางกุ้ยฮัวก็รู้สึกว่ามีเื่กังวลใจเพิ่มมากขึ้น
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ในเมื่อต่อไปต้องไปเยี่ยมเยียนฮูหยินเซียงเซินทั้งหลาย ข้างกายก็ต้องมีบ่าวรับใช้ติดตามด้วย”
หลิวชิวเซียงที่อยู่ข้างๆ แอบดีใจ ในที่สุดนางก็จะมีเด็กรับใช้ปรนนิบัติแล้ว ฮึ ดูสิว่าอาเล็กยังจะกล้าอวดดีต่อหน้านางอีกหรือไม่
มีเด็กรับใช้แล้วอย่างไร น้องรองบอกว่า พวกนางสองพี่น้องจะมีบ่าวคนละสองคน คนหนึ่งช่วยทุบหลัง อีกคนหนึ่งช่วยนวดเท้า ให้อาเล็กอิจฉาตาร้อนจนจะมีโรคตา
“ท่านแม่ ท่านแม่ พวกเราจะซื้อบ่าวรับใช้จริงหรือ?”
จางกุ้ยฮัวยิ้มจนหุบไม่ลง และเอ่ยอย่างแข็งขัน “ต้องซื้อสิ”
หลังจากนั้นไม่กี่วัน จางกุ้ยฮัวก็นัดกับท่านย่าหวงเพื่อไปหานายหน้าและซื้อเด็กรับใช้กับแม่เฒ่า
รุ่งเช้า ดวงอาทิตย์ผงาดขึ้นสูง นกน้อยร้องจิ๊บๆ ได้ยินแล้วสร้างความสุขสันต์แก่หัวใจคนได้อย่างดี
หลิวเต้าเซียงยิ้มตาพริ้มขณะช่วยที่บ้านตากเสื้อผ้า ส่วนหลิวชิวเซียงเอ่ยกับนางว่า “เฮ้อ น้องรอง เ้าคิดว่าท่านแม่จะช่วยเราซื้อเด็กรับใช้แบบไหนมา”
“ข้าไม่ชอบคนที่จิตใจคดเคี้ยว”
“อืม ข้าคิดว่าถึงตอนนั้นมีเด็กรับใช้สองคน อาเล็กเรามีแค่คนเดียว เ้าว่านางจะอิจฉาตาร้อนหรือไม่?”
“รอเมื่อเด็กรับใช้สองคนของข้ากลับมา ข้าจะจับพวกนางแต่งตัวสวยๆ แล้วพาไปเจอท่านย่ากับอาเล็ก ให้พวกนางอิจฉาจนอยากจะบ้าตาย”
“ใช่สิ บ้านเราคงไม่มีที่พอให้อยู่ โอ๊ย ท่านแม่คงไม่ได้จะซื้อกลับมาทั้งหมดทีเดียวหรอกนะ แล้วจะพักที่ไหนกัน?”
......
ใบหน้าน้อยๆ ของหลิวชิวเซียงยิ่งแดงระเรื่อเพราะความสุข ส่วนหลิวเต้าเซียงกระตุกเสื้อที่ตากอยู่บนคานไม้ไผ่แล้วมองดูพี่สาวที่กำลังเพ้อ จึงเม้มปากยิ้ม “ไม่ต้องกังวล หากว่าท่านแม่ซื้อกลับมาทีเดียวจริง อย่างมากข้าก็ไปนอนกับท่านพี่ ยกห้องเราให้เด็กรับใช้นอนกัน ส่วนท่านยายคือผู้ใหญ่ ก็ให้ท่านอยู่กับน้องชายน้องสาวในห้องตะวันออก เช่นนี้ห้องปีกตะวันตกก็ว่างแล้ว”
ถึงอย่างไรหลิวชุนเซียงก็อายุเพียงสามขวบ
หลิวชิวเซียงคิดว่าเช่นนี้มีเหตุผล จึงไม่กังวลเื่พื้นที่จะไม่พออีก
สองพี่น้องพูดคุยกันแล้วยิ้มอย่างเริงร่า กระทั่งตากเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยจึงได้ยินเสียงของเฉินซื่อเรียกให้ไปทานอาหารเช้า
หลิวเต้าเซียงหยิบชามขึ้นมาและกวนเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยตะเกียบอย่างเคย มีไข่ดาววางโปะอยู่บนชาม
“ท่านยาย เนื้อหมูในบ้านยังพอกินหรือไม่?”
หากไม่เพียงพอ เดี๋ยวนางกับพี่สาวจะออกไปซื้อที่ปากทางหมู่บ้านสักสองชั่ง
“เนื้อหมูตอนกลางวันเพียงพอแล้ว แต่อยากกินพวกปลาสดใหม่ เพียงแต่น่าเสียดายที่อากาศยังหนาว ปลาจึงไม่กินเหยื่อ”
เฉินซื่อรู้สึกเสียดาย หากว่ามีปลาสดใหม่ เช่นนี้นางก็สามารถทำบะหมี่น้ำแกงปลาให้หลานสาวกิน
“นี่ พวกเ้ากินอาหารเช้าหรือ กินดีเชียวนะ”
ถัดจากนั้นที่ห้องครัวก็มืด มีเงาร่างชุดสีเขียวเงินเดินเข้ามา
คนที่มาคือชุ่ยหลิวที่เป็อนุของหลิวเหรินกุ้ย
ชุ่ยหลิวจ้องมองไปที่ชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อหมูของหลิวเต้าเซียงและกลืนน้ำลาย ในอากาศนั้นคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมอันโอชะของน้ำมันหมู ริมฝีปากเล็กของเด็กสาวบนโต๊ะเปื้อนไปด้วยน้ำมันที่แวววาว ส่วนหลิวชุนเซียงก่อนหน้านี้มีเฉินซื่อกับจางกุ้ยฮัวช่วยป้อนข้าวให้แล้ว ขณะนี้นางกำลังใช้ตะเกียบฝึกกินก๋วยเตี๋ยว ปรากฏว่าเข้าปากไปได้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือกว่าครึ่งก็หล่นลงบนโต๊ะ
ชุ่ยหลิวแอบจิกกัดในใจ นางเด็กล้างผลาญ!
เฉินซื่อดูแคลนอนุ หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ ภรรยาเอกที่ถูกต้องตามกาลเทศะ ไม่ว่าจะยากดีมีจน มักจะไม่ใยดีกับพวกอนุที่แย่งผู้ชายของตน
นางไม่แม้แต่จะเหลียวมองด้วยซ้ำ เพียงแต่เอ่ยกับหลิวชุนเซียง “หลานรัก ระวังร้อน ไม่ต้องรีบ หากว่าไม่พอยายค่อยต้มให้เ้าใหม่”
หลิวชุนเซียงกินจนหน้ามันเยิ้มและพยักหน้าอย่างแรง
ชุ่ยหลิวแอบดึงผ้าเช็ดหน้า แม้ว่านางจะมีสินเ้าสาวหลายไร่ แต่ลำพังของแค่นั้นก็พอแค่ซื้อสถานะคู่ครองเท่านั้น แม้ว่าในมือจะพอมีทรัพย์สินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าแข็งข้อเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวฉีซื่อ นางนึกถึงเื่ในหลายวันมานี้บนโต๊ะอาหาร หากไม่ใช่ผักดองก็คือผักเค็ม กระทั่งเศษเนื้อก็ไม่มี ทั้งที่จริงหากว่าไม่มีเนื้อก็ควรใส่น้ำมันให้มากหน่อย แต่นี่น้ำมันก็น้อย พอตอนนี้ได้กลิ่นน้ำมันหมู นางจึงแอบกลืนน้ำลาย
ช่างหิวโหยนัก!
เฉินซื่อไม่ได้ถามนางว่ามาด้วยเื่อะไร ส่วนนางเองก็ไม่รีบร้อนที่จะพูด จึงหาเก้าอี้มานั่งเงียบๆ หากว่าสายตาของนางไม่เอาแต่จดจ้องไปที่เส้นก๋วยเตี๋ยวในชามก็คงจะดีกว่านี้
หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ชุ่ยหลิวก็มองดูเฉินซื่อเทน้ำแกงที่ยังมีน้ำมันหมูลอยอยู่เต็มไปหมดทิ้งไปต่อหน้าต่อตา
หากสิ่งนี้อยู่ในบ้านเดิม หลิวฉีซื่อต้องให้คนเทน้ำแกงกลับเข้าไปในหม้อ แล้วนำไปแช่ในบ่อน้ำเพื่อให้น้ำมันชั้นบนแข็งตัว จากนั้นค่อยเอาออกมาทำกับข้าวอีก
แน่นอนว่าเื่นั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีก๋วยเตี่ยวให้กิน อีกอย่างหลิวฉีซี่อเองก็ต้องอนุญาตให้ใช้น้ำมันเยอะอีกด้วย
เมื่อนึกถึงเื่นี้ นางก็อดที่จะขุ่นเคืองในใจไม่ได้ ครอบครัวสามทั้งกินดีอยู่ดี แต่กลับไม่เห็นแก่สายใยเดิม ไม่รู้จักแบ่งเนื้อหมูไปให้บ้านเดิมบ้าง
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ก็กำลังคิดจะพาหลิวชุนเซียงออกไปเดินเล่นด้านนอก พร้อมกับลองคิดดูว่าบ้านหลังใหม่จะสร้างอย่างไรดี
ถึงอย่างไรก็ต้องสร้างให้ถูกใจทุกคนในครอบครัว
สุดท้ายชุ่ยหลิวก็อดไม่ได้ เมื่อเห็นว่านางตัวดีไม่กี่คนกำลังจะจากไป จึงเอ่ย “คือว่า หลานสาวเต้าเซียง พวกเ้ารอก่อน”
ใน่ปีใหม่ หลิวฉีซื่ออาศัยของขวัญประจำปีที่หลิวซานกุ้ยมอบให้ประทังชีวิต แม้ว่าเขาจะมอบอาหารคาวสดให้มากมายเพียงใด แต่ก็ย่อมมีวันที่กินหมด ไม่ว่าหลิวฉีซื่อจะประหยัดอย่างไร แต่ครอบครัวใหญ่ที่เบียดเสียดอยู่ในบ้านเดิมเช่นนี้...
ชุ่ยหลิวไม่ใช่ซุนซื่อ นางจึงดูออกว่าคนในครอบครัวตระกูลหลิว หากหลิวซานกุ้ยกับจางกุ้ยฮัวไม่อยู่ คนที่สามารถเป็ผู้นำได้ก็คือหลิวเต้าซียงผู้ที่ไม่ขึ้นกับ์ฟ้าดินคนนี้
หลิวเต้าเซียงจ้องนางด้วยสายตาคมกริบ ทำให้ชุ่ยหลิวย้อนนึกถึงเมื่อสี่ปีที่แล้ว เคยได้ยินว่าหลิวเต้าเซียงถือมีดผ่าฟืนไล่ฟันซุนซื่อ...
ชุ่ยหลิวขนลุกไปทั้งตัว นางเด็กนี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“มีอะไร?” หลิวเต้าเซียงถามนางอย่างรำคาญ
จู่ๆ ชุ่ยหลิวก็รู้สึกว่ายากที่จะเอ่ยปาก “คือว่า คือว่า...”
“ขืนเ้ายังไม่พูด ข้าจะไปแล้วนะ” หลิวเต้าเซียงไม่มีความอดทนมานั่งเล่นทายคำ!
ชุ่ยหลิวจึงรีบพูดว่า “ท่านย่าพวกเ้าส่งข้ามา”
หมายความว่ามันไม่เกี่ยวกับนาง
ที่แท้ ตอนที่หลิวฉีซื่อแยกครอบครัวให้บรรดาลูกชายแล้ว ก็ได้ซื้อที่นาดีสิบไร่ในหมู่บ้านสามสิบลี้และที่ดินแห้งสิบไร่
แต่ว่าหลิววั่งกุ้ยยังเล่าเรียนอยู่ นี่จึงเป็หลุมเงินที่ไร้ก้นบึ้ง อีกทั้งไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากกลับมาจากตัวจังหวัดปีที่แล้ว หลิวฉีซื่อก็หน้าด้านไปของานเย็บปักกับบรรดาฮูหยินเซียงเซิน คนเ่าั้ก็แค่ให้นางสอนงานเย็บปักกับหญิงรับใช้ที่ไม่สำคัญหรือไม่ก็ญาติที่มาเยี่ยมเท่านั้น แต่กลับไม่ให้นางสอนบุตรสาวที่รักใคร่เอ็นดูและหวงแหนเ่าั้
แน่นอนว่า เงินในมือของนางน้อยลงกว่าเดิมมากนัก
นี่ยังไม่พ้นต้นเดือนสอง ที่บ้านก็เริ่มขาดแคลนเสบียงอาหาร
ในอดีตครอบครัวของหลิวเต้าเซียงเมื่อได้เนื้อมาก็มักจะส่งไปให้บ้าง แต่ในปีนี้ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยังคงเงียบหาย
หลิวฉีซื่อโกรธในใจอยู่บ้าง แต่ไม่ยอมมาขอกับหลิวซานกุ้ยด้วยตนเอง จึงส่งชุ่ยหลิวที่ไม่มีสถานะที่สุดมา
หลิวเต้าเซียงแสยะยิ้ม “ย่าข้าหรือ?”
ั้แ่วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสองปีที่แล้ว หลังจากที่ทะเลาะกันและจบไม่ดี หลิวซานกุ้ยก็ไม่ได้พาพวกนางไปที่บ้านเดิมอีก
ชุ่ยหลิวตอบว่า “ใช่ ท่านย่าพวกเ้าส่งข้ามา บอกว่าให้พวกเ้าเอาไขมันสิบห้าชั่ง หมูสามชั้นสิบห้าชั่งส่งไปด้วย”
ตอนนั้นหลิวฉีซื่อสั่งนาง ยังบอกอีกว่า หมูสามชั้นสิบห้าชั่งหากใช้เกลือหมักไว้ สามวันห้าวันกินหนึ่งครั้ง ก็น่าจะพอฝืนกินไปได้หนึ่งเดือน
ชุ่ยหลิวไม่เข้าใจจริงๆ เห็นได้ชัดว่าหลิวฉีซื่อมีเงินจำนวนมาก แต่เหตุใด...
นางไม่รู้เื่ที่หลิวฉีซื่อได้ซื้อบ้านจวงจื่อภายใต้การยุยงของบุตรชายคนโต และคิดเพียงแต่ว่า ขอเพียงรัดเข็มขัดผ่านพ้นไม่กี่ปีนี้ไปให้ได้ ต่อไปนางก็จะกลายเป็เ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินซื่อก็อยากไปด่าหลิวฉีซื่อถึงที่ว่าหน้าไม่อาย แต่นางก็ไม่มีสถานะมากพอ ถึงอย่างไรก็เป็บ้านบุตรเขย อีกทั้งบุตรเขยก็เป็บุตรชายแท้ๆ ของหลิวฉีซื่อ
นางเพียงขยับปากและถอนหายใจ แต่ก็กล้ำกลืนฝืนทนไม่ได้ จึงแอบส่ายหน้าให้หลิวเต้าเซียง หวังเพียงว่าหลานรักคนนี้จะไม่ตอบรับพวกปลิงดูดเืเ่าั้
หัวใจของหลิวเต้าเซียงรู้สึกอบอุ่น แล้วหันไปส่งสายตาวางใจได้ให้กับเฉินซื่อ แล้วจึงขยับริมฝีปากเล็กเอ่ยว่า “น้าชุ่ยหลิว เ้ากลับไปถามท่านย่าข้าด้วยว่า ตกลงเื่แยกครอบครัวนี่แยกอย่างไรกัน!”
ใบหน้าของชุ่ยหลิวแดงระเรื่อ ช่างน่าอาย นางเองก็รู้สึกว่าเื่ที่แม่สามีทำนี้ผิดลู่ทางนัก
“ข้าเห็นว่าเงินในมือย่าเ้าขัดสนเล็กน้อย”
หลิวเต้าเซียงยกยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยถาม “ในเมื่อนางขัดสน ก็อย่าทนเลี้ยงคนมากมายไปเปล่าๆ เ้าเป็คนในครอบครัวลุงรอง ลุงรองมีเงินในมือหรือไม่ เ้าจะไม่รู้หรือ อีกอย่างเื่อะไรครอบครัวข้าต้องไปเลี้ยงคนมากมายเ่าั้? ท่านย่าข้าคงไม่ได้ลืมเื่ที่เกิดขึ้นในวันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสองปีที่แล้วหรอกนะ”
วางแผนกับเงินในครอบครัวนางถึงปานนั้น ยังคิดว่าเงินในบ้านไม่พอใช้ เอะอะจะมาขอกับครอบครัวนาง เื่อะไรนางต้องให้!
“หลานสาวชิวเซียง เ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมหลานเต้าเซียงหน่อยเถิด!”
หลิวเต้าเซียงหงุดหงิดเต็มทนที่ชุ่ยหลิวเรียกว่าหลานสาว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม “ใครคือหลานสาวเ้า ป้ารองข้าคือแม่ของพี่จูเอ๋อร์ต่างหาก”
ไม่ใช่อนุที่ยั่วยวนผู้ชายอย่างเ้า
สำหรับหลิวเต้าเซียงที่ข้ามมิติมาจากยุคปัจจุบัน ถูกหล่อเลี้ยงเื่สามีภรรยาเดียวมาั้แ่เด็ก สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่สุดก็คือการที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน
ใบหน้าของชุ่ยหลิวซีดเผือด นางรู้ว่านางตัวดีตรงหน้านั้นรับมือไม่ง่าย
จึงแอบจดบัญชีแค้นของหลิวเต้าเซียงไว้ ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เ้าทนได้หรือ บ้านเ้ามีเนื้อปลากินทุกวัน แต่บ้านย่าเ้ากลับกินแต่ผักเค็มทุกวัน”
เื่ที่หลิวฉีซื่อทั้งตระหนี่และใจแคบ หลิวเต้าเซียงนั้นรู้ดีที่สุด แต่แล้วอย่างไร?!
นางมองไปที่ชุ่ยหลิวอย่างจริงจัง “ข้าอดทนได้ดีเลยล่ะ นางไม่ใช่พ่อแม่ข้าสักหน่อย เหตุใดต้องกตัญญูตอบแทนตลอด แน่นอนว่า หากนางเป็คนที่ทำอะไรมีเหตุผล ก็คงไม่ส่งเ้ามาขอข้าวของ เ้ากลับไปบอกท่านย่าว่า หากนางยังส่งคนมารังควาน ต่อไปของขวัญประจำปีที่ส่งไปก็จะอิงตามกฎระเบียบของหมู่บ้านสามสิบลี้”
กฎของหมู่บ้านสามสิบลี้คืออะไร?
ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่ขมขื่นยากลำบาก เวลาไปเยี่ยมเยียนญาติสหาย แม้ว่าจะตอบแทนบิดามารดาก็ใช้เพียงแค่แป้งขาวห้าชั่ง เนื้อหมูชิ้นเดียวที่มีน้ำหนักสองชั่งบ้าง สามสี่ชั่งบ้าง อย่างมากก็ไม่เกินห้าชั่ง ที่เหลือก็จะเป็ผักแห้ง ผักเค็มต่างๆ
-----