เมื่อเย่จื่อมู่เอ่ยจบอย่างสุขุม แสร้งทำเป็ยืดเอวบิดคออย่างเบื่อหน่าย แล้วนอนลงอย่างสบายๆ
การกระทำรวดเดียว ใจไม่ตื่นตระหนก ร่างกายไม่สั่น ทุกอย่างเป็ไปตามธรรมชาติ
ในตอนท้าย เขามีรอยยิ้มน่ามอง บุ้ยปากไปที่มู่จื่อหลิงเพื่อส่งสัญญาณให้นางดำเนินการต่อ
ดวงตาของมู่จื่อหลิงหรี่ลงเล็กน้อย มองไปที่เขาอย่างสงสัย รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และพึมพำกับตัวเอง
พ่อค้าหน้าเืคนนี้คงไม่ได้สมองกลับกระมัง? พวกเขามาเพื่อขโมย ไม่ใช่เพื่อเล่น เหตุใดชายผู้นี้จึงสบายใจได้เล่า
เป็ไปได้หรือไม่ที่ยามปกติเขาทำสิ่งเลวร้ายมามาก ตอนนี้มันกลายเป็นิสัยไปแล้ว? ท่าทางสบายๆ นี้น่าใเกินไปหรือไม่?
หากเย่จื่อมู่รู้ว่ามู่จื่อหลิงกำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้ ไม่รู้ว่าจะเรียกนางว่ายายเด็กใจร้ายหรือไม่
ที่นี่คือวังหลวง เขาย่อมรู้ดีว่าการคุ้มกันนั้นแ่าและอันตรายอย่างยิ่ง
ถ้าเขามาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พายายหนูผู้นี้มาด้วย ทำให้เขาต้องคอยตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา!
เหตุผลที่เขาทำตัวสบายๆ ก็ไม่ใช่เพราะเขากังวลว่ายายหนูคนนี้จะประหม่าเนื่องจากนางกำลังทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้เป็ครั้งแรก จึง้าเบี่ยงเบนความสนใจของนาง ดังนั้นเขาจึงทำเป็ไม่สนใจ
แม้ว่าเขาจะนอนอยู่ที่นี่ ดวงตาของเขากำลังมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อ้างว้าง แต่เขาก็ฟังอยู่ทุกทิศทุกทาง ตรวจจับการเคลื่อนไหวรอบตัวอยู่เสมอ ไม่กล้าที่จะผ่อนคลายสักนิด
เมื่อเห็นว่าเย่จื่อมู่นอนลงอีกครั้ง และกำลังไขว่ห้างสั่นขา มุมปากของมู่จื่อหลิงก็กระตุก ไม่ได้คิดมากอีกต่อไป ก้มศีรษะมองการกระทำของเสี่ยวไตกูในตำหนักทุกฝีก้าว
ในขณะที่มู่จื่อหลิงหันศีรษะไป นางก็ไม่ได้สังเกตว่า เย่จื่อมู่ที่นอนลงไปชันกายขึ้นมาทันที
คราวนี้เย่จื่อมู่ไม่ส่งเสียงความเคลื่อนไหวอีกแม้แต่น้อย
ดวงตาเฉียบคมของเขามองไปยังทิศทางหนึ่งไกลๆ ราวกับว่าเขารู้ทุกอย่างแล้ว เกิดรอยยิ้มที่น่าสนใจอยู่ที่มุมปากของเขา
ดูเหมือน...จะมาแล้วจริงๆ!
ในเมื่อมาแล้ว ตอนนี้เขาก็หมดเื่แล้ว ก่อนที่คนๆ นั้นจะมา เขาต้องจากไปโดยเร็ว
ค่ำคืนที่ยาวนาน ไม่อาจสูญเปล่าไป เขาควรจะกลับไปนอน
สุดท้ายเย่จื่อมู่ก็เหลือบไปที่มู่จื่อหลิงที่คู้ตัวอยู่อย่างระมัดระวัง ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
สาวน้อยคนนี้ไว้ใจเขามากเพียงนี้ ไม่กลัวว่าจะทิ้งเธอไว้อีกหรือ?
เอาเถิด ยามนี้เขาต้องปล่อยนางไว้จริงๆ แล้ว
หวังว่าครั้งหน้าที่เราเจอกัน ยายหนูคนนี้จะพูดดีๆ อย่าได้พ่นไฟใส่เขาทันทีที่พบหน้ากัน อย่าได้กระทืบเท้าตรงหน้าเขา
ต้องบอกว่า เย่จื่อมู่ ทำ 'สิ่งเลวร้าย' โดยไม่หน้าแดงหรือหอบ ไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย และรู้สึกดีกับตัวเองอีกด้วย
เย่จื่อมู่ดีดปลายเท้าแ่เบา และทั้งร่างก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างนั้นก็หายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่โดยทันที...
ไม่นานหลังจากที่เย่จื่อมู่จากไป เงาร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนหลังคา
เงาร่างสูงส่งนั้นค่อยๆ ร่อนลงบนหลังคา ยืนอยู่ข้างหลังมู่จื่อหลิงอย่างเงียบๆ ทุกการเคลื่อนไหวไร้สุ้มเสียง ราวกับดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงที่ม้วนงอ กลายเป็ลำแสงที่เจิดจ้าที่สุดในคืนที่มืดมิด
เห็นเพียงเขาสวมชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ ไร้สิ่งปนเปื้อน ชายเสื้อคลุมขยับไหวโดยไม่มีลม เสื้อคลุมพลิ้วโบก ไม่ธรรมดาสามัญ ปราดเปรียวดังเซียน
ดวงตาของเขาลึกราวกับสระน้ำที่เย็นะเื ใบหน้างดงามและสมบูรณ์แบบราวกับงานแกะสลัก แม้ในคืนที่มืดมิด ก็ไม่สามารถปกปิดความสูงส่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้สรรพชีวิตกลับตาลปัตร
ในเวลานี้ ดวงตาของเขาเ็า คมปลาบ เหน็บหนาวราวกับเหยี่ยวในทุ่งหญ้าที่ไร้ขอบเขต จ้องมองไปที่สตรีที่ขดตัวแนบกับกระเบื้อง
ในขณะนี้ มู่จื่อหลิงหย่อนเสี่ยวไตกูลงไปอย่างระมัดระวังโดยไม่สังเกตเห็นความแปลกประหลาดที่อยู่เื้ั
เชือกที่เธอผูกไว้กับเสี่ยวไตกูนั้นยาวมาก ไม่ถึงครู่หนึ่ง เสี่ยวไตกูก็ร่อนลงพื้นตำหนักอย่างราบรื่น ลากร่างเล็กๆ ที่เงอะงะ ค่อยๆ ไต่ไปที่ด้านข้างของฮองเฮาทีละก้าว
มู่จื่อหลิงฉวยโอกาสจากช่องว่าง ยังคงจับสังเกตความเคลื่อนไหวในตำหนักอย่างจริงจัง
ขณะที่มือปล่อยให้เสี่ยวไตกูเคลื่อนไหวอย่างอิสระก็กระซิบถามเย่จื่อมู่ "พ่อค้าหน้าเื เ้าบอกว่าเ้าร้ายกาจ ช่วยสอนข้าขี่ม้าได้หรือไม่?”
ไม่รอคำตอบ มู่จื่อหลิงก็พึมพำกับตัวเองอีกครั้ง “ไม่เรียนขี่ม้าดีกว่า วรยุทธ์เ้าดีเพียงนั้น เ้าสอนวิชาตัวเบาให้ข้าก็พอ ต่อไปเมื่อต้องเดินไกลๆ ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
มู่จื่อหลิงผู้น่าสงสารตราบจนบัดนี้ยังคงไม่รู้ว่าเย่จื่อมู่จากไปโดยไม่ร่ำลาอีกแล้ว จากไปอย่างไร้ร่องรอย และเธอกำลังจะเผชิญกับพายุที่บ้าคลั่งรุนแรง
เสียงของมู่จื่อหลิงเบายิ่งนัก นางไม่ได้พูดกับตัวเอง เพราะทุกคำทุกประโยคที่นางพูดในตอนนี้ ดังไปถึงหูของชายที่ยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างชัดเจน
ทุกคำที่เธอพูดเป็เหมือนคลื่นน้ำในบ่อน้ำที่ค่อยๆ จับตัวเป็น้ำแข็ง
ทุกคำพูด ราวกับชนวนที่นำไปสู่ความโกรธที่มองไม่เห็นอย่างรวดเร็ว
หลังจากรอเป็เวลานาน มู่จื่อหลิงเห็นว่าเย่จื่อมู่ไม่ส่งเสียง จึงถามเสียงเบา "พ่อค้าหน้าเื เป็อย่างไรบ้าง? วางใจได้ มิได้เรียนเปล่าๆ ข้าจะให้ค่าเรียนเ้า!"
ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอมองขึ้นไปรอบๆ อย่างงงงวย แต่ไม่ได้หันศีรษะไปมองข้างหลัง
เธอหดคอ ตัวสั่นขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ "พ่อค้าหน้าเื ยามนี้ดูเหมือนไม่มีลม แต่เ้ารู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหันบ้างหรือไม่!"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตอบมู่จื่อหลิงก็ยังเป็ความเงียบ
ในเวลานี้เอง มู่จื่อหลิงรู้สึกว่าผิดปกติ ผิดปกติอย่างยิ่ง
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย และจู่ๆ ลางสังหรณ์ที่เลวร้ายก็ปรากฏขึ้นในหัวใจ ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนี้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
เพราะเธอรับรู้ได้ว่ามีสายตาจับจ้องอยู่ข้างหลังนางอย่างรุนแรง ทำให้เธอรู้สึกตัวสั่นโดยปราศจากความรู้สึกหนาว
มู่จื่อหลิงชันตัวขึ้นทันที หันศีรษะไปมองอย่างรวดเร็ว “พ่อ...”
ทันทีที่ส่งเสียง เสียงของมู่จื่อหลิงก็ชะงักลงทันที
ในชั่วขณะที่หันกายกลับมา มู่จื่อหลิงก็เห็นคนผู้หนึ่ง และเธอก็ค่อยๆ มองไล่ขึ้นไปตามร่างสูง
คนคนนี้คือคนที่เธอพยายามไล่ออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจมาตลอดหลายวันนี้
หลงเซี่ยวอวี่!
ในตอนนี้ ไม่ว่านางจะเหลือเชื่อแค่ไหน ก็คงไม่โง่เขลาคิดว่าตนกำลังฝันอีก
ดวงตาของมู่จื่อหลิงกวาดไปทั่วความว่างเปล่ารอบด้าน ในใจกระจ่างขึ้นมาทันใด
ในชั่วพริบตา ในใจนางก็มีเพลิงโทสะ!
พ่อค้าหน้าเืไม่น่าเชื่อถือเกินไปแล้ว
ในเวลานี้ ถ้าไม่ก่นด่าเย่จื่อมู่เป็พันเป็หมื่นรอบ คงยากที่จะระบายความโกรธในใจ
เ้าเย่จื่อมู่สมควรตายนั่นรู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่มาแล้ว ก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
น่าชิงชัง น่าชิงชังเกินไปแล้ว!
ช่างเป็การพึ่งพาูเาูเาถล่ม พึ่งคนคนก็หนีจริงๆ!
มู่จื่อหลิงยังคงนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า นางเงยหน้าอย่างเรียบเฉย สบสายตาของหลงเซี่ยวอวี่ ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดนั้นสงบนิ่ง แต่หัวใจกลับเหมือนคลื่นที่ปั่นป่วนซัดโหม
ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ในยามนี้ดูมืดครึ้ม ดวงตาเย็นเยียบดำขลับราวกับน้ำหมึก สายตาเด็ดขาดที่คมปลาบราวกับใบมีดน้ำแข็งและน่าสะพรึงกลัวนั้นเหมือนกำลังเสียดแทงผู้คน ทำให้ผู้ที่ถูกแทงทะลุนั้นหวาดกลัว ในใจสั่นสะท้าน
ชั่วขณะหนึ่ง รอบๆ ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเหมยที่เย็นเยียบ ด้วยความรู้สึกกดข่มและทรงอำนาจอันแรงกล้า
ไอที่กดดันอย่างหนักหน่วง แทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก
เขา...กำลังโกรธ!
นี่เป็ครั้งแรกที่มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่เป็แบบนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะโกรธ จะดุดันต่อนาง แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเท่ายามนี้
หวาดกลัว!
มันคงเป็เื่โกหกถ้านางบอกว่าไม่กลัวเลย
เป็ครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับเขาแบบนี้ นางย่อมหวาดกลัว!
มู่จื่อหลิงพยายามระงับอารมณ์ที่ไม่สงบในใจ สบเข้ากับดวงตาที่เ็ามืดมนของหลงเซี่ยวอวี่อยู่นาน
กลัว จะมีประโยชน์อะไร?
ในฐานะฉีหวางเฟยเช่นนาง ควรจะชินกับความเ็าเฉยเมย และโเี้ของเขาตั้งนานแล้ว เขาก็เป็แบบนี้กับทุกคนมิใช่หรือ...ยกเว้นคนผู้นั้น
ดวงตาของมู่จื่อหลิงเฉยเมย กระจ่างใส ปราศจากความกลัว ไม่มีความรู้สึกผิดหรือขาดความมั่นใจแม้แต่น้อย
บางทีทันทีที่เธอเดินออกจากจวนฉีอ๋อง ก็คิดได้อยู่แล้วว่ากุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยจะไปรายงาน
นางกลับคาดไม่ถึงว่าความสามารถของกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยจะแข็งแกร่งเช่นนี้ รวดเร็วปานนั้น และนางไม่ได้คาดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน
นางคิดไว้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะโกรธ แต่ในยามนี้ เขาน่ากลัวกว่าที่นางคาดไว้หลายเท่า
แต่ ตอนนี้เขาโกรธ เพียงเพราะนางไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาและวิ่งออกมา
แต่เขาโกรธแล้วอย่างไรเล่า?
ต่อให้มีอีกครั้ง นางก็ยังคงคิดทุกวิถีทางเพื่อออกมา
เขาไม่อ้าปาก เธอก็ไม่ส่งเสียง!
สายตาทั้งสี่สอดประสาน เงียบงันไร้คำพูดต่อกันและกัน!
การเคลื่อนไหวรอบกายจับตัวแข็งด้วยเหตุนี้
บนหลังคาของตำหนักคุนหนิงมีเงาร่างสองร่างขาวดำ หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย เหมือนกับรูปปั้นที่แน่นิ่ง
อากาศที่จับตัวเป็น้ำแข็ง ความเงียบสงัด กลับเหมือนความเงียบก่อนการมาเยือนของพายุ
ในท้ายที่สุด มู่จื่อหลิงก็ยอมแพ้ก่อน นางหลุบตาลงเงียบๆ ยามนี้ยังคงอยู่ในวังหลวง ก่อนที่หลงเซี่ยวอวี่จะทำอย่างไรกับนาง นางต้องจัดการเื่นี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
มู่จื่อหลิงหันกลับมาโดยตรง มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ แต่เหมือนประชดประชัน และค่อยๆ หมอบลงมองเข้าไปในห้อง
ในเวลานี้ เสี่ยวไตกูก็ส่งกู่ควบคุมใจเข้าไปในปากฮองเฮาได้สำเร็จแล้ว ดวงตามันกำลังมองขึ้นไปบนหลังคา รอให้นายน้อยดึงมันขึ้นไป
มู่จื่อหลิงดึงเชือกที่ผูกไว้กับขาของเสี่ยวไตกูขึ้นมา และแก้เชือกเล็กๆ ที่ขาของมัน
เสี่ยวไตกูทำภารกิจใหญ่สำเร็จ กำลังจะขอความดีความชอบจากเ้านาย
แต่มันเห็นชายอันตรายอยู่ข้างหลังนายน้อย เป็คนที่น่าสะพรึงกลัวที่หยิบมันขึ้นมาเหวี่ยงในคราที่แล้ว
เสี่ยวไตกูอึ้งไปในพลัน สอดเข้าไปในแขนเสื้อของมู่จื่อหลิง ซ่อนตัวไว้ลึกๆ ทันที
มู่จื่อหลิงที่หันหลังให้หลงเซี่ยวอวี่ เงยใบหน้าที่ถูกความมืดปกคลุม ถอนหายใจช้าๆ กำลังจะลุกขึ้นยืน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน หลงเซี่ยวอวี่ก้าวไปข้างหน้า เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า หิ้วเข็มขัดสีดำของมู่จื่อหลิงขึ้นจากด้านหลังทันที ยกร่างของนางขึ้นมา
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะรู้ตัว เสียงของลมที่พัดเข้ามาในหูของนาง พัดแรงจนนางเจ็บแก้วหู เข็มขัดรัดรอบท้องเธอทำให้อึดอัดอย่างยิ่ง!
ในชั่วขณะหนึ่งมู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่าร่างกายตนเองเบาหวิว อ่อนปวกเปียก ร่างกายอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยสมบูรณ์ ราวกับว่าิญญาทั้งหมดของเธอกำลังจะถูกถอดออกจากร่าง
ความเร็วของวิชาตัวเบาที่หลงเซี่ยวอวี่แสดงออกมานั้นว่องไวเป็ที่สุด ผ่านไปราวกับภูตผีในคืนที่มืดมิด เท้าแทบจะไม่แตะพื้น ทุกๆ สถานที่ที่ผ่านไปเหลือเพียงเส้นเงาสายหนึ่งที่ไม่ชัดเจน
ระหว่างทาง ถึงแม้ว่ามู่จื่อหลิงจะอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง แต่ต่อให้ท้องจะอึดอัดแค่ไหน อยากจะอาเจียนแค่ไหน นางก็กัดฟันแน่น ไม่ส่งเสียงสักคำ
ไม่นานหลังจากนั้น เงาร่างของพวกเขาก็ร่อนลงด้านนอกตำหนักอวี่หาน
ทันทีที่ร่อนลง มู่จื่อหลิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้