นักบวชน้อยกินพุทราเคลือบน้ำตาลเงียบๆ จนหมด ผ่านไปอย่างว่าง่ายจนไม่เกินจินตนาการได้
แต่ตอนที่กินจนเหลือเม็ดสุดท้ายนั้น จู่ๆ ก็คว้าต้นคอของอวี๋มู่แล้วประทับรอยจูบกับเขา
ในปากมีแต่รสชาติหวานเยิ้ม ขนตาของเฟิงอวี้กระตุกเล็กน้อย เกลี่ยอยู่บนใบหน้าของอวี๋มู่ นานสักพัก ถึงงับริมฝีปากล่างของเขา ก่อนจะปล่อยมือ
แล้วเอ่ย “อวี๋มู่ ข้าอยากไปพบเสด็จแม่ที่สุสานพระราชวัง ไปกับข้าได้ไหม? ”
เขาพูดคำพูดแบบนี้ออกมา อวี๋มู่รีบเงยหน้ามองคะแนนความประทับใจเหนือศีรษะของเขา กลับเห็นว่ายังคงเป็สองแถบ ไม่มีสัญญาณของการหลอมรวม
เื่นี้ปีศาจเฟิงอวี้ก็รู้เื่อย่างนั้นหรือ?
“ได้” เขาตอบตกลง คลานขึ้นหลังเฟิงอวี้เอง จากนั้นทั้งสองก็เหาะเหินขึ้นหลังคา แล้วออกไปทางนอกเมือง
ชั่วขณะที่เหาะข้ามกำแพงเมืองสูง เฟิงอวี้เหลียวมามองแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
เขาเอ่ย “อวี๋มู่ ที่แห่งนี้เป็ที่ที่ข้ากำเนิด แต่ที่นี่กลับไม่มีใครยอมรับข้าได้แม้แต่ผู้เดียว”
อวี๋มู่ใ เอียงศีรษะไปดูเฟิงอวี้ กลับเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขา ที่แทบอ่านอารมณ์ของเขาไม่ออก
เฟิงอวี้หันหลังจากไป รวดเร็วดุจิญญา เสียงลมยามค่ำคืนพัดกระพืออยู่ข้างใบหู อวี๋มู่ได้ยินเสียงนักบวชน้อยเรียกเขาหนึ่งครั้ง
“อวี๋มู่...”
คำพูดที่เหลือถูกพัดหายไปกับเสียงลม
เขาเอ่ย “ขอโทษ”
ทำไมต้องเอ่ยคำขอโทษ
ความไม่สบายใจหนักอึ้งขึ้น อวี๋มู่แทบอยากถามออกมาตรงๆ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มถามจากตรงไหน
เขารู้สึกว่าเฟิงอวี้วันนี้นั้นดูแปลกประหลาดมาก ทำแต่เื่ที่ไม่เข้ากับบุคลิกของเขา
เพราะคำพูดของเฟิงฉี่ส่งผลกระทบกับเขาจริงๆ เขาถึงไม่ยอมพูดอย่างนั้นเหรอ?
แต่เขาก็ตัดสินใจพาตัวเองหนีมาแล้วไม่ใช่เหรอ?
ถ้าอย่างนั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับความผิดแปลกนี้?
ก่อนหน้านี้เขาก็อ่านความคิดนักบวชน้อยนี่ไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเดาไม่ออกกันไปใหญ่
เพียงแต่ กระวนกระวายมาก และรู้สึกกังวลใจ
เขาอยากกล่าวออกไปว่า หรือไม่เราก็ไม่ต้องไปสุสานพระราชวัง แล้วหนีไปทั้งอย่างนั้น แต่ตอนที่ออกจากวัดหนานหลัว นักบวชน้อยคาดหวังให้เขาไปสุสานเป็เพื่อน ตอนนี้หากไม่อาจเป็จริง อีกหน่อยคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ในขณะที่เขายังคงครุ่นคิด เฟิงอวี้ก็พามาถึงสุสานพระราชวังแล้ว
หมอกสีดำพุ่งออกมาจากปลายแขนเสื้อของเขา แล้วปกคลุมทหารยามหน้าสุสาน เพียงแค่ทำให้พวกเขาไม่อาจส่งเสียงได้ แต่ไม่ได้สังหารพวกเขา
ขณะถูกเฟิงอวี้แบกอยู่บนหลังแล้วเดินเข้าสู่สุสาน อวี๋มู่เงยหน้ามองดูสิ่งปลูกสร้างสีเทาเข้มที่มีอาณาเขตอันกว้างใหญ่ รู้สึกเพียงว่าสุสานที่นี่คล้ายกับสัตว์ป่าที่มีความดุร้ายกำลังอ้าปากอันกว้างใหญ่ รอกลืนกินพวกเขาทั้งสองลงสู่ท้อง
กลางดึกอันเงียบสงัด อวี๋มู่คว้าเสื้อของเฟิงอวี้ไว้แน่น ริมฝีปากที่แห้งผากเอ่ย “ใต้เท้าเฟิงอวี้ พวกเราต้องรีบออกมา...”
เขาไม่อาจหยุดยั้งเฟิงอวี้ให้เข้าไปด้านใน เพียงแต่ภาวนาสาธุให้สามารถออกมาโดยเร็ว
เฟิงอวี้ชะงักฝีเท้า เม้มริมฝีปาก ตอบกลับเขาว่าได้
โถงสุสานใหญ่โตมาก กำแพงมีไฟระยิบระย้าห้อยอยู่ แสงส่องนวลเนียน ไม่มีความรู้สึกน่ากลัวเหมือนสุสานทั่วไป
เมื่อถึงห้องโถงสุสานหลัก เฟิงอวี้วางอวี๋มู่ลงมา เดินไปหน้าโลงศพซึ่งห่างมาสองเมตร คุกเข่าลงพื้น คำนับสามครั้งต่อหน้าโลงศพอย่างเงียบๆ พอคำนับเสร็จก็ไม่ได้ลุกขึ้นยืน
นักบวชน้อยก้มศีรษะ คุกเข่าบนพื้น หันหน้าหาทิศทางโลงศพ ปริปากแล้วปิดอยู่หลายหน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แห้งผากออกมาอย่างยากลำบาก
เขาเรียก “แม่…”
เขาไม่ได้เรียกเสด็จแม่ แต่เรียกหญิงสาวที่ไม่เคยแม้กระทั่งจะได้พบเจอมาก่อนว่าแม่เหมือนเช่นคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อเรียกเสร็จ เขาปล่อยไหล่ลู่ลง งอเข่า แล้วนั่งลงบนพื้น
เขาเคยเกลียดชังมารดา แต่พอตอนนี้ได้เห็นโลงศพนั้น ทุกอย่างกลับมลายหายไปจนหมด เหลือไว้เพียงความสำนึกผิดและความอ่อนแอที่เผยออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาบังเกิดเกล้า
“ข้าขอโทษ” เขาเอ่ย “ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องสละชีวิตเพื่อข้า...อันที่จริงข้าก็ไม่อยาก ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน ไม่เคยคิดจะทำร้ายผู้ใด หากข้านั้นไม่ใช่อสูรฟ้าคงดีเพียงใด...ข้าไม่อยากเป็อสูรฟ้า ข้าไม่อยากถูกผู้คนชิงชัง...ข้าเองก็อยากมีผู้คนรักใคร่ข้าบ้าง...”
น้ำเสียงของเขาปนเสียงสะอื้นเล็กน้อย ไหล่ของเขาเริ่มสั่นระริกขึ้นมา เขาเอ่ย
“เพียงแต่ ไม่มีใครรักข้าเลย...”
“ข้านั้นเฝ้ารอ เฝ้าค้นหา แต่รอก็ไม่มี ค้นหาก็ไม่เจอ ไม่อาจเจอคนที่จะบอกว่ารักข้า...”
“ธรรมะนั้นล้วนหลอกลวงคน เ้าลาโล้นเฒ่าบอกว่าโลกใบนี้มีรัก พระพุทธเ้าโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน แต่เพราะอะไร พระพุทธเ้านั้น ถึงลืมข้าไป...”
เขาก้มศีรษะลง น้ำตาหลั่งรินออกจากดวงตา พลางถามซ้ำ “ทำไมพวกเขาถึงลืมข้าไป...”
เสียงของเขาก้องอยู่ในโถงสุสาน ทำให้ดูหนักหนาและหดหู่
เขาสืบถามเื่ราวทุกข์ยากและไม่เป็ธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเขา หน้าโลงศพ ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยอยู่ตรงหน้ามารดาบังเกิดเกล้าที่ตัวเองไม่เคยได้เจอ
อวี๋มู่เองก็คล้อยตามความรู้สึกที่เฟิงอวี้พรั่งพรูออกมา ดวงตาฝืดเคือง กะพริบตาหลายหน ถึงกล้ำกลืนฝืนทนไม่ให้หลั่งน้ำตาไม่เอาไหนนั่นไว้ได้ เขาเดินไปทางเฟิงอวี้ อยากจะเข้าใกล้เพื่อปลอบโยนอีกฝ่าย แต่กลับถูกม่านคาถาที่อีกฝ่ายนั้นร่ายขึ้นมาทันใดสกัดกั้นไว้ด้านนอก
ม่านคาถานั้นห้อมล้อมรัศมีรอบตัวเฟิงอวี้สามเมตร จากพลังที่ถูกกำไลลงกลอนิญญาสะกดไว้ ไม่อาจทำลายได้
“ใต้เท้าเฟิงอวี้? ” อวี๋มู่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้
“อย่าเข้ามา” เฟิงอวี้ไม่ได้มองเขา เพียงแต่เอ่ย “เ้ายืนอยู่ตรงนั้นแหละ ข้ามีบางเื่อยากพูดกับเ้า”
ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจของอวี๋มู่นั้นปะทุหนักกว่าเดิม
จากมุมของเขา เห็นเพียงนักบวชน้อยราวกับถูกบางสิ่งกดทับหลังจนตัวงอ
นี่ไม่ใช่เฟิงอวี้ที่อกผายไหล่ผึ่งท่าทีสบายๆ เหมือนวันวานก่อนหน้า
เขาเปลี่ยนไป
อวี๋มู่ขมวดคิ้วแน่นเป็ปม เขาเอ่ย “ใต้เท้า ท่านมีเื่อันใดโปรดบอกข้าได้หรือไม่? ข้าจะรับฟังทั้งหมด พวกเราช่วยกันคิดหาหนทาง”
จู่ๆ โถงสุสานที่เงียบสงัดก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงหัวเราะนั้นปนเสียงสะอึกสะอื้น เยือกเย็นจับใจ
จากนั้นเขาได้ยินนักบวชน้อยเอ่ยถามเขา “โยมอวี๋ พระพุทธเ้าเคยตรัสไว้: มนุษย์มีความทุกข์แปดด้าน เ้ายังจำได้หรือไม่ว่าทุกข์แปดด้านนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง? ”
“...ไม่ทราบ”
ใจของอวี๋มู่หวาดวิตกกว่าเดิม เขาแทบอยากสบถออกมา ฉันไม่เคยจำเื่บ้าบอพวกนั้นหรอกนะ นายมีเื่อะไรอย่าเก็บไว้! เ้าบ้านี่ตอนนี้ทำไมทำคนอื่นรู้สึกหวาดกลัวแบบนี้!
อีกอย่างจู่ๆ ก็เรียกเขาว่าโยมอวี๋ หรือว่ากลับมาเป็หย่งอวี้แล้วอย่างนั้นหรือ?
นักบวชน้อยเหมือนเดาได้อยู่แล้วว่าอวี๋มู่จำไม่ได้
เขาจึงกล่าวขึ้นเอง “พระพุทธเ้าเคยตรัสไว้: มนุษย์มีทุกข์แปดด้าน ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พยาบาทเคียดแค้น ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น อุปาทานเบญจขันธ์ มีเพียงปล่อยใจและกายที่ว่างเปล่า มนุษย์ถึงหลีกหนีจากความทุกข์ เมื่อปราศจากทุกข์ ทุกอย่างล้วนเป็ผุยผงกลับคืนสู่ธรณี ”
กล่าวจบ เขากลับหัวเราะอีกครั้ง เพียงแต่เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยเสียงเย้ยหยันตัวเอง เขาเอ่ย “กระนั้น ข้าเป็เพียงมนุษย์ธรรมดา ยากจะหลีกหนีทุกข์ทั้งแปดด้าน ด้วยเหตุนี้ถึงกำหนดให้ตกลงสู่ห้วงนรก”
เขาเอ่ย “ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น โยมอวี๋นั้นคือสิ่งที่อาตมาไม่อาจปรารถนา...”
กล่าวถึงตรงนี้ ในที่สุดเขาก็หันหน้ามาทางอวี๋มู่ ใบหน้าที่ยังคงมีคราบน้ำตานั้นฝืนยิ้มออกมา ทำให้ลักยิ้มสองข้างนั้นออกมาแบบอึมครึมไปบ้าง
เขาเอ่ย “โยมอวี๋ เฟิงอวี้เคยเอ่ยถามกับเ้าเื่ภพที่แล้วว่า พวกเราเคยพบเจอกันในชาติปางก่อนหรือไม่...”
แววตาของนักบวชน้อยดูบริสุทธิ์ แต่กลับแฝงไปด้วยความเ็ปอย่างแสนสาหัส เขาเอ่ย “อาตมาคิดว่า พวกเราน่าจะเคยพบกัน เพียงแต่ข้าในภพที่แล้ว ก็ยังไม่อาจปรารถนาในตัวเ้า ไม่เพียงแค่นี้ แม้แต่ตอนนี้ เ้าที่เผชิญหน้าอยู่กับข้า ข้ายังรู้สึกว่ามีูเาและทะเลกั้นกลางระหว่างเรา และดูเหมือนว่าข้า...”
“จะไม่มีวันััถึงตัวเ้าได้”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
