ซ่งอีอีเป็ถึงบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีแต่กลับยอมเป็อนุ เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย บอกมาเถิดว่าเ้าวางแผนอะไรอยู่?
การแต่งงานที่ไร้ซึ่งความรักไม่อาจมีความสุขได้ การเป็ฝ่ายรุกขอแต่งงานก่อนเป็เพียงการใช้อำนาจของผู้นั้นบีบบังคับให้ผู้อื่นทำตามที่ตน้าเท่านั้น เมื่อครู่ยังชื่นชมที่นางกล้าหาญ ทว่ายามนี้ดูท่าว่าจะเป็ความกล้าหาญที่ไร้ประโยชน์เสียแล้ว
กลางตำหนักใหญ่เงียบลงโดยพลัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้ หากเหยาเชียนเชียนไม่ได้อยู่ตรงหน้า การมอบตำแหน่งหวังเฟยให้นางก็ไม่ใช่เื่ที่เป็ไปไม่ได้
ทว่ายามนี้ตำแหน่งชายาที่ชอบด้วยเหตุผลมีคนอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งชิงผิงอ๋องยังเป็ฝ่ายร้องขอมาด้วยตนเอง ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ นางยอมสละชื่อเสียงของบุตรสาวอัครมหาเสนาบดีเพื่อเป็อนุ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
มองจากมุมนี้นางก็คงเป็ได้เพียงเช่อเฟย
เป่ยเหลียนโม่สบตากับฮ่องเต้ เขาอดหวั่นในใจไม่ได้ พ่อและลูกจิตใจสื่อถึงกัน เขาย่อมมองความนัยในสายตาคู่นั้นได้กระจ่าง
แม้ว่ายามนี้สตรีผู้นี้จะอยู่ข้างกายเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่านางจะรังเกียจหากเขาตบแต่งกับสตรีนางอื่นจริงๆ ในทางกลับกัน นางอาจจะอยากให้ที่จวนมีคนเพิ่มมาอีกสักสองสามคนเพื่อทำให้ในเรือนมีชีวิตชีวาขึ้นมาก็ได้
เมื่อคิดถึงฉากนั้น เป่ยเหลียนโม่ก็ปวดหัวจนแทบะเิ จากนั้นเขาก็กัดฟันและคุกเข่าลงพลางพูดด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ท่านพ่อ ลูกไม่ยินยอมพ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่อยากแต่งงานหรือ?
เหยาเชียนเชียนหันไปมองอย่างใตามสัญชาตญาณ เมื่อถูกมองกลับมาจึงรีบดึงสายตากลับทันทีและคุกเข่าลงไปพร้อมกับเขาด้วย
ชิงผิงอ๋องไม่อยากแต่งงาน เช่นนั้นนางต้องถูกกัดจนตายแน่นอน ทำเช่นนี้จะไปกระตุ้นโทสะของฮ่องเต้เข้าหรือไม่ เหตุใดงานเลี้ยงดีๆ งานหนึ่งถึงกลายเป็งานที่มีไอสังหารหนาแน่นเช่นนี้ไปได้
“ท่านพ่อ ใจลูกมีเพียงหวังเฟยคนเดียว การแต่งงานกับผู้อื่นจะเป็เพียงการทำลายไมตรีนั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ มิสู้กล่าวให้ชัดเจนเสียที่นี่ เพื่อไม่ให้คุณหนูซ่งเสียเวลาไปมากกว่านี้”
ซ่งอีอีมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ นางเป็สตรีที่ยังไม่ออกเรือน วันนี้คุกเข่าร้องขอราชโองการต่อหน้าผู้คนมากมายก็ถือว่าเป็การละทิ้งชื่อเสียงของตนไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ชิงผิงอ๋องก็ยังคงไม่ยอมทำให้นางสมปรารถนา
เขาพึงใจในตัวเหยาเชียนเชียนผู้นั้นจริงๆ หรือ?
“ท่านอ๋อง อีอียอมเป็อนุ...”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้” เป่ยเหลียนโม่กัดฟัน เขาอยากจะถีบสตรีผู้นี้ออกไปให้พ้นสายตาเหลือเกิน “เปิ่นหวังไม่มีไมตรีใดต่อคุณหนูซ่ง วอนคุณหนูซ่งตัดไมตรีนี้ไปเสียเถิด”
เหยาเชียนเชียนมองไปทางชายหนุ่มอย่างอดไม่ได้ เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาตามคาด เขารังเกียจคุณหนูซ่งถึงเพียงนี้เลยหรือ?
เหตุการณ์เกือบคล้ายกับในวันที่เหยาเชียนเชียนเพิ่งฟื้นขึ้นมา ทุกครั้งที่ได้พบกับเขามักจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนทุกครั้งด้วยกลัวว่าจะต้องตาย ทว่าคุณหนูซ่งผู้นี้ไปทำอะไรไว้ถึงทำให้ชิงผิงอ๋องเ็าใส่เช่นนี้
ฮ่องเต้พินิจมองทั้งสามคนอย่างเงียบเชียบ เขาเห็นการตัดไมตรีของบุตรชาย นั่นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากแต่งงานกับซ่งอีอีจริงๆ ทว่าเขาเห็นความลุ่มหลงของซ่งอีอีเช่นกัน หากไม่มีเหยาเชียนเชียน การแต่งงานครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าสะดวกราบรื่น
เหยาเชียนเชียน... ฮ่องเต้เลื่อนสายตาไปวางอยู่บนตัวลูกสะใภ้ซึ่งพัวพันกับบุตรชายทั้งสองของเขา เดิมทีเขาคิดว่าเหยาเชียนเชียนจะอาศัยอยู่ในจวนอ๋องอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว และเป่ยเหลียนโม่ก็สามารถทำให้นางไม่ต้องกังวลเื่อาภรณ์และอาหารได้
แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าน้ำหนักของสตรีผู้นี้ในใจของเป่ยเหลียนโม่จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ต่อไปจะเป็เช่นไรไม่มีผู้ใดสามารถประมาณได้ สิ่งนี้เป็เหมือนกับความอันตรายและความเปราะบางที่ซ่อนอยู่สำหรับบุตรชายของเขาเสียมากกว่า
เมื่อมีจุดอ่อนที่ชัดเจนเช่นนี้ ต่อให้เป็จักรพรรดิที่แข็งแกร่งก็อาจจะกลายเป็อ่อนแอได้
“ในเมื่อคุณหนูตระกูลซ่งกล่าวด้วยน้ำใสใจจริง เจิ้นก็ไม่อาจทนเห็นความจริงใจของนางสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่ใช่ชายาเอก ที่จวนของเ้าก็มีอี๋เหนียงอยู่คนหนึ่งเช่นกันไม่ใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นเจิ้นก็อนุญาตให้ซ่งอีอีอยู่ในตำแหน่งเช่อเฟย และจะเลือกฤกษ์ดีเพื่อจัดพิธีอภิเษก”
“เสด็จพ่อ!”
เป่ยเหลียนโม่ตกตะลึง หมายจะอ้าปากเพื่อเอื้อนเอ่ยแต่กลับถูกฮ่องเต้แทรกขึ้นมาก่อน
“เื่นี้ตกลงตามนี้ ไม่จำเป็ต้องกล่าวอันใดอีก”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นแล้วจากไป ซ่งอีอีร้องไห้ด้วยความยินดีพลางค้อมคำนับซ้ำๆ
“ขอบพระทัยฝ่าาที่สนับสนุนเพคะ!”
งานเลี้ยงร้อยบุปผา บางคนยินดีบางคนโศกเศร้า ไม่ว่าอย่างไรเป่ยเหลียนโม่ก็ไม่ได้คิดว่าความ้าของฮ่องเต้คือหวังให้เขามีซ่งอีอีมาอยู่ข้างกายเพิ่มอีกคน เพื่อหันเหความสนใจของเขาออกมาจากเหยาเชียนเชียน
เป่ยเหลียนโม่คิดเพียงว่าฮ่องเต้ยินยอมให้เขาสานสัมพันธ์กับสายเืของเฉิงเซี่ยง ทว่าในลำคอคล้ายกับมีก้างปลาชิ้นหนึ่ง เจ็บเสียจนดึงไม่ออกและกลืนไม่ลง
ซ่งอีอีปาดน้ำตา แม้ว่าในยามนี้ชิงผิงอ๋องจะยังไม่พึงใจในตัวนาง ทว่าในที่สุดนางก็สามารถเข้าพิธีอภิเษกกับอีกฝ่ายได้แล้ว วันเวลายังอีกยาวไกล นางจะไม่สามารถทำให้เขาประทับใจได้สักนิดเชียวหรือ
ซ่งอีอีถูกสาวใช้ประคองออกไปก่อน ทุกคนที่ยังคงอยู่ในเหตุการณ์ใช้เวลาอยู่นานก็ยังไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้ คาดไม่ถึงเลยว่างานเลี้ยงชมบุปผาที่ผ่อนคลายนี้ สุดท้ายจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
เหยาเชียนเชียนเข้าไปประคองเป่ยเหลียนโม่ แม้อีกฝ่ายจะเป็สาวงาม ทว่ารสชาติของการถูกบังคับแต่งงานย่อมยากจะยอมรับได้อย่างแน่นอน เกรงว่าต่อให้ซ่งอีอีผู้นั้นจะงดงามเพียงใดก็ไม่อาจได้รับผลดีจากการกระทำนี้แม้แต่น้อย
“ท่านอ๋อง พวกเรากลับจวนกันเถิด”
เหยาเชียนเชียนเห็นว่าเขาไม่กล่าวอะไรสักคำ พลันรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา เมื่อครู่เขาเสี่ยงถูกฮ่องเต้ลงโทษแต่เขาก็ไม่อยากยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ นั่นทำให้เห็นว่าเขาไม่ยินยอมจริงๆ ทว่าสุดท้ายก็ยังคงต้องแต่งอยู่ดี
หากเื่นี้เกิดขึ้นกับตัวนางเอง นางต้องรู้สึกคับข้องใจและโมโหอย่างแน่นอน ทว่าฝ่ายที่ขวางอยู่คือฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็บิดาของเขาเองด้วย แต่เขากลับไม่สามารถพูดอะไรได้ และไร้หนทางคัดค้าน
เหยาเชียนเชียนจับมือเขาแน่น พยายามจะปลอบใจเขา ทว่าเป่ยเหลียนโม่ยังคงมีสีหน้าเรียบตึงั้แ่ต้นจนจบ กระทั่งนั่งลงในรถม้าแล้วจึงค่อยๆ เอ่ยปาก
“เปิ่นหวังต้องแต่งงานกับผู้อื่นแล้ว หวังเฟยรู้สึกอย่างไร”
เอ่อ...
เหตุใดถึงเป็นางอีกแล้ว เหยาเชียนเชียนลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก นางเห็นว่าเขาคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ถึงเพียงนั้น คงมีแต่คนเขลาเท่านั้นที่จะบอกว่าดีใจ
“กล่าวตามหลักเหตุผลก็ควรแสดงความยินดีกับท่านอ๋องที่ได้แต่งงานกับคนที่ดีเพคะ แต่หากกล่าวในแง่ของความรู้สึกส่วนตัว หม่อมฉันยังคงหวังให้ในจวนมีเพียงหม่อมฉันที่สามารถอยู่เคียงข้างท่านอ๋องได้เพียงผู้เดียวเพคะ”
นางกล่าวว่า ‘มีนางเพียงผู้เดียว’ นั่นหมายถึงว่าไม่้าหลิ่วเหมยเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน เป่ยเหลียนโม่ลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้จึงทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
“ทว่าดำรัสของฮ่องเต้ยากจะฝ่าฝืน หวังเฟยคิดว่าเปิ่นหวังควรทำอย่างไรดี?”
เขาบอกว่ายากจะฝ่าฝืนไม่ใช่หรือ จะให้นางขอให้เขาปฏิเสธการแต่งงานหรืออย่างไร?
เหยาเชียนเชียนรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน นางอยากตอบกลับไปว่าเขาชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้นเถิด ทว่าเทพสังหารตรงหน้าไม่ใช่คนที่นางจะตอบส่งๆ ด้วยได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“ท่านอ๋อง หากท่านอ๋องรู้สึกว่าไม่เต็มใจจริงๆ สิ่งที่ต้องทำคือรักษาคนผู้นั้นให้อยู่ในจวนอย่างดี คุณหนูซ่งมีความภาคภูมิใจในตัวเอง พระองค์ควรปฏิบัติต่อนางด้วยความสุภาพ เช่นนั้นนางก็จะสามารถเข้าใจได้”
เลี้ยงในจวนและปฏิบัติอย่างดี เป่ยเหลียนโม่เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าซ่งอีอีรู้กาลเทศะจริง วันนี้นางคงจะไม่ยุ่งกับเสด็จพ่อและเพียรขอราชโองการให้ได้"
ก่อนแต่งงานกับเหยาเชียนเชียน เป่ยเหลียนโม่ไม่เคยคิดถึงเื่ความสัมพันธ์ชายหญิงมาก่อนเลย นอกจากอาเหยียนแล้ว เขาก็ไม่อยากให้ตนมีห่วงเพิ่มอีก ยิ่งมีคนเพิ่มยิ่งมีอันตรายมากขึ้น
แต่นานวันเข้า สตรีผู้นี้เดินเข้ามาในชีวิตของเขาโดยไม่คาดคิด ทุกเื่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ใช่เื่ที่เขาสามารถควบคุมได้
“หวังเฟยไม่กลัวว่าถ้าเปิ่นหวังมีคู่ใหม่แล้วจะเมินเฉยต่อหวังเฟยหรือ” เขากล่าวเสียงเรียบ “ถึงอย่างไรเ้าก็เพิ่งแต่งเข้ามาไม่ถึงเดือนซึ่งเป็่ที่กำลังรักกันหวานชื่น ยามนี้มีมาเพิ่มอีกคน คงหลีกเลี่ยงการต้องเฝ้าอยู่ในห้องอันว่างเปล่าเพียงลำพังไม่ได้”
เหยาเชียนเชียนงุนงง นางก็อยู่เฝ้าห้องอันว่างเปล่าเพียงลำพังมาตลอดไม่ใช่หรือ คนที่นอนอยู่ในเรือนถัดไปเป็ผีหรืออย่างไร?
ทว่านางทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ย่อมไม่กล้าถามเช่นนี้ออกไป นางทำได้เพียงตอบอย่างประนีประนอมว่า
“หม่อมฉันไม่อยากให้ท่านอ๋องเลือกที่รักมักที่ชัง ยิ่งไปกว่านั้น หม่อมฉันยังมีอาเหยียนอยู่เป็เพื่อน คิดดูแล้วคุณหนูซ่งควรจะเป็กังวลมากกว่าเพคะ”
เวลาเบื่อนางสามารถไปเล่นกับอาเหยียนได้ ทว่าซ่งอีอีไม่มีสิทธิ์นั้นอย่างแน่นอน เหยาเชียนเชียนดีใจกับตัวเอง โดยไม่ทันเห็นประกายไฟซึ่งปะทุอยู่ในดวงตาของเป่ยเหลียนโม่
อาเหยียน?
นางไม่ยี่หระเพราะมีคนหนุนหลังอยู่แล้วสินะ!
ยามที่กลับมาถึงจวน อาเหยียนกำลังให้อาหารปลาในสวนอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาแล้วก็เข้าไปต้อนรับอย่างดีใจ เป่ยเหลียนโม่อุ้มเด็กน้อยและส่งต่อให้เหยาเชียนเชียน ส่วนเขาก็มุ่งตรงไปยังห้องหนังสือ
“ท่านแม่ ท่านพ่อดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเลยขอรับ”
อาเหยียนถูไถใบหน้านุ่มนิ่มเข้ากับตัวของเหยาเชียนเชียน “ท่านพ่อโกรธท่านแม่หรือขอรับ?”
ไม่ใช่หรอก เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้วครุ่นคิด ถึงแม้ว่าเมื่อครู่ทุกคำถามล้วนเป็คำถามเสี่ยงตาย ทว่านางก็ตอบได้เป็อย่างดี เช่นนั้นก็น่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
“อาเหยียน” นางบอกข่าวนั้นแก่เขาอย่างลังเล “หากท่านพ่อมีแม่ให้เ้าเพิ่มอีกสักคนเ้าจะดีใจหรือไม่?”
อาเหยียนส่ายหน้ารัวราวกับกลองไม้เขย่า เขาจะดีใจได้อย่างไรเล่า ในจวนมีท่านแม่เพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เหตุใดถึงยังต้องมีคนอื่นอีก
“คนอื่นไม่มีทาง อาเหยียน้าแค่ท่านแม่”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกซาบซึ้งและใจชื้น แต่นางเองก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของอาเหยียน เพียงแค่ทำดีต่อเขาเท่านั้น ดังนั้นอาเหยียนจึงยอมเข้าใกล้นาง หากซ่งอีอีผู้นั้นทำดีต่อเขาเช่นเดียวกัน เช่นนั้นอาเหยียนก็จะไม่เข้าใกล้เพียงแค่นางคนเดียวอีกแล้วใช่หรือไม่?
ความรู้สึกหวงพลุ่งพล่านในใจโดยที่ชิงผิงอ๋องไม่มีโอกาสได้ััมัน แต่กลับเป็เพราะอาเหยียนที่ทำให้เหยาเชียนเชียนไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกหวงนั้นได้
เมื่อคิดให้รอบคอบแล้ว ยามนี้นางทำดีกับอาเหยียน หากแม่แท้ๆ ของเขาเห็นเข้าก็คงรู้สึกไม่ดีเช่นกัน
จริงสิ จะว่าไปนางก็เข้าจวนมาหลายวันแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินคนพูดถึงแม่แท้ๆ ของอาเหยียนเลยสักครั้ง
เหยาเชียนเชียนรู้มานานแล้วว่าหลิ่วเหมยเอ๋อร์ไม่ใช่แม่ของอาเหยียน โง่เขลาเช่นนั้นจะให้กำเนิดลูกที่ทั้งฉลาดและเชื่อฟังอย่างอาเหยียนได้อย่างไร อีกทั้งเวลาที่เข้าจวนก็ไม่สอดคล้องกัน
ถ้าเช่นนั้นแม่แท้ๆ ของอาเหยียนคือผู้ใดกัน?
“ท่านแม่” อาเหยียนดึงแขนเสื้อของนางเบาๆ “ท่านพ่อจะไม่แต่งงานกับคนอื่นหรอกขอรับ ท่านแม่วางใจเถิด”
เหยาเชียนเชียนจูบใบหน้าเล็กของเขาเบาๆ นางอยากบอกเขาเหลือเกินว่าท่านพ่อของเขาก็ไม่อยากแต่ง แต่การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
ไม่นานนักราชโองการพระราชทานพิธีอภิเษกสมรสก็ส่งมาถึงจวนอ๋อง อาเหยียนน้อยรับมาอย่างไม่อยากเชื่อ เขาอ่านออกเสียงทีละคำทีละประโยครอบหนึ่ง จากนั้นก็อ่านอีกรอบหนึ่ง
เด็กคนนี้... เหยาเชียนเชียนรับราชโองการในมือเขามาถือไว้เอง นางคิดว่าเขาน่าสงสารกว่าชิงผิงอ๋องเสียอีก ในแต่ละวันคิดเพียงอยากให้นางและชิงผิงอ๋องรักใคร่กัน แต่ก่อนที่สัญญาณนั้นจะเริ่มขึ้น ก็มีสิ่งกีดขวางเพิ่มขึ้นมาอีก
“อาเหยียน ไม่เป็ไรนะ” นางเพิ่งพูดได้สองประโยค ทว่าดวงตาของเด็กน้อยก็มีน้ำตาไหลพรากๆ เหยาเชียนเชียนรีบกอดเขาไว้ ดูเหมือนว่าการแต่งงานครั้งนี้ รอบกายที่ยังคงสงบเห็นจะมีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้น
“ไม่ร้องๆ” นางปลอบ “แม่ไม่เสียใจ อาเหยียนก็ต้องไม่เสียใจ ตกลงหรือไม่?”
“เสด็จปู่นิสัยไม่ดี” อาเหยียนน้อยร้องไห้จนจมูกแดง “อาเหยียนไม่ชอบเขาแล้ว เสด็จปู่รังแกท่านแม่ เสด็จปู่นิสัยไม่ดี”
อย่านะ!
เหยาเชียนเชียนรีบอุ้มเขาจากไป และสั่งให้พ่อบ้านดูแลข้าหลวงที่มาส่งราชโองการ ส่วนนางก็อุ้มอาเหยียนไปหลบในห้องอย่างรวดเร็ว
“อาเหยียน ต่อไปเ้าห้ามพูดแบบนี้อีก มิเช่นนั้นท่านพ่ออาจจะเดือดร้อนเอาได้ เข้าใจหรือไม่?”
เด็กน้อยพยักหน้าทั้งน้ำตา ไม่รู้เช่นกันว่าเขาฟังเข้าหูหรือไม่ เหยาเชียนเชียนถอนหายใจพลางปลอบเขา นางตบบ่าเด็กน้อยเบาๆ รอเขาร้องไห้จนสะอึก เมื่อร้องไห้จนเหนื่อยก็หลับไปเอง
ไม่มีผู้ใดทานอาหารเย็น เหยาเชียนเชียนรอจนอาเหยียนหลับสนิท ก่อนนางจะย้ายไปนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวน
แมวดำตัวหนึ่งะโขึ้นมาบนสันกำแพงโดยไร้เสียง ดวงตาสีมรกตมองเหยาเชียนเชียนตาไม่กะพริบ จากนั้นก็ะโเข้าไปในอ้อมแขนของนางอย่างแ่เบา
