“อยาก!” ผิงอันะโขึ้นมาอย่างตื่นเต้นทันที เขาโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเข้าเมืองมาก่อน ครั้งก่อนที่หวังซื่อพาผิงซุ่นเข้าเมือง ผิงอันก็มุ่ยปากมุบมิบอยู่หลายวัน
“เช่นนั้นก็ลุกขึ้นไปจัดการเร็วๆ เลย เอาพวกมันใส่ตะกร้าไผ่สาน วันนี้อากาศดีนัก ข้าจะไปหาท่านย่า แล้วค่อยเอาเห็ดไปขายด้วยหน่อย” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“อื้ม! ข้าจะไปจับแล้ว” ขณะกล่าว ผิงอันเอากระต่ายในมือยัดกลับใส่กรง ทั้งวิ่งทั้งะโไปด้วย “ข้าไปเอาตะกร้าไผ่สานก่อน”
เจินจูยิ้มแล้วตามหลังไป ครุ่นคิดว่าจะเอาของอะไรออกไปขาย
บอกกล่าวแก่หลี่ซื่อเล็กน้อย เจินจูจึงเดินไปทางบ้านเก่า อากาศแจ่มใส แต่ละครอบครัวในหมู่บ้านต่างเอาสิ่งของออกมาตากแดด ตลอดทางเจินจูเหลือบมองไปทางทิศตะวันออกที ทิศตะวันตกที จนถึงบ้านเก่า
เมื่อดันประตูลานบ้านเปิดออก ท่านปู่หูเฉวียนฝูกำลังนั่งตากแดดอยู่หน้าประตูบ้าน พอเห็นเจินจูก็ะโเรียกทันที “เจินจู เหตุใดมาด้วยตนเองเล่า?”
“ท่านปู่ ไม่มีเื่อะไรหรอก วันนี้อากาศดี กระต่ายบ้านเราเอาแต่ตีกัน เลยเตรียมเอาไม่กี่ตัวไปขายทิ้ง” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
หูเฉวียนฝูั์ตาเป็ประกาย กล่าวด้วยความดีใจ “กระต่ายบ้านเราขายได้อีกแล้ว? เร็วเช่นนี้?”
“ฮิ ฮิ ท่านปู่ ครั้งนี้ขายตัวใหญ่ไม่กี่ตัว เล็กหน่อยยังต้องเลี้ยงอีกสักระยะ” เจินจูอธิบาย
“เจินจู? มาทำอันใดหรือ? มีเื่อะไรหรือไม่?” หวังซื่อได้ยินเสียงจึงเดินออกมาจากในห้อง
“ท่านย่า วันนี้อากาศดีนัก กระต่ายตัวผู้บ้านเราเอาแต่ตีกัน เช่นนั้นเลยคิดว่าจะเอาตัวโตไม่กี่ตัวไปขายทิ้งเสีย” เจินจูกล่าวยิ้มๆ
“ไปตอนนี้?” หวังซื่อมองสีท้องฟ้า ท้องฟ้าสีครามเข้มพันลี้ไร้เมฆ [1] ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้น “ได้ อีกเดี๋ยวบอกให้ลุงเ้าเร่งเกวียนไปบ้านของเ้าแล้วขนกระต่ายไปขาย”
หวังซื่อลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามขึ้น “เจินจู ครั้งนี้แค่ขายกระต่ายหรือ?”
เจินจูเข้าใจความหมายในคำพูดของหวังซื่อ ยิ้มแล้วกล่าว “ท่านย่า อีกสักพักท่านลำเลียงเห็ดแห้งใส่ครึ่งตะกร้าแล้วลากไปด้วย”
“เจินจู วันนี้ก็ไปขายกระต่ายอีกแล้วหรือ? ขายกี่ตัวกัน?” เหลียงซื่อผุดออกมาจากในบ้าน เห็นเจินจูสองตาก็ส่องสว่าง
เหลียงซื่อน่าจะรู้จากปากของหูฉางหลิน ว่า่นี้เจินจูโดดเด่นนัก ที่บ้านเลี้ยงกระต่ายให้รอดได้ ล้วนเป็ความคิดเห็นของเจินจู แล้วยังทำอาหารการกินใหม่ๆ ไม่น้อยออกมากับหวังซื่อด้วย อาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็ความคิดของเจินจูที่คิดออกมา อย่างเครื่องในหมู ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นเผือก เป็ต้น ไม่กี่วันก่อนที่ทานเนื้อตากแห้งสดหอมๆ ก็เป็ของที่ทำออกมาใน่นี้ กล่าวกันว่าอาหารทำออกมาได้ดีนัก แล้วยังสามารถขายให้กับโรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านสามารถซื้อเกวียนวัวได้ ความดีของเจินจูมากที่สุด หูฉางหลินเคยบอกแก่นางครั้งหนึ่งเป็การส่วนตัว ว่าต่อไปให้นางปฏิบัติต่อหลานสาวหลานชายอย่างเอาใจใส่หน่อย ไม่เช่นนั้นต่อไปไม่แน่ว่าผู้ใดจะเป็คนที่ถูกเอาเปรียบ
“สวัสดีป้าสะใภ้ กระต่ายโตมีไม่กี่ตัว พวกเราแค่ขายกระต่ายตัวผู้ ตัวเมียยังต้องเก็บไว้ออกลูก” มองท้องน้อยของเหลียงซื่อที่นูนขึ้นมา เจินจูกล่าวอธิบายด้วยความอ่อนโยน ในยุคโบราณผู้หญิงให้กำเนิดบุตรเป็เื่ที่อันตรายนัก ไม่ระวังเพียงนิดเท้าก็เหยียบเข้าประตูผีแล้ว
“กระต่ายตัวเมียเยอะหรือ?” เหลียงซื่อกลอกตาหนึ่งรอบ อดไถ่ถามขึ้นมาไม่ได้
บ้านบิดามารดาของนางใช้ชีวิตกันยากจนยิ่ง หนึ่งครอบครัวสิบคนเบียดกันอยู่ในลานบ้านเล็ก เพื่ออาหารแล้วทั้งวันต้องทำจนไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน [2] ทุกครั้งที่ท่านแม่ของนางมาเยี่ยม มักมีความทุกข์ทรมานและความขมขื่นอยู่ตลอด แล้วยังให้นางดูแลทางบ้านบิดามารดาของนางเป็ครั้งคราวด้วย น้องชายที่บ้านความเป็อยู่ก็ไม่ค่อยดีนัก หวังว่านางจะให้เงินเล็กๆ น้อยๆ เป็การส่วนตัวได้ เหลียงซื่อมีใจที่จะช่วยเหลือมารดา แต่ที่สกุลหูจะมีที่ว่างให้นางกล่าวได้ที่ใดเล่า สามารถแอบสะสมเสบียงอาหารเล็กน้อยฝากกลับไปได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เป็เช่นนี้ มารดาของนางยังรำพันกับนางไม่หยุดเลย
หลังได้รู้ว่าที่บ้านเลี้ยงกระต่ายหาเงินได้ไม่น้อย นางจึงเริ่มคิดเพื่อผลประโยชน์ของตนเองขึ้นมา หากว่าสามารถเกลี้ยกล่อมให้หวังซื่อแบ่งกระต่ายตัวเมียสักสองสามตัวให้บ้านบิดามารดานางเลี้ยงได้คงจะดี
“ลูกสะใภ้ใหญ่ เ้าตั้งครรภ์อยู่ อย่าเป็ทุกข์เื่ในบ้านมากเช่นนี้ อยู่บ้านบำรุงครรภ์ให้ดี หากว่างไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นก็ทำเสื้อนวมตัวใหม่ของผิงซุ่นออกมาเสีย” หวังซื่อขมวดคิ้วมองนาง
“ทราบแล้ว ท่านแม่ มิใช่ว่าข้าเป็ห่วงนิดหน่อยหรือ” เหลียงซื่อหดลำคอลง ในหน้าฉีกยิ้มขานรับ
“เอาล่ะ เจินจู เ้ากลับไปรอก่อนเถิด อีกครู่ข้ากับลุงเ้าจะตามไป” หวังซื่อไม่สนใจนางอีก หมุนกายมาบอกเจินจู
“เช่นนั้นก็ได้ ข้ากลับไปก่อน ใช่แล้ว ท่านย่า อย่าลืมบอกชุ่ยจูกับผิงอัน ว่าวันนี้ไม่เข้าเรียน หยุดหนึ่งวัน” เจินจูหันกลับไปทางหูเฉวียนฝู “ท่านปู่ ข้ากลับก่อนเล่า”
“อื้ม... เดินทางระวังด้วย” หูเฉวียนฝูะโกล่าว
กลับถึงบ้าน ผิงอันเตรียมไว้อย่างครบครันนานแล้ว ตะกร้าไผ่สานสองใบบรรจุกระต่ายเจ็ดตัวเรียบร้อย “ท่านพี่ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” ใบหน้าเล็กทั้งหน้าเขียนไว้ว่า้าคำชมเชยตัวใหญ่ๆ
เจินจูหัวเราะแล้วลูบศีรษะของเขา “ดี ทำได้ไม่เลว เช่นนั้นเ้าไปรอที่ประตูทางเข้า อีกสักครู่ท่านย่าก็มาแล้ว”
“อื้ม!” ผิงอันวิ่งไปอย่างตื่นเต้นดีใจ
ประตูห้องหลัวจิ่งเปิดอยู่ แสงแดดกำลังดี หลี่ซื่อเอาผ้าห่มของเขาออกมาตากแดด แล้วถือโอกาสให้เขานั่งผึ่งแสงอาทิตย์ที่หน้าประตู
เจินจูเดินเข้ามาใกล้ หันไปยิ้มทางเขา “ยู่เซิง วันนี้ไม่เข้าเรียนนะ พักผ่อนหนึ่งวัน อีกสักครู่พวกข้าจะเข้าเมือง เ้ามีอันใดที่้าซื้อหรือไม่?”
“ไม่มี” หลัวจิ่งส่ายหน้า ทั้งร่างหัวจรดเท้าของเขาล้วนสวมเสื้อผ้าที่หลี่ซื่อกับหวังซื่อทำขึ้นให้ใหม่ กลิ่นอายหมู่บ้านชนบท ไม่อาจปิดบังท่าทางบนกายของเขาที่ไม่เหมือนกับชาวไร่ชาวนาได้เลย จากใบหน้าที่ผอมจนเห็นกระดูกผ่านการพักฟื้นมาสักพักหนึ่งจึงค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ขึ้น เครื่องหน้าที่ค่อนข้างหล่อเหลาเหมือนจะรูปงามและผ่าเผยขึ้นด้วย
“…” เจินจูชำเลืองตามองหลัวจิ่งที่เงียบไม่พูดจา แล้วแอบมองบน คนเงียบขรึมสกุลหูล้วนมากพอแล้ว เ้าหนุ่มนี่ยังเพิ่มเข้าไปอีกคน ตรงกับหนึ่งประโยคจริงๆ ที่ว่า ไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันไม่เข้าประตูบ้านเดียวกัน [3]
หวังซื่อนำเห็ดแห้งมาครึ่งตะกร้าตามที่นัดแนะกันไว้ เจินจูแยกเนื้อตากแห้งและกุนเชียงที่ตากแห้งแล้วใส่ลงก้นตะกร้าครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นคลุมกระดาษน้ำมันไว้้า แล้วค่อยเอาเห็ดแห้งเทไว้ข้างบนอีกที เพื่ออำพรางอาหารหมักไว้จนมิดชิด ขณะนี้พวกนางสกุลหูกำลังอยู่ในสถานการณ์ศูนย์กลางการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวไร่ชาวนา การดำเนินการอย่างเงียบๆ ต่อไปยังสำคัญมากนัก
เกวียนวัวบรรทุกสี่คนเดินอยู่บนถนนในหมู่บ้าน ผิงอันที่อยู่บนเกวียนวัวตื่นเต้นมองไปรอบๆ พูดคุยจ้อกแจ้กๆ อยู่ตลอดเวลา
“ท่านพี่ ต้องนั่งนานเท่าใดจึงจะถึงเมือง?”
“ท่านย่า ในเมืองคนเยอะหรือไม่?”
“ท่านลุง ลูกวัวลากสิ่งของเช่นนี้ได้ขนาดไหน? มันจะเหนื่อยหรือไม่?”
“…”
หวังซื่อมองอย่างอ่อนโยน ลูบศีรษะของเขาด้วยความรักใคร่เอ็นดูอยู่บ่อยๆ ผิงอันร่างกายอ่อนแอขี้โรคั้แ่ยังเล็ก อย่าพูดถึงเข้าเมืองเลย ปกติแม้แต่ทางเข้าหมู่บ้านก็เคยออกไปน้อยมาก เป็เพราะ่นี้ร่างกายค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว นางจึงกล้าพาเขาออกจากบ้านมาเดินเล่น
เดินทางมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ชาวไร่ชาวนาค่อยๆ เยอะขึ้น ทันใดนั้น สายตาของชาวไร่ชาวนาล้วนมองมาที่พวกนาง และที่ตะกร้าไผ่สานสองสามใบบนเกวียนวัวเป็จุดเดียว
“ฉางหลิน เวลานี้เพิ่งจะไปตลาด?” คนที่นั่งคุยเรื่อยเปื่อยอยู่บนม้านั่งหินไม่กี่คนตรงทางเข้าหมู่บ้าน ในนั้นมีชายชราอายุค่อนข้างมากคนหนึ่งเอ่ยปากถาม
เจินจูถือโอกาสมองไป คุ้นหูคุ้นตาเล็กน้อย เป็ท่านอาเ้าซานที่พบกันตรงทางเข้าหมู่บ้านครั้งก่อน
“อื้ม! ท่านอาเ้าซาน เวลาสายไปหน่อย เช่นนั้นจึงรีบเล็กน้อย ไม่เสวนากับท่านแล้ว กลับมามีเวลาค่อยคุยเล่นกันนะ” หูฉางหลินทักทายหนึ่งเสียง สะบัดแส้วัวเบาๆ “เพียะ” ลูกวัวก็ยิ่งมีแรงวิ่งขึ้น
“นี่เป็สกุลหูเดินบนความโชคดีอะไรกัน เวลาเพิ่งจะนานเท่าไรเอง ทั้งซื้อวัวทั้งซ่อมบ้าน กลัวว่าในบ้านน่าจะมีเส้นทางความมั่งคั่งอะไรซ่อนอยู่?” มองเกวียนวัวที่ค่อยๆ เดินไกลออกไป ทุกคนกระซิบกระซาบพากันแสดงความคิดเห็น
“ได้ยินว่าเลี้ยงกระต่ายจำนวนมาก ครั้งก่อนมีคนเห็นพวกเขาบริเวณโรงเตี๊ยมในเมือง ฟังลูกจ้างเล่าว่าไปขายกระต่าย” ชาวไร่ชาวนากล่าวด้วยความอิจฉา
“เลี้ยงกระต่าย? บ้านข้าก็อยู่ละแวกใกล้เคียงบ้านเขา ไม่เห็นว่าบ้านสกุลหูมีกระต่ายเลย?” คนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
“นั่นเลี้ยงไว้ที่บ้านบุตรคนรองที่อยู่ท้ายสุดหมู่บ้าน ที่นั่นใกลู้เา เลี้ยงกระต่ายง่าย” คนส่วนใหญ่คาดคะเนกันเจ็ดปากแปดลิ้น [4]
“เอ๊ะ? ไม่ถูกสิ เมื่อครู่ข้ายืนอยู่บนก้อนหิน เห็นหนึ่งในตะกร้าไผ่สานของพวกเขาใส่เห็ดแห้งเต็ม แต่ไม่เห็นกระต่าย?” ชาวไร่ชาวนาอีกคนหนึ่งกล่าวออกมา
“เข้าฤดูใบไม้ร่วงฝนตกหนักเสียหลายห่า บ้านพวกเขาเข้าๆ ออกๆ เก็บเห็ดมากมาย แต่ตอนนั้นฟ้ายังไม่เปิด พวกเขาตากให้แห้งได้อย่างไร?” บ้านที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงกล่าว มักจะเห็นพวกเขาแบกเห็ดเต็มตะกร้ากลับมาตลอดเวลา ตอนนั้นโผเหนียงบ้านเขายังหัวเราะเยาะสกุลหูอยู่เลย เก็บเห็ดมากมายเช่นนั้นกลับไป แล้วยังไม่ได้ตากแห้ง หรือว่าทุกมื้อทานเห็ดกันนะ
“ไอ๊หยา เช่นนั่นก็ไม่แปลกใจเลย หน้าหนาวทุกปี ราคาเห็ดสูงมากนัก จำได้ว่าหน้าบ้านข้าก็ตากแห้งไม่น้อย ตอนจะข้ามปีได้เอาออกไปขายโรงเตี๊ยม เขาให้ราคาชั่งละ 30 เหวิน!” พอเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทุกคนก็เสียงดังอื้ออึง การพูดคุยยิ่งคึกคักมากขึ้น
นอกเหนือจากการถกเถียงกันอย่างคึกคักของชาวไร่ชาวนาแล้ว สี่คนสกุลหูก็ขับเคลื่อนเกวียนวัวเดินไปตามถนนหลักอย่างโคลงเคลง ผิงอันขึ้นมานั่งข้างกายหูฉางหลิน สองตามองเขาที่เร่งเกวียนวัวอย่างมึนงง หูฉางหลินมองอย่างขบขัน แล้วจึงสอนทักษะเร่งวัวให้ผิงอัน
เจินจูกับหวังซื่อพูดคุยกันอยู่บนเกวียน เห็ดแห้งที่เต็มตะกร้านั่นเป็เจินจูตั้งใจเปิดโล่งออกให้เห็น พวกชาวไร่ชาวนาคาดเดาเส้นทางความมั่งคั่งของบ้านตนเอง ที่จู่ๆ ก็ผุดออกมาไม่หยุด เมื่อมองกลับมายังเห็ดที่เยอะเช่นนี้ ย่อมต้องรู้เป็ธรรมดา ราคาเห็ดในหน้าหนาวมากเป็หลายเท่าของยามปกติ
“ท่านย่า หากคนที่สนิทกับท่านในหมู่บ้านมาถาม ท่านก็เอาเื่ที่ใช้เตียงสามารถอบแห้งเห็ดได้เปิดเผยออกไปได้เลย” นี่เป็ความคิดที่เจินจูครุ่นคิดมาแล้ว ด้านหลังหมู่บ้านวั้งหลินติดกับกลุ่มเขาที่ยาวเหยียด ทุกปีหลังหน้าฝน ล้วนเป็เห็ดที่สดใหม่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา อาศัยเพียงพวกเขาไม่กี่คน ก็ไม่สามารถเก็บเห็ดบนเขาให้หมดเกลี้ยงได้ แทนที่จะให้ชาวบ้านพากันถกเถียง ไม่สู้เอาวิธีอบแห้งเห็ดบอกแก่ทุกคนไปเลยดีกว่า
“นี่…” หวังซื่อค่อนข้างลังเลเล็กน้อย เห็ดแห้งหนึ่งกองแม้จะหาเงินได้ไม่นับว่ามากแต่ก็ไม่น้อยจริงๆ บอกคนอื่นก็เท่ากับละทิ้งรายได้ก้อนนี้
“ท่านย่า ไม่ต้องกังวล ต่อไปพวกเราไม่ต้องอาศัยหารายได้จากการขายเห็ดแล้ว ระยะนี้ในหมู่บ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ พวกเราเอาวิธีนี้บอกออกไป ในหมู่บ้านก็จะไม่นินทาพวกเรามากเช่นนั้นแล้ว อีกอย่าง ูเาในหมู่บ้านมากมายเช่นนั้น อาศัยเพียงบ้านเราก็เก็บไม่หมด ทั้งหมู่บ้านล้วนระดมพลกันขึ้นมา ต่อไปทุกคนล้วนมีรายได้ บ้านเราก็ไม่ถูกจับตามองเพียงนั้นอีก คนในหมู่บ้านก็จะจำความดีของบ้านเราได้ใช่หรือไม่เล่า” เจินจูวิเคราะห์
“ได้ ย่ารู้แล้วล่ะ คนในหมู่บ้านถาม ข้าก็บอกพวกเขา” หวังซื่อใคร่ครวญนิดหน่อย ตอบรับอย่างสบายใจ เจินจูกล่าวได้ถูกต้องนัก จะปกปิดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วยังผิดใจกับผู้คนอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย กล่าวเปิดเผยออกมาเสียเลย ผู้อื่นยังจะสามารถคิดถึงครอบครัวตนดีขึ้นได้หน่อย
ดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงตรงสาดส่องมายังร่างกายผู้คนอบอุ่นนัก เจินจูคิดอะไรได้อีกอย่างในฉับพลัน
“ท่านย่า พวกเราควรบอกผู้ใหญ่บ้านก่อนหรือไม่?” บอกชาวไร่ชาวนา คาดว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมรับสภาพการณ์ของบ้านพวกนาง บอกผู้ใหญ่บ้าน และเมื่อผ่านการตัดสินใจผู้ใหญ่บ้านแล้ว เช่นนั้นทั้งหมู่บ้านก็ล้วนได้รับประโยชน์ ได้ทั้งแสดงใบหน้าต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน [5] และทุกคนยังยอมรับสถานการณ์ของบ้านพวกนางด้วย เจินจูกล่าวอย่างละเอียด
เชิงอรรถ
[1] พันลี้ไร้เมฆ เป็การบรรยายว่า อากาศแจ่มใสไร้เมฆบดบัง
[2] ไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน เป็การพูดถึงเหตุการณ์วุ่นวายจนไก่และสุนัขกระเจิง
[3] ไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันไม่เข้าประตูบ้านเดียวกัน หมายถึง คนที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ นิสัย ท่าทางต่างๆ ล้วนไม่ต่างกันมาก มีความสนใจคล้ายคลึงกัน ไม่เช่นนั้นจะอยู่ด้วยกันยาก
[4] เจ็ดปากแปดลิ้น หมายถึง แย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์
[5] แสดงใบหน้าต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน หมายถึง ปรากฏตัวต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านให้เป็ที่รู้จัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้