“ชื่อดีเลยทีเดียว น่าเสียดาย”
เสิ่นเสวียนถือป้ายเอาไว้พลางกล่าว จากนั้นเขาก็หยิบป้ายอีกอันหนึ่งจากโครงกระดูกอีกร่างหนึ่ง บนนั้นเขียนไว้ว่าเว่ยเฉิงอู่
“นี่คือป้ายของพี่ชายข้า”
“ข้าตกลง”
เสิ่นเสวียนเก็บป้ายสองอันนั้นเอาไว้พลางกล่าว
“ขอบคุณท่านเซียน ขอบคุณท่านเซียน”
เว่ยเฉิงเย่ตะลึงไปครู่ใหญ่ หลังจากตั้งสติได้ก็โค้งกายคารวะเสิ่นเสวียนไม่หยุด น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตัน
สิบสามปีแล้ว เขาถูกขังอยู่ที่นี่มาสิบสามปีแล้ว เขาอยากแก้แค้นมาตลอด
ท่านพ่อป่วยหนัก ให้เขาปกครองแคว้น คิดไม่ถึงว่าจะโดนลอบทำร้ายจนต้องเสียราชบัลลังก์ไป กระทั่งถึงตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าท่านพ่อเป็ตายร้ายดีอย่างไร รู้เพียงน้องสาวโดนขังอยู่ในหอคอยเฟิงเหลย สิบสามปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดคือออกไปให้ได้แล้วลงมือสังหารคนผู้นั้นด้วยมือของเขาเอง
เสิ่นเสวียนเก็บแหวนสามวงมาจากโครงกระดูกทั้งสามร่าง แหวนที่ไม่สะดุดตาที่สุดก็คือแหวนของคนลอบสังหารคนนั้น แต่หลังจากเสิ่นเสวียนส่งจิติญญาเข้าไป เขาก็พบว่าภายในนั้นไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากยาเรียกลมปราณขั้นสูงไม่กี่เม็ด
ส่วนแหวนอีกสองวงมีของดีอยู่จำนวนหนึ่ง นอกจากยาสมุนไพรและเคล็ดวิชาแล้ว ยังมีศาสตราวิเศษขั้นปฐีอีกด้วย
เป็สากที่เหมือนกับค้อนขนาดใหญ่ที่มีหนามแหลมราวกับเขี้ยวหมาป่า
“ศาสตราวุธนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
เสิ่นเสวียนหยิบสากอันหนึ่งขึ้นมา แสงอัสนีเปล่งประกายออกมาไม่หยุด มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต พื้นผิวและลวดลายเรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูง จากประสบการณ์นานหลายปีของเขา สากอันนี้เปรียบเสมือนขั้นเซียนแล้ว แต่พลังอ่อนแรงมากเกินไป ไม่ได้ฝ่าด่านเคราะห์อัสนีอย่างแท้จริง ทำให้ยังเป็ศาสตราิญญาอยู่
ของล้ำค่าที่เทียบได้กับขั้นปฐีระดับสูงหรือระดับสูงสุดเช่นนี้ มีอยู่ไม่มากนักในทวีปหลิงโซ่ว
“นี่คือสากวายุอัสนี ของล้ำค่าตกทอดจากราชวงศ์เฟิงเหลยของข้า หากท่านเซียนชอบ ข้าน้อยมอบให้ท่านเลย”
เว่ยเฉิงเย่เห็นเสิ่นเสวียนกล่าวชมสากวายุอัสนีไม่ขาดปาก จึงกล่าวเช่นนี้ทันที
“เห็นข้าเป็ใครกัน ผู้มีคุณธรรมไม่แย่งของรักของหวงของใคร ในเมื่อมันคือของล้ำค่าตกทอดของเ้า เ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ”
เสิ่นเสวียนยิ้มออกมา แล้วเก็บสากเข้าไปในแหวนดังเดิม
ยาขั้นสูงบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ ส่วนใหญ่แล้วเป็ยาที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ได้ช่วยเื่การฝึกฝนมากนัก
“รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงช่วยเ้า”
“ไม่รู้”
เว่ยเฉิงเย่ส่ายหัว เขาไม่รู้เลยจริงๆ
เขารู้ดีกว่าใครว่าหากดึงเสิ่นเสวียนเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว คงยากที่จะล่าถอยออกไปได้
แต่อย่าลืมว่าแคว้นเฟิงเหลยเป็แคว้นที่ใหญ่ที่สุดในทวีปหลิงโซ่ว เป็แคว้นที่มีอำนาจแข็งแกร่งที่สุด พลังใกล้เคียงกับมณฑลหลิงโซ่วที่สุด ในแคว้นมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน หรือกระทั่งมีผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในราชวงศ์เฟิงเหลยด้วยก็ไม่แปลก
ตอนนี้เสิ่นเสวียนอยู่ในขั้นหยวนก่อกำเนิดเท่านั้น แม้จะนับรวมเสิ่นสืออีเข้าไปด้วย ก็เพิ่งอยู่ในขั้นจักรพรรดิระดับกลางเท่านั้น ยังเทียบชั้นกับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้เลย
“เพราะอย่างแรกที่เ้าคิดถึงคือช่วยครอบครัวของเ้าก่อน ไม่ใช่การแก้แค้น”
เสิ่นเสวียนกล่าวถึงส่วนสำคัญของเว่ยเฉิงเย่ หากอีกฝ่ายคิดเพียงแก้แค้นแล้วเขาเลือกให้ความช่วยเหลือ เขาคงกลายเป็คนไม่มีความคิดไป
แต่ถ้าเป็การช่วยเหลือครอบครัว ความหมายจะเปลี่ยนไปทันที หลังจากเกิดใหม่เขาให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก ตอนนี้เขามายังทวีปยิ่งใหญ่แห่งนี้เกือบปีแล้ว ได้รู้จักสหายมาไม่น้อย อย่างเสิ่นเสี่ยวเม่ย เสิ่นเลี่ยน เริ่นเสี้ยวเทียน และคนอื่นๆ
จุดสำคัญที่ฝ่าด่านเคราะห์ล้มเหลวไปเมื่อชาติก่อน ในท้ายที่สุดแล้วปีศาจในจิตใจจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และทำให้จิตใจแห่งเต๋าของเขาแตกสลายไป ซึ่งสิ่งที่ขาดหายไปจากจิตใจแห่งเต๋านั่นก็คือความรัก
“เื่นี้ถูกลิขิตไว้แล้ว หากข้ายังแก้แค้นอีกคงมีคนาเ็ล้มตายเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ข้าอยากช่วยน้องสาวข้าออกมา และอยากรู้ว่าท่านพ่อเป็อย่างไร” เว่ยเฉิงเย่ถอนหายใจออกมา หลายปีก่อนเขายังคิดแก้แค้นอยู่ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากแล้ว
ใน่เวลาที่ไม่รู้ว่าร่างจิติญญาของตนเองจะแตกสลายไปเมื่อไร จะแก้แค้นไปก็คงไม่มีประโยชน์
“ข้าจะปลดปล่อยเ้าออกไป ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมออกไปพร้อมกับข้า”
เสิ่นเสวียนเก็บสากวายุอัสนีคู่หนึ่งเข้าไปในแหวนของอีกฝ่าย แล้วเดินไปตรงหน้าเว่ยเฉิงเย่
“้ามีผนึกอยู่ ร่างจิติญญาของข้าออกไปได้ยาก...”
เว่ยเฉิงเย่ยืนขึ้นพลางกล่าวด้วยแววตาหม่นหมอง
“มีข้าอยู่ด้วย ไม่ต้องสนใจผนึกนั่นหรอก”
เสิ่นเสวียนกล่าว จากนั้นก็สะบัดมือส่งเว่ยเฉิงเย่เข้าไปภายในมิติ
ทว่ามิตินี้ไม่ใช่มิติก่อนหน้าที่เสวียนหลิงเอ่อร์เคยอยู่ แต่เป็อาณาเขตรอบนอกของผังเมืองซานเหอ เป็โลกสีขาวโพลน ซึ่งก่อนหน้านี้เสี่ยวเหยียนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มานานมาก
ส่วนมิติก่อนหน้านั้นยังคงมีโลงศพสีแดงของเสวียนหลิงเอ่อร์วางอยู่ ไม่เหมาะสมที่จะให้คนอื่นเข้าไป
“รออยู่ในนั้นห้ามเคลื่อนไหว ตอนนี้ข้าจะพาเ้าออกไปเท่านั้น ส่วนจะช่วยเ้าเมื่อไรต้องรอให้พลังของข้าแข็งแกร่งมากพอเสียก่อน”
“เข้าใจแล้ว ข้าน้อยเข้าใจ”
เว่ยเฉิงเย่ซาบซึ้งในตัวเสิ่นเสวียนมาก หากเขาได้ออกไปจริงๆ อาจช่วยเสิ่นเสวียนได้มาก
“แต่ข้าต้องขอเตือนเ้าสักหน่อย อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ หากเ้าวู่วามออกไปแก้แค้นด้วยตนเอง ร่างจิติญญาของเ้าเรียกได้ว่าเป็ยาบำรุงชั้นเลิศของผู้ฝึกตนทั้งหลายในเมืองชางฉง อาจโดนคนอื่นกลืนกินเอาได้หากไม่ระวังตัว”
“เข้าใจแล้ว ข้าน้อยเข้าใจ”
เว่ยเฉิงเย่มีความคิดอย่างที่เสิ่นเสวียนกล่าวมา แต่เขาคงไปแก้แค้นเองหากหมดหนทางแล้วจริงๆ เท่านั้น
เขาเคยฝึกฝนถึงขั้นนั้นมาก่อน ร่างจิติญญาหายากเพียงใดเขารู้ดี
เสิ่นเสวียนกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง เขาเหลือบตามองเสิ่นสืออีเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็กระโจนขึ้นไป้าพร้อมกัน
ขณะที่พุ่งออกไปถึงอาณาเขต้า มีผนึกขวางทางเสิ่นเสวียนเอาไว้จริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้มันไม่มีอยู่ เนื่องจากในตอนนี้ร่างจิติญญาของเว่ยเฉิงเย่มากับเสิ่นเสวียนด้วย ผนึกนั้นจึงปรากฏขึ้นเพื่อขวางทางเว่ยเฉิงเย่เอาไว้
“ฝีมือแค่นี้ยังคิดขวางข้าอีกหรือ”
เสิ่นเสวียนกล่าวเสียงเย็น จากนั้นก็ปล่อยพลังหมัดใส่ผนึก้า
ตูม!!!
เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ผนึกถูกทำลายในพริบตา จากนั้นเสิ่นเสวียนและเสิ่นสืออีก็พุ่งทะยานออกไปจากหนองน้ำ
ในขณะเดียวกัน ที่ตำหนักแสงทองอร่ามหลังหนึ่งภายในวังเฟิงเหลย จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของแคว้นเฟิงเหลยพลันลุกขึ้นนั่ง สายตามองไปทางใต้ของเมืองชางฉงอันไกลโพ้น
“ฝ่าา เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ชายชราชุดม่วงคนหนึ่งกล่าวถามในทันทีที่เห็นจักรพรรดิผุดลุกขึ้น
“เขาออกมาแล้ว”
จักรพรรดิแห่งเฟิงเหลยองค์ปัจจุบันมีอายุราวสามสิบกว่าปี ไอพลังที่ทั้งหนาแน่นและสูงส่งพวยพุ่งออกมาจากร่างปกคลุมไปทั่วทั้งวัง คล้ายว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
นี่คือไอพลังสูงส่งที่ถูกหล่อเลี้ยงมานานหลายปี แค่พลังอำนาจนี้อย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่เว่ยเฉิงเย่จะเทียบเคียงได้แล้ว
แม้เว่ยเฉิงเย่จะเป็รัชทายาท แต่สุดท้ายแล้วก็เป็เพียงรัชทายาท และทำได้เพียงปกครองแคว้นชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่จักรพรรดิที่แท้จริง
ซึ่งต่างจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่รับตำแหน่งมาแล้วสิบสามปี กลายเป็ผู้กุมอำนาจในแคว้นเฟิงเหลยไปนานแล้ว
“ผนึกนี้ท่านทำขึ้นด้วยตนเอง...”
“เมื่อครู่มันถูกทำลายไปแล้ว และยังถูกทำลายโดยพลังบริสุทธิ์อีกด้วย มิอาจตามหาคนทำได้เลย”
นี่ต่างหากคือเหตุผลที่เขาเป็กังวล ทำลายผนึกของเขาได้ในพลังโจมตีเดียว แม้แต่ร่องรอยพลังก็ไม่มี แสดงให้เห็นว่าบุคคลนี้รู้จักผนึกของเขาเป็อย่างดี ส่วนตนเองกลับไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็ใคร
คนหนึ่งอยู่ในที่ลับ อีกคนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง
นี่ไม่ใช่เื่ดีสำหรับเขาเลย
“เ้าไปจัดการเื่นี้ ตรวจสอบให้เจอแล้วสังหารให้สิ้น”
จักรพรรดิกล่าวกับชายชราชุดม่วงภายในตำหนัก หลังจากที่ใใน่แรก เขาก็กลับมาเป็ปกติได้อย่างรวดเร็ว
หากเื่นี้เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งหรือสองปี เขาอาจยังหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่นี่ผ่านไปแล้วสิบกว่าปี เขายังต้องกลัวอะไรอีก
คนตายไปแล้วสร้างปัญหาได้ไม่มากนักหรอก
“ขอรับ”
ชายชราชุดม่วงรับคำแล้วออกไปทันที
จักรพรรดิมองชายชราชุดม่วงเดินจากไปด้วยดวงตาหรี่เล็กลง
“จำเป็ต้องทำให้เขารู้จักข้าโดยเร็วที่สุด”
จักรพรรดิกล่าวพึมพำ จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไป