พี่สาวน้องสาวหลายคนต่างก็กลับมาที่ห้องข้างนอกดังเดิม ล่าวไท่จุนพูดพลางหัวเราะพลาง “วันนี้เวลาก็พอสมควรแล้ว พวกเ้าควรไปที่เรือนซิ่งหนิง ไปเรียนกฎระเบียบมารยาทเถิด”
“เ้าค่ะ” คุณหนูทั้งหลายต่างพยักหน้าพร้อมกันอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
ซุนซื่อเอ่ยขึ้น “ล่าวไท่จุน วันนี้เรียนตามปกติ ส่วนพรุ่งนี้เช้าข้าจะพาหยีเจี่ยร์กลับไปจวนติ้งกั๋วกงสักครั้งหนึ่ง ถึงตอนนั้นแม่นมจานก็สอนคุณหนูคนอื่นๆ ที่เรือนซิ่งหนิงตามปกติเถิดเ้าค่ะ”
ล่าวไท่จุนยิ้มและพยักหน้า เสมือนว่าไม่เคยได้ยินซุนซื่อพูดผิดออกมาเลย
ฉินฮุ่ยหนิงยืนอยู่ข้างๆ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว นางดึงแขนเสื้อของซุนซื่อ พร้อมพูดออกมาด้วยความเขินอาย “ท่านแม่ ท่านไม่พาลูกไปด้วยหรือเ้าคะ? ข้าก็คิดถึงท่านตาท่านยายแล้ว”
ความเป็จริงแต่เดิม ซุนซื่อพอมีความลังเลอยู่บ้าง
ชั่วอึดใจก่อน ซุนหยู่มาที่นี่ บอกว่าฮูหยินติ้งกั๋วกงอยากเจอไข่มุกที่เพิ่งเจอกลับมาของฉินหวยหยวน แต่ไม่ได้บอกว่าอยากจะเจอลูกเลี้ยงเสียหน่อย ถึงกระนั้นเมื่อคิดดูอีกด้านหนึ่ง พวกเขาบอกว่าอยากจะเจอหลานสาว ก็ไม่ได้บอกว่าอยากเจอคนไหน ตัวเองทำเป็สะเพร่าพาฉินฮุ่ยหนิงไปด้วยก็หมดเื่แล้ว
“แน่นอนว่าต้องพาเ้าไปด้วย” ซุนซื่อจัดหน้าผมให้ฉินฮุ่ยหนิงอย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้ตอนเช้า พวกเราก็จะไปกันแล้ว”
ฉินฮุ่ยหนิงจับแขนของซุนซื่อพร้อมยิ้มประจบออดอ้อน
คุณหนูหกซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง นางรู้สึกอิจฉาจึงเอ่ยขึ้นบ้าง “ท่านป้าใหญ่ หากวันใดถ้ามีโอกาส ท่านก็พาหลานไปที่บ้านของท่านเพื่อไปเปิดหูเปิดตาด้วยนะเ้าคะ ได้ยินมาว่า สวนดอกไม้ของจวนติ้งกั๋วกงนั้นใหญ่กว่าสวนในจวนบ้านเราเสียอีก อีกทั้งวิวทิวทัศน์ก็สวยงามกว่าอีกด้วย”
ครั้นฮูหยินสองได้ยิน สีหน้ากลับบูดบึ้งลงทันควัน นางจ้องมองคุณหนูหกเขม็ง ทว่าคุณหนูหกไม่ยอมเชื่อฟังเหมือนอย่างที่ผ่านมา ใบหน้าของเด็กสาวมีสีแดงระเรื่อ ใช้ั์ตาสดใสเป็ประกายมองไปที่ซุนซื่อ
ซุนซื่อถูกคำพูดของคุณหนูหกทำให้พอใจ จึงพยักหน้าและเอ่ยตอบรับ “วันข้างหน้าหากมีโอกาส จะต้องพาพวกเ้าทั้งหมดไปด้วย”
“เ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านป้าใหญ่” คุณหนูหกยิ้มหวาน
ล่าวไท่จุนเห็นแล้วไม่ได้คิดมากอะไร เพียงคิดว่า เด็กๆ มีความบริสุทธิ์ใจ อยากจะเล่นก็เท่านั้น
“เป็ญาติบ้านเดียวกัน ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ถึงจะดี ครั้งนี้เป็เพราะหยีเจี่ยร์เพิ่งกลับมา คิดว่าเมื่อเจอตากับยายคงมีเื่อยากจะพูดคุยด้วย ครั้งหน้าพวกเ้าไปกันทั้งหมดเถิด มีโอกาสทั้งหมดนั่นล่ะ”
คุณหนูทั้งหลายต่างคำนับตอบ
ตลอดเวลาในวันนั้น ฉินหยีหนิงยังคงใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และอาจเป็เพราะวันรุ่งขึ้นต้องไปจวนติ้งกั๋วกงกระมัง ขณะที่เรียนอยู่นั้น ฉินฮุ่ยหนิงดูเหมือนว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ท่าทางมารยาทที่แม่นมจานสอนฉินฮุ่ยหนิงอยู่หลายครั้ง นางก็จำไม่ได้ จนแม่นมจานคร้านจะพูดแล้ว
อีกทั้งฉินหยีหนิงยังพบอีกว่า ฉินฮุ่ยหนิงใช้สายตาอำมหิตมากกว่าเดิมมองมาที่ตน เสมือนว่าตนกับนางมีความเคียดแค้นร้ายแรงมากอย่างไรอย่างนั้น
ตอนบ่าย ยังคงไปห้องหนังสือที่เรือนอีกหลัง ซึ่งมีฉากไม้กั้นอยู่ ฟังท่านอาจารย์สอนหนังสือ เมื่อถึงตอนกลางคืนกลับไปที่เรือนเสวี่ยลี่ พร้อมกับท้องฟ้าซึ่งมืดลงเสียแล้ว
ฉินหยีหนิงกำลังคิดว่า พรุ่งนี้จะไปพบฮูหยินติ้งกั๋วกง เพราะไม่รู้ว่าท่านยายเป็คนอุปนิสัยอย่างไร ทำให้ในใจมีความรู้สึกกังวลอยู่หลายส่วน จึงสั่งรุ่ยหลานให้ไปเตรียมเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ในวันพรุ่งนี้ และรบกวนแม่นมจานช่วยตรวจดูให้นาง เมื่อเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ถึงได้เข้าไปพักผ่อน
ครั้นได้ล้มตัวนอนอยู่บนเตียงไม้ นางกลับยังคงนึกถึงเื่ราวในวันที่แม่นมเปามาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง
ต่างกล่าวกันว่า ‘สิ่งต่างๆ รวมตัวกันตามชนิด ดูคนให้ดูจากกลุ่มของเขา’ แม่นมเปาเป็บ่าวคนสนิทของฮูหยินติ้งกั๋วกง แน่นอนว่า ควรมีความคล้ายคลึงกับฮูหยินติ้งกั๋วกงอยู่หลายส่วน ไม่ว่าจะพูดจาหรือกระทำอันใดก็ตาม ย่อมต้องละม้ายใกล้เคียงกับเ้านายอยู่บ้าง
หลังนำสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นมาคิดๆ ดูหนึ่งรอบแล้ว อีกทั้งในใจนั้นก็ตระเตรียมวิธีเผชิญหน้าเมื่อประสบปัญหาเอาไว้แล้วด้วย ฉินหยีหนิงถึงได้สบายใจและหลับไปในที่สุด
กลางคืนที่เงียบสงบ
เช้านั้นนางคำนับล่าวไท่จุนแล้ว ฉินหยีหนิงก็กลับไปที่เรือนเสวี่ยลี่เพื่ออาบน้ำอาบท่าและแต่งตัว
นางเลือกเสื้อมีกระดุมคอตัดเย็บจากผ้าทอเรียบลื่นสีชมพู กระโปรงบานสีเหลืองห่าน เสื้อตัวนอกเป็เสื้อคลุมขนกระต่ายขาวและขนลิงอุรังอุตังสีแดง เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งตัวดูสดใส ทำให้ฉินหยีหนิงไม่สูญเสียความเป็เด็กสาว และยังทำให้ดูเด่นมีเสน่ห์อีกด้วย ดูจากเนื้อผ้าและการตัดเย็บแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้สูญเสียความเป็คุณหนูลูกบ้านผู้ดีแต่อย่างใด
ส่วนเครื่องประดับบนศีรษะนั้น ฉินหยีหนิงเลือกเครื่องประดับทำจากหยกที่ฮูหยินสามได้ส่งมาให้ หนึ่งในนั้นคือปิ่นดอกกานพลูหนึ่งคู่กับปิ่นปักผมดอกดาดตะกั่วหนึ่งยอด
สีผมของฉินหยีหนิงเป็สีดำสลวย เมื่อคาดผมไปข้างหลัง เพิ่มเติมด้วยปิ่นปักผม ยิ่งทำให้ดูดกดำเงางามเข้าไปอีก ปิ่นปักผมออกแบบมาอย่างละเอียดอ่อนและมีราคาแพง
“แม่นม อายุของข้าตอนนี้ ไม่ต้องใช้เครื่องแป้งสีชมพูพวกนี้ใช่หรือไม่?” ฉินหยีหนิงมองไปยังโต๊ะเครื่องสำอางที่อยู่ในตลับและขวดหลากหลายเ่าั้ กลิ่นหอมโชยเข้ามาเตะจมูก ให้ความรู้สึกคล้ายกำลังหายใจไม่ออกอยู่หลายส่วน
แม่นมจานยิ้มและจัดผมให้นาง พลางหัวเราะและเอ่ยขึ้น “คุณหนูทำเช่นนี้ก็ดีที่สุดแล้ว แต่เดิมท่านก็สวยมาั้แ่เกิดแล้ว คุณหนูตัวน้อย ยังไม่จำเป็ต้องใช้ผงห่านเหลืองชมพู แต่ว่าอากาศข้างนอกหนาวเย็น ท่านเพียงแค่ใช้น้ำมันดอกมะลิหอมก็เพียงพอแล้ว มิเช่นนั้นผิวต้องลมพัดมากๆ ก็จะไม่ดีนะเ้าคะ”
ฉินหยีหนิงยิ้มและผงกศีรษะ “ข้ารับฟังแม่นมเ้าค่ะ”
ไปจวนติ้งกั๋วกงหนนี้ ฉินหยีหนิงพารุ่ยหลานไปเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เดิมพาแม่นมอีกคนไปได้ แต่จากการสังเกตของฉินหยีหนิง แม่นมจู้เป็คนดีที่ไม่ค่อยพูดจา ไม่สามารถะโข้ามกำแพงใหญ่ๆ ได้ แม่นมจานก็ไม่ใช่บ่าวของตน จึงทำได้เพียงยกเลิกความคิดดังกล่าว
การออกจากบ้านในคราวนี้ รุ่ยหลานก็เปลี่ยนเสื้อให้ความอุ่นเป็เสื้อสีฟ้าพลอย เสื้อคลุมข้างนอกสีแดงสดและมีขนที่คอด้วย นางสวมเสื้อยาวจนถึงเข่า สวมเสื้อผ้าสีแดงเขียว ทำให้นางดูเป็สาวและมีความหนักแน่นอยู่ไม่น้อย ดูๆ แล้วจะทำให้คนชื่นชอบอย่างมาก
“คุณหนู รถม้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่บอกว่า จะรออยู่ที่ประตูสองด้านนอก และจะออกไปทางประตูฝั่งทิศตะวันตก พวกเราไปที่ประตูสองก่อน และค่อยเปลี่ยนรถม้าคันอื่นเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงนั่งรถม้าแล้ว ในมือจับกระถางอุ่นมือซึ่งถูกออกแบบมาอย่างประณีตอยู่ รุ่ยหลานก็ขึ้นไปบนรถม้านั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ไม่นานก็ออกจากประตูสองไป
หลังเปลี่ยนม้าลาก จากนั้นไม่นานก็ได้มาที่ประตูฝั่งทิศตะวันตก
หน้าประตูฝั่งทิศตะวันตกมีขบวนรถม้าจอดรออยู่แล้ว
ภริยาของท่านอัครมหาเสนาบดีจะกลับบ้านทั้งที อีกทั้งครั้งนี้ยังพาลูกสาวกลับไปด้วยอย่างเปิดเผยและจริงใจ แน่นอนว่าไม่มีทางเป็เหมือนครั้งก่อน ซึ่งกลับไปเพียงรถม้าแค่คันเดียวและกลับไปอย่างเร่งรีบ การออกจากบ้านหนนี้ แค่รถม้าของเ้านายก็เตรียมมาสองคันแล้ว อีกทั้งยังเป็รถม้าที่มีกันสาดและมีพุ่มด้วย ข้างหลังตามด้วยแม่นมคนสนิทนั่งรถม้าหัวแบน และข้างหลังถัดจากนั้น ก็เป็รถม้าอีกสองคัน เอาไว้ลำเลียงของขวัญ ตามด้วยบ่าว และทหารอารักขาและอื่นๆ เมื่อรวมๆ กันแล้วก็ประมาณสิบกว่าคน
ฉินหยีหนิงก้าวขึ้นไปบนบันไดเก้าอี้ที่เคลือบน้ำมันสีแดงของรถม้าคันแรก ทันทีที่เลิกผ้าม่าน ก็เห็นซุนซื่อกับฉินฮุ่ยหนิงอยู่ชิดใกล้กัน จับจองนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ขณะที่แม่นมจินนั่งอยู่ด้านล่าง ซึ่งเมื่อเห็นฉินหยีหนิงเข้ามา แม่นมจินก็คำนับและกล่าวทักทาย
ฉินหยีหนิงคำนับกลับ และยังคำนับซุนซื่ออีกด้วย
การเดินทางคราวนี้ ซุนซื่อสวมเสื้อสีม่วงเข้มสลับอ่อน ข้างนอกตกแต่งด้วยผ้าไหมลวดลายหรูหรา และด้วยการแต่งหน้าแสนละเอียดอ่อน ทำให้แทบไม่เห็นร่องรอยของกาลเวลาบนใบหน้าบอบบางของนางเลย เห็นเพียงความสง่างามและความสดใสของนางเท่านั้น
ฉินฮุ่ยหนิงแต่งตัวด้วยชุดที่มีสีสันแปลกตา เกินความคาดหมายของฉินหยีหนิงไปมากทีเดียว
ฉินหยีหนิงนั่งตรงข้ามกับแม่นมจิน พลางใช้สายตาสำรวจฉินฮุ่ยหนิงอย่างเปิดเผยและจริงใจ
เสื้อคลุมกันหนาวข้างนอกสีเขียวหยก ด้านในเป็เสื้อยาวตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีฟ้า สีเสื้อผ้าเป็สีอ่อนทั้งชุด ให้ความรู้สึกสง่างามเป็พิเศษ นางใช้ความพยายามอย่างมากในการแต่งหน้า คิ้วโก่งเล็กน้อย นางทาแป้งชมพูได้เหมาะสมกำลังดี โดยเฉพาะริมฝีปากสีแดงดั่งกลีบดอกกุหลาบ ซึ่งดูเข้ากันกับตุ้มหูหยกแดงอย่างมาก ทำให้นางดูสดใสเป็ประกายขึ้นมาหลายส่วน
เมื่อนางแต่งตัวเช่นนี้ สวยงามจริงๆ เกินกว่าความสง่างามที่นางเคยมี ทำให้เห็นเสน่ห์ที่สดใสกว่าเดิม
ฉินฮุ่ยหนิงถูกฉินหยีหนิงสังเกตจนไม่เป็ตัวของตัวเองแล้ว ฉินฮุ่ยหนิงนิ่วคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถาม “น้องเสี่ยวซีกำลังมองอันใดอยู่หรือ?” เมื่อริมฝีปากแดงขยับเล็กน้อย ฟันสีขาวเรียงกันอย่างเรียบร้อยก็ถูกเปิดให้เห็น
ฉินหยีหนิงยิ้มก่อนเอ่ยตอบ “คุณหนูฮุ่ยหนิงแต่งตัวเช่นนี้สวยงามมาก เลยมองเพลินไปหน่อย”
“เทียบไม่ได้กับน้องเสี่ยวซีหรอก ที่สวยมาั้แ่กำเนิด”
นางพยายามอย่างหนักแล้ว เพื่อไม่ให้หน้าตาต้องแพ้พ่ายให้ฉินหยีหนิง เพราะนางคิดว่า ในเมื่อเป็ครั้งแรกที่จะไปจวนติ้งกั๋วกง ฉินหยีหนิงจะต้องแต่งตัวอย่างพิถีพิถันมากแน่นอน
แต่กลับผิดคาด ฉินหยีหนิงนอกจากไม่ได้ใช้แป้งแล้ว เครื่องประดับก็ไม่ได้ใส่มากเท่าใดอีกด้วย?
ทว่าที่น่าเกลียดชังมากที่สุดก็คือ ฉินหยีหนิงมีหน้าตาที่มีเสน่ห์สดใสเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงแม้ไม่ใช้แป้งอะไร ก็ซ่อนสิ่งเหล่านี้ไว้ไม่มิด
เดิมทีฉินฮุ่ยหนิงมีความทระนงอยู่บ้าง แต่ยามนี้เมื่อต้องนั่งอยู่ตรงข้ามกับฉินหยีหนิง นางกลับรู้สึกว่าความทระนงของตนนั้นแตกสลายกลายเป็ผงธุลีไปแล้ว
บรรยากาศภายในรถม้าหนักอึ้งอึดอัดอย่างทำตัวไม่ถูกอยู่หลายส่วน
แม่นมจินกระแอมเสียงเบาหนึ่งครั้ง หลังจากชำเลืองมองดวงตาที่ปิดสนิทของซุนซื่อ ก่อนยิ้มและพูดว่า “คุณหนูสี่ นี่เป็ครั้งแรกที่ท่านจะกลับไปจวนติ้งกั๋วกง บ่าวจะแนะนำจวนติ้งกั๋วกงให้ท่านจะดีหรือไม่เ้าคะ?” ท่าทีดูมีความเคารพ ไม่ใจร้อนเหมือนตอนที่พบกันเมื่อครั้งแรกตอนนั้น
ฉินหยีหนิงรู้ว่าคนเหล่านี้หากปล่อยไว้จะคุ้นเคยกับการเคารพคนสูงศักดิ์กว่า แต่เหยียบคนที่ต่ำกว่า ในใจไม่ได้กังวลอะไร เพียงแค่ยิ้มอย่างปลื้มใจ “ขอบพระคุณแม่นมจิน ข้ายังอยากจะรอฟังจากท่านอยู่”
แม่นมจินก็ได้อธิบายให้ฉินหยีหนิงฟังด้วยเสียงเบา
นอกจากคนในจวนติ้งกั๋วกงจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ก็ยังเป็จวนของผู้ที่มีการศึกษา กฎระเบียบภายในบ้านค่อนข้างเข้มงวด อย่าคิดว่าตำแหน่งสูงแล้วอำนาจจะสูงด้วย ลูกหลานภายในบ้าน โดยเฉพาะในตอนนี้ติ้งกั๋วกงกับฮูหยินติ้งกั๋วกงเป็ผู้ดูแลจัดการทั้งหมดสามชั่วอายุคน ถึงแม้จะเป็คนในบ้านหรือสมาชิกที่แตกสาขาออกไปแล้ว ก็ไม่เคยมีเื่ชายรังแกหญิงอำมหิตมาก่อน
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้ฉินหยีหนิงนับถือและรู้สึกอัศจรรย์มากที่สุดก็คือ พี่น้องในจวนติ้งกั๋วกงนั้น มีความสามัคคีกลมเกลียวกันอย่างมาก การวางอุบายสมรู้ร่วมคิดทำร้ายคนอื่นอะไรทำนองนั้น หากถูกฮูหยินติ้งกั๋วกงจับได้ละก็ จะต้องโดนลงโทษสถานหนักเชียว
“ฮูหยินติ้งกั๋วกงได้กล่าวไว้ว่า สมาชิกในบ้านเดียวกัน หากไม่มีความสามัคคีกลมเกลียวกัน แล้วจะต้านทานข้าศึกที่เข้ามาบุกรุกในบ้านได้อย่างไร? ต้นไม้ที่ผลิดอกต้นหนึ่ง ถึงแม้ว่าข้างนอกอาจจะดูสวยงาม แต่ถ้ารากของมันเน่าแล้ว มันก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานได้” น้ำเสียงของแม่นมจินดูมีความเคารพอย่างมาก
ฉินหยีหนิงเห็นด้วยอย่างที่สุด
หากมาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ก็กลับรู้สึกว่าจวนอัครมหาเสนาบดีมีความสกปรกอยู่เล็กน้อย
จวนติ้งกั๋วกงนี้มีสองบ้าน ซุนซื่อเป็ลูกสาวคนโต ในโครงสร้างของตระกูลอยู่ในลำดับที่สาม ทายาทลำดับบนของนางนั้นมีพี่ชายสองคน ซึ่งรักและตามใจซุนซื่อมากๆ
“ท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองของคุณหนูต่างก็เป็แม่ทัพสู้ศึกกับต้าโจว วันนี้น่าจะไม่อยู่ในจวน แต่ว่าป้าหญิงทั้งสองท่านต่างก็อยู่ในจวน ในโครงสร้างของตระกูลมีพี่สาวน้องสาวทั้งหมดหกคน คุณชายมีอยู่ห้าคน และคนโตที่สุดก็คือคุณชายใหญ่ซึ่งมาส่งสารที่จวนเมื่อวานนี้เ้าค่ะ...”
เมื่อแม่นมจินได้อธิบายเกี่ยวกับบรรยากาศความเป็อยู่ของจวนติ้งกั๋วกงแล้ว ก็มาพูดต่อในเื่ของคนในบ้านของจวนติ้งกั๋วกงต่อ ฉินหยีหนิงฟังอย่างตั้งใจ
เมื่อรถม้าได้มาถึงจวนติ้งกั๋วกงแล้ว ฉินหยีหนิงก็ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างและความเป็อยู่ของจวนติ้งกั๋วกงไปแล้วหนึ่งรอบ
“คุณหนูกลับมาหรือยัง” เสียงจากข้างนอกรถม้าดังขึ้นอย่างปีติ อึดใจต่อมาได้ยินเสียงจากคนในบ้านเอ่ยออกมาว่า “รีบไปบอกฮูหยินเร็ว ว่าท่านอาหญิงกับน้องหญิงกลับมาแล้ว”
ผ้าม่านของรถม้าถูกเลิกขึ้น บ่าวได้วางเก้าอี้บันไดไม้สีแดงไว้เรียบร้อยแล้ว แม่นมจินะโลงจากรถ ดูแลรับใช้ซุนซื่อยามนางก้าวลงจากรถ แม่นมช่ายกับปี้ถงประคองฉินฮุ่ยหนิง รุ่ยหลานคล้องแขนฉินหยีหนิง
หลังขึ้นบันได ผ่านประตูด้านข้าง และกลุ่มคนเดินผ่านประตูหยีแล้ว เบื้องหน้าก็ปรากฏหญิงสูงศักดิ์สองคน พาหญิงสาวกลุ่มหนึ่งออกมาต้อนรับและทักทาย
“ข้าบอกว่าสักประเดี๋ยวค่อยมารอ แต่พี่สะใภ้รองของเ้าจะออกมารอั้แ่เนิ่นๆ ให้ได้ นางบอกว่าพวกเ้าจะมาถึงแล้ว จนทำให้พวกเราสงสารจึงต้องออกมาด้วย” หญิงที่มีอายุมากหน่อยจับมือซุนซื่อพลางเอ่ยออกมาอย่างสนิทสนม “โอ้โห มืออุ่นจังเลย”