เสียงพิณดังกังวานเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทำลายความเงียบสงบและขจัดความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวในใจของผู้คนออกไป จนทำให้ผู้คนที่ได้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย จิตใจชื่นมื่น
เถ้าแก่นำทางอยู่ด้านหน้า กูเฟยเยี่ยน จวินจิ่วเฉิน และไป๋หลี่ิชวนตามหลังไปติดๆ เมื่อเข้าใกล้พระราชวังมากเพียงใดเสียงพิณก็ดังขึ้นมากเพียงนั้น ไม่จำเป็ต้องถามก็รับรู้ได้ว่าผู้ที่บรรเลงพิณคือแพทย์กู้อย่างแน่นอน
พวกเขาผ่านระเบียงน้ำทางยาวและในที่สุดก็ได้พบชายชุดขาวที่นั่งหันหลังบรรเลงพิณอยู่บนแท่นสูงเบื้องหน้า ระยะห่างค่อนข้างไกลจึงส่งผลให้ทุกคนมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ชัดเจน ทว่าก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าอายุเขายังไม่มากนัก
ไป๋หลี่ิชวนอดกระซิบถามไม่ได้ “เถ้าแก่ แพทย์กู้อายุน้อยเพียงนี้เชียวหรือ? ”
คำพูดนี้ไม่ใช่เพราะสงสัยในอายุของแพทย์กู้ แต่เป็เพราะสงสัยทักษะทางการแพทย์ของเขา การตรวจวินิจฉัยของผู้เป็แพทย์นั้นมีสามส่วนมาจากการเรียนรู้ อีกเจ็ดส่วนที่เหลือมาจากการประสบการณ์ ดังนั้นแพทย์ที่มาอายุมากก็จะมั่นใจในทักษะทางการแพทย์มากยิ่งกว่า
แม้ว่าแพทย์รักษาที่ซ่อนเร้นจะเหนือกว่าแพทย์ท่านอื่น แต่ภายในแพทย์รักษาที่ซ่อนเร้นก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำของความสามารถ ไม่มีใครรับรองได้ว่าแพทย์รักษาที่ซ่อนเร้นจะสามารถรักษาโรคชนิดใดให้หายได้ การตามหาแพทย์รักษาที่ซ่อนเร้นจึงเป็เพียงแค่การตามหาความหวังสุดท้ายเท่านั้น
เถ้าแก่หันไปจ้องไป๋หลี่ิชวนด้วยความไม่พอใจ “หากเ้าสงสัยก็สามารถไปรอที่ท้ายเรือได้เลย ถ้าไม่ อีกสักครู่ที่ได้พบแพทย์กู้ก็อย่าได้เสียมารยาทอีก! ”
จวินจิ่วเฉินยังคงเงียบกริบ ทว่ากูเฟยเยี่ยนกระซิบแ่เบาอย่างอารมณ์ดี “เถ้าแก่ ท่านอย่าโกรธคนที่ไม่มีความรู้เลย”
เถ้าแก่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของกูเฟยเยี่ยนแล้วเดินหน้าต่อไป
ไป๋หลี่ิชวนเลิกคิ้วมองกูเฟยเยี่ยน กูเฟยเยี่ยนทำเป็มองไม่เห็นพลันเดินตรงไปด้านหน้าต่อ ไม่ช้าพวกเขาก็เข้าใกล้แท่นบรรเลงพิณและมองเห็นแผ่นหลังของชายชุดขาวแล้ว
ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง มีแผ่นหลังที่ตั้งตระหง่าน และค่อนข้างผอม เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์กว่าหิมะ เส้นผมสีดำรวบด้วยปิ่นหยกที่ให้ความรู้สึกหล่อเหลาสะอาดสะอ้านและสุภาพสง่างาม
แม้ว่าพวกเขาจะมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกของแท่นบรรเลงพิณแล้ว แต่เขาก็ยังนั่งหันหลังจดจ่ออยู่กับสายพิณด้วยความสุขุมสง่าประดุจกับไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้สามารถมารบกวนเขาได้
เถ้าแก่ไม่ได้ก้าวขึ้นไปด้านหน้าแต่เห็นได้ชัดว่าจะรอให้เพลงนี้บรรเลงจนจบ
กูเฟยเยี่ยนพิจารณาแผ่นหลังนี้อย่างจริงจัง ทว่าหลังจากที่พิจารณาแล้วก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ นางรู้สึกเหมือนว่าตนเองเคยเห็นแผ่นหลังนี้ที่ไหน เพียงแต่นางแบ่งแยกไม่ชัดว่าคุ้นเคยกับแผ่นหลังนี้หรือคุ้นเคยกับอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์กว่าหิมะหรือคุ้นเคยกับความสุขุมสง่างามกันแน่
นางคิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกว่าผู้ชายที่นางเคยพบนอกจากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยที่อยู่ด้านข้างแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่สะอาดสะอ้านเพียงนี้ เขาคนนั้นสวมใส่อาภรณ์สีขาวที่เรียบง่ายแต่งดงามดั่งเทพที่ถูกลงทัณฑ์ให้ลงมาจุติบนโลกมนุษย์
กูเฟยเยี่ยนมั่นใจว่าความคุ้นเคยในตอนนี้ไม่ได้มาจากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย แต่นางคิดไม่ออกว่านอกจากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยแล้วนางเคยพบพานใครอีก?
หญิงสาวเหม่อมองพลางครุ่นคิดจึงทำให้ใจลอยโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว
เสียงพิณบรรเลงเข้าใกล้ท้ายเพลงแล้วค่อยๆ หยุดตัวลง รอบข้างจึงกลับเข้าสู่ความเงียบสงบและความเปล่าเปลี่ยวอีกครั้ง
ชายอาภรณ์สีขาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างกดลงบนสายพิณราวกับกำลังปลอบขวัญและขบคิดถึงบทเพลงเมื่อครู่นี้ ผ่านไประยะเวลาหนึ่งเขาถึงได้เปล่งเสียงออกมา “ทุกท่าน รอนานแล้ว”
เสียงคุ้นเคยจังเลย!
กูเฟยเยี่ยนได้สติกลับมาแล้วตกตะลึงตาค้างทันที
นี่คือเสียงที่นางได้ยินมานานหลายปีชัดๆ! หรือว่าเขาคือ…
นางจ้องมองแผ่นหลังของชายอาภรณ์สีขาวด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ วินาทีนั้นนางลนลานจนสมองเกิดความว่างเปล่าและทำอะไรไม่ถูกเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉับพลันมาก
อย่างไรก็ตามชายอาภรณ์ขาวพูดแล้วก็ลุกขึ้นหันมามอง เขามองไปที่เถ้าแก่แล้วอมยิ้มเล็กน้อย “เถ้าแก่ ไม่พบกันนาน สบายดีหรือไม่?”
วินาทีนี้เองที่ทุกคนเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้างดงามราวกับแกะสลัก ความน่าเคารพนับถือราวเทพเ้า ั์ตาสีดำลึกลับประดุจดาบที่กลืนกินความเจริญรุ่งเรืองบนโลกมนุษย์ และสุขุมเยือกเย็นราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนเขาได้อย่างแท้จริง
ทันทีที่กูเฟยเยี่ยนได้เห็นใบหน้าของเขา นางตื่นตระหนกใอย่างสุดซึ้ง
เป็ท่าน!
ไม่นึกเลยว่าจะเป็ท่าน!
กูเฟยเยี่ยนมองใบหน้าของเขาอย่างเลื่อนลอย ทั้งคิดถึงทั้งอาฆาตแค้นทั้งดีใจและอยากจะร้องไห้ ทว่าไม่ขยับเขยื้อนและพูดไม่ออก
่เวลาที่ไม่ได้พบเขา นางไม่ได้ตระหนักถึงความโดดเดี่ยว แต่ทันทีที่ได้พบเขาจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
่เวลาที่ไม่ได้พบเขา นางไม่ได้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย แต่เมื่อได้พบเขา นางกลับรู้สึกว่าโลกใบนี้ปลอดภัยแล้ว
เบ้าตาของกูเฟยเยี่ยนแดงและเปียกชื้น ครู่หนึ่งหยาดน้ำตาก็ไหลรินออกมาเป็สายโดยไร้เสียง
เขาคือท่านอาจารย์!
เขาคือท่านอาจารย์อาภรณ์ขาวของนางชัดๆ !
เขาคือท่านอาจารย์อาภรณ์ขาวที่คอยเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน คอยอยู่เป็เพื่อน คอยรักและทะนุถนอมนางมาเป็ระยะเวลาสิบปีเต็มๆ! เขาคือท่านอาจารย์อาภรณ์ขาวที่ผลักนางตกจากหน้าผาสูงด้วยความอำมหิต แล้วทิ้งให้นางโดดเดี่ยวเพียงลำพังในโลกที่ไม่คุ้นเคย!
จวินจิ่วเฉินกับไป๋หลี่ิชวนไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของกูเฟยเยี่ยนเพราะพวกเขากำลังพิจารณาแพทย์อายุน้อยท่านนี้
ในขณะเดียวกันเถ้าแก่ก็รีบเดินขึ้นไปโค้งคำนับด้วยความเคารพนอบน้อม ก่อนจะมอบจดหมายแนะนำสองฉบับให้เขา “แพทย์กู้ ข้าน้อยมารบกวนอีกแล้ว”
แพทย์กู้ไม่มีมาดใดๆ ทั้งสิ้น เขารีบโค้งคำนับเถ้าแก่กลับไป “เกรงใจๆ เป็ข้าน้อยเองที่สร้างปัญหาให้ท่านแล้ว”
เถ้าแก่ใเพราะความเมตตาเล็กน้อยจึงรีบโบกมือ “ไม่ๆ หากแพทย์กู้กล่าวเช่นนี้ข้าน้อยจะน้อมรับไม่ไหว”
แพทย์กู้โบกมือเช่นกัน “ไม่ๆ ไม่ๆ ไม่ๆ ”
ทั้งสองคนปฏิเสธกันและกันด้วยความเกรงอกเกรงใจ อย่าว่าแต่กูเฟยเยี่ยนเลย แม้แต่จวินจิ่วเฉินกับไป๋หลี่ิชวนยังมองตาค้าง
ในจินตนาการของพวกเขาแพทย์รักษาที่ซ่อนเร้นนั้นรับมือได้ยาก หากไม่ใช่อุปนิสัยใจคอแปลกประหลาดก็จะต้องวางมาดโอหัง ทว่าแพทย์กู้ตรงหน้าท่านนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นักปราชญ์ผู้อ่อนโยนและอ่อนแอ สุภาพเรียบร้อยและมีมารยาท ง่ายต่อการเจรจา!
เป็เช่นนี้ได้อย่างไร?
กูเฟยเยี่ยนคิดไม่ถึง วินาทีที่เขาหันกลับมาเมื่อสักครู่นี้ นางเห็นถึงความเอาแต่ใจและเกียจคร้านในดวงตาของเขาชัดๆ อีกทั้งลักษณะท่าทางนั้นเหมือนกับท่านอาจารย์อาภรณ์ขาวทุกประการ!
ทว่าปัจจุบันนี้เป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร?
หรือว่านางมองผิดไป?
หรือว่าแพทย์กู้ท่านนี้เพียงแค่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับท่านอาจารย์อาภรณ์ขาวเท่านั้น เขาไม่ใช่ท่านอาจารย์อาภรณ์ขาว?
กูเฟยเยี่ยนไม่เชื่อและไม่ยินยอมที่จะเชื่อ
ในเวลานี้ไป๋หลี่ิชวนก็ได้เอ่ยเร่งรัด “เถ้าแก่ รบกวนท่านแนะนำหน่อย…”
ในที่สุดเถ้าแก่ที่เกรงอกเกรงใจแพทย์กู้อยู่ก็ได้หันกลับมามองพลางรีบเอ่ยแนะนำทุกคน
“ทุกท่าน ท่านนี้คือแพทย์ตระกูลกู้ที่หลงเหลืออยู่เพียงท่านเดียว แพทย์กู้ กู้อวิ๋นหย่วน”
เขามีนามว่ากู้อวิ๋นหย่วน?
ในหัวของกูเฟยเยี่ยนนึกถึงภาพวาดลึกลับที่ตนเองเห็นในหอพระคัมภีร์ของตระกูลกูโดยไม่รู้ตัว บทกวีนิพนธ์เพียงประโยคเดียวที่เห็นชัดเจนบนภาพวาดนั้นคือ “ยากหยั่งรู้พิณหวนกลับราตรีใด ดวงหทัยปลิวครรไลเมฆเอกา”
นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าบทกวีนิพนธ์นี้ ผู้ที่บรรเลงพิณฝากฝังความรู้สึกไว้กับทัศนียภาพธรรมชาติ โดยที่ปล่อยใจล่องลอยไปกับเมฆแห่งความเดียวดาย ดำรงชีวิตกับสภาวะจิตใจในอิสระไร้ขีดจำกัด ทว่านางไม่ได้คิดเลยว่าภายในบทกวีนี้ความหมายของคำว่า “ครรไลเมฆ” จะสามารถเป็ชื่ออย่าง “อวิ๋นหย่วน” ได้เช่นกัน
ท่านอาจารย์อาภรณ์ขาวเคยกล่าวเอาไว้ว่าเขานามสกุลกู ดังนั้นนางจึงใช้นามสกุลกูของเขาและมีนามว่ากูเฟยเยี่ยน
กูอวิ๋นหย่วน?
กู้อวิ๋นหย่วน?
ในนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไม่? หรือว่านี่เป็เพียงแค่ความบังเอิญ?
เขาเป็เพียงกู้อวิ๋นหย่วนหรือ…เป็ท่านอาจารย์อาภรณ์ขาวที่แกล้งทำเป็ไม่รู้จักนาง?