บรรยากาศรอบข้างยังคงคึกคัก เด็กเล็กวิ่งเล่นแถวสนามหน้าโรงเรียน ขณะคนแก่จำนวนหนึ่งนั่งรอคิวอย่างอดทน เสียงสนทนาจากรอบด้าน เป็เหมือนฉากหลังที่ช่วยทำให้ความเงียบระหว่างเราสองคนดูไม่อึดอัดจนเกินไป
“ยิ้มหน่อยสิ” ผมกระซิบเบา ๆ ขณะที่เขากำลังก้มเขียนใบสั่งยา
“ทำไมต้องผมต้องทำตามคุณด้วย”
“ยิ้มเถอะน่า คนไข้จะได้รู้ว่าหมอไม่ใช่ ยมทูต” คำพูดของผมทำให้เขาหลุดยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วจึงยอมยิ้มออกมาจริง ๆ เป็รอยยิ้มที่ไม่ได้มากมาย แต่กลับทำให้ใบหน้าเคร่งขรึม ดูนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน
“แค่นี้พอหรือยัง” เขาถามทั้งที่ยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ติดอยู่
“นิดนึงก็ยังดี อย่างน้อยคนไข้ ก็ไม่ต้องรู้สึกเกร็งจนเกินไป” หมอนาวินยิ้มอีกครั้ง แล้วก้มเขียนเอกสารต่อ
ไม่นานนัก คนไข้รายถัดไปก็เดินเข้ามา เป็หญิงชราอายุราวเจ็ดสิบปี ร่างกายผ่ายผอม ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าหมอนาวิน อย่างช้า ๆ
“คุณยายเป็อะไรครับ”
“กินข้าวไม่ค่อยได้เลย กินอะไรก็ไม่อร่อย” คุณยายตอบด้วยภาษาถิ่น
“หมอขอตรวจหน่อยนะ” ว่าแล้วคุณหมอก็ทำการตรวจร่างกายคุณยายเบื้องต้น ก่อนหันมามองผมเล็กน้อย เหมือนจะเตือนให้ผมเตรียมตัวจดบันทึก
ระหว่างนั้นหมอนาวินก็ให้คำแนะนำต่าง ๆ รวมถึงชวนคุณยายคุย แล้วก้มเขียนใบสั่งยาให้ ก่อนจะหันมายังผม
“คีย์! ช่วยพาคุณยายเดินไปที่โต๊ะจ่ายยาหน่อย” ผมรีบวางแฟ้มในมือลง แล้วประคองคุณยายไปยังโต๊ะจ่ายยาด้วยความระวัง
เมื่อกลับมาที่โต๊ะตรวจอีกครั้ง หมอนาวินก็กำลังคุยกับคนไข้รายใหม่ที่เป็เด็กชายตัวเล็กๆ มีอาการไข้ ผมนั่งลงข้างๆ แล้วเริ่มจดบันทึกรายละเอียดตามที่หมอพูด คอยยื่นอุปกรณ์ให้เขาด้วยความระวัง
การนั่งใกล้เขาแบบนี้ ทำให้ผมได้เห็นรายละเอียดและความมุ่งมั่นของเขาอย่างชัดเจน กลางหุบเขาเขียวขจี แม้จะเป็่แดดจ้าเกือบเที่ยงวัน แต่อุณหภูมิไม่ได้ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิด กลับมีสายลมเย็นคอยพัดผ่านอยู่เรื่อย ๆ ทำให้ทีมแพทย์ไม่เหนื่อยมากเกินไปนัก
ก่อนที่งาน่บ่ายจะเริ่มต้นขึ้น หมอหันมายังผมแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เหนื่อยไหม?” ผมมองเขาและหันมองไปยังชาวบ้านเ่าั้ พลางส่ายศีรษะช้า ๆ
“ไม่เหนื่อย”
“เก่งเหมือนกันนะเราน่ะ” เป็คำชมที่ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา
“อย่างที่หมอบอกไว้จริง ๆ ด้วย พอได้ช่วย ก็รู้สึกหายเหนื่อย” ผมพูดพลางยื่นขนมปังให้เขา
“เติมพลังไง เดี๋ยวตอนเย็นผมทำอาหารอร่อย ๆ ให้กิน” เขายิ้มแล้วมองมาที่นิ้วของผม ก่อนจะเอื้อมมาจับเบา ๆ
“นิ้วยังเจ็บอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ผมว่ามาล้างแผลก่อนดีกว่า” เขาทำท่าดึงผมเข้าไปใกล้
“เอ่อ..คุณหมอคะ เดี๋ยวปิ่นล้างแผลให้พี่คีย์ก็ได้ค่ะ มีเวลาไม่มาก คุณหมอกินอาหารรองท้องก่อนดีกว่านะคะ” เสียงของปิ่นดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมในมือของเธอถืออุปกรณ์ล้างแผลไว้พร้อมแล้ว หมอนาวินเลื่อนสายตามายังผม ก่อนที่ผมจะเอ่ยตอบ
“น้องปิ่นอาสาว่าจะล้างแผลให้ผมแล้วน่ะ”
“ไม่เป็ไรปิ่น เดี๋ยวหมอจัดการเอง" หมอนาวิน ตอบเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ทำให้ปิ่นชะงักไปเล็กน้อย
“แต่... คุณหมอเพิ่งตรวจคนไข้มาหลายเคสแล้ว ให้ปิ่นช่วยเถอะค่ะ" ปิ่นพยายามอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้ผมอย่างไม่ลดละ ผมได้แต่อึกอัก ไม่รู้จะตอบกลับว่ายังไงดี จึงได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้ปิ่น
หมอนาวินไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือผม กลับจับมันไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะดึงผมเข้าไปใกล้กว่าเดิมเล็กน้อย ดวงตาคู่คมของเขาเหลือบมองปิ่นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แล้วหันกลับมาสบตาผม
“ผมล้างแผลให้คุณเอง" น้ำเสียงของหมอนาวินฟังดูเ็าขึ้นมาเล็กน้อยจนผมรู้สึกได้ ปิ่นดูเหมือนจะรู้ตัว จึงพยักหน้ายอมรับแล้วตอบกลับ
“งั้นเดี๋ยวปิ่นไปเตรียมเครื่องมือสำหรับเคสบ่ายนะคะ" ปิ่นพูดตัดบท ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ
พอปิ่นเดินลับตาไปแล้ว บรรยากาศรอบตัวหมอนาวินก็ผ่อนคลายลงทันที เขาลูบนิ้วผมเบาๆ ก่อนค่อยๆ บรรจงทำความสะอาดแผลที่นิ้วของผมอย่างอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ห่างออกไปเพียงคืบเดียว สังเกตเห็นแววตาจริงจังขณะที่เขากำลังล้างแผลให้ผม
ยอมรับว่าเป็ความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน ระหว่างความอบอุ่น ความหวั่นไหวและความแค้น ไม่รู้ว่าผมควรรู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่...
“เจ็บไหม?” หมอนาวินเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ดวงตาของเขามีแววความห่วงใยอย่างชัดเจน ผมส่ายหน้าเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะไม่เจ็บจริงๆ หรือเพราะมัวแต่ตกอยู่ในความสับสนจนไม่รู้สึกเจ็บกันแน่!
“เสร็จแล้ว ระวังอย่าโดนน้ำ และเย็นนี้ก็ไม่ต้องช่วยทำอาหาร รอหายดีแล้วค่อยทำ”
“งั้นหมอทำให้ผมกินได้ไหมล่ะ?” ผมมองเขา พลันโน้มกายเข้าไปใกล้แล้วกระซิบ
“อาหารพื้นบ้านที่นี่ ผมกินไม่เป็จริง ๆ เมื่อคืนก็กินไม่อิ่มด้วย”
“เดี๋ยวนะคีย์ ที่บอกว่าจะทำอาหารให้ผม จริง ๆ แล้วเพราะคุณเองกินอาหารพื้นบ้านพวกนั้นไม่ได้ ก็เลยใช้ผมเป็ข้ออ้างงั้นเหรอ?” เขาทำท่า ราวกับว่ามองทะลุปรุโปร่งไปถึงความคิดที่ผมซ่อนไว้ได้ทั้งหมด
“หมอ! อย่าพูดดังสิ” ผมกระซิบใกล้ ๆ เขาอีกครั้งแล้วกล่าวต่อ
“เดี๋ยวกลับไปกรุงเทพ ผมทำอาหารให้หมอกินอีกหลาย ๆ ครั้งเลย แต่วันนี้และวันต่อ ๆ ไป ผมขอฝากท้องกับหมอได้ไหม” เอาจริง ๆ อาหารพื้นบ้านพวกนั้น ไม่ถูกปากผมจริง ๆ นั่นแหละ...
เหมือนเขากำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ั์ตาคมกริบของหมอนาวินจ้องมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ผมเดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้าหมอไม่ทำให้ผมกิน..." ผมแกล้งลากเสียงยาว ทำหน้าเศร้าสร้อย
"งั้นผมคงต้องรบกวนให้น้องปิ่นช่วยทำให้กินแล้วล่ะครับ เมื่อกี้น้องปิ่นก็อาสา จะช่วยล้างแผลให้ผมแล้วด้วย น้ำใจดีจริงๆ เลย" ผมพูดพลางส่งยิ้มหวานให้กับหมอนาวิน ตั้งใจจะยั่วเขาเล่นๆ เพราะรู้ว่าอาการทั้งหมดของเขา เริ่มไม่ปกติเมื่อผมอยู่ใกล้น้องปิ่น
และทันทีที่ผมเอ่ยถึงชื่อ ปิ่น สีหน้าของหมอนาวินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็ปกติ
“ไม่ต้องเลย!" หมอนาวินรีบสวนขึ้นมาทันที น้ำเสียงของเขาฟังดูหงุดหงิดนิดๆ
"เื่แค่นี้เอง ทำไมต้องไปรบกวนคนอื่นด้วย คุณมากับผมไม่ได้มากับปิ่นซะหน่อย หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง"
“ก็ช่วยไม่ได้ ผมกินอาหารพื้นบ้านพวกนั้นไม่ได้นี่นา จะทำเองก็เจ็บมือ” ผมยกมือของตัวเองขึ้นมอง แล้วเหลือบไปยังเขาอย่างนึกเสียดาย
“ไม่ต้องรบกวนใครทั้งนั้น ปิ่นก็มีหน้าที่ของเขาเหมือนกัน”
“งั้นแสดงว่าหมอจะทำให้ผมกินใช่ไหม?” หมอนาวินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เหมือนจำยอม ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
ในที่สุดภารกิจตรวจรักษาคนไข้ประจำวันก็เสร็จสิ้นลง เมื่อเก็บอุปกรณ์จนเรียบร้อย แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยก็เปลี่ยนเป็สีส้มอ่อน ทาบบนผืนฟ้าและยอดไม้สีเขียวขจี
เราสองเดินกลับไปยังบ้านพักไม้สองชั้น ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ตั้งหน่วยแพทย์ บ้านพักหลังนี้เป็ของชาวบ้านในพื้นที่ที่ยกให้ทีมแพทย์ได้พักอาศัยตลอด่เวลาที่ปฏิบัติภารกิจ ผมมองไปรอบๆ ตัวบ้านที่เรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน มีลมเย็นๆ พัดโชยมาเรื่อย ๆ ช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก ๆ ดังขึ้นเป็ระยะ ก่อนจะมีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งตัวเปียกเข้ามาหาผมพร้อมไข่ไก่ในมือสองฟอง
“แม่ให้เอามาให้” ผมหันมองไปยังหมอนาวิน ก่อนเขาจะวางกระเป๋าลงบนแคร่ไม้ แล้วเดินเข้ามาสมทบ
“ไข่ไก่ที่บ้านเหรอ?”
“มันเพิ่งออกไข่ แม่ให้เอามาให้หมอ” เขาพูดเป็ภาษาถิ่นที่พอฟังเข้าใจ
“ขอบใจนะ” หมอนาวินรับมา ก่อนจะหันหยิบขนมสองห่อยื่นให้
“ของพวกพี่มีเยอะ เอาไปกินเถอะ” เด็กชายรับไปแล้วส่งยิ้มกว้าง ก่อนหมอนาวินจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทำไมตัวเปียกแบบนี้ล่ะ?”
“พวกเราเพิ่งไปเล่นน้ำตกกันมา” เด็กคนหนึ่งที่วิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนหันมาบอก แล้วก็วิ่งออกไป
“มีน้ำตกด้วยเหรอ?” ผมรู้สึกแปลกใจเลยถามน้องไปด้วยความอยากรู้
“น้ำตกอยู่ตรงนี้ เดินไปนิดเดียวก็ถึง” เขาชี้มือไปทางซ้าย ก่อนจะวิ่งหอบขนมออกไป ผมหันมองไปยังหมอนาวินแล้วยิ้มเล็กน้อย
“ไปเล่นน้ำตกกันไหม?” เขาชะงักเล็กน้อย ไม่ใช่ผมคนเดียวที่อยากรู้อยากเห็น หมอเองก็เหมือนกัน