บทที่ 10 จิตเพลิงก่อบัว รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ
บนยอดเขาหยกงาม
“ดูท่าท่านผู้าุโเฉียนคงไม่ได้ตั้งใจจะให้ท่านอาจารย์ของข้าใช้หนี้หรอก เพียงแค่เตือนไม่ให้ไปยืมอีกเท่านั้นกระมัง”
หลี่โม่มองไปยังอาคารบนยอดเขา มุมปากกระตุกเล็กน้อย
ที่นี่มีเพียงเรือนไม้หลังเล็กที่ดูซอมซ่อ แถมยังมีซากกำแพงที่พังทลายอยู่
หมดกัน…
หากไม่รู้ว่านี่คือในสำนักชิงเยวียน เขาคงนึกว่าที่นี่เพิ่งถูกสัตว์หายนะโจมตี
“ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์!”
หลี่โม่เรียกสองครั้ง ไร้เสียงตอบรับ เขาจึงตัดสินใจผลักประตูไม้เข้าไป
กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่วห้อง
เห็นเพียงร่างสตรีบนเตียงนอนห่มผ้าผืนหนึ่ง นอนแผ่หลาไร้ระเบียบ ที่มุมปากยังมีรอยน้ำลายไหลเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์?”
“อืม...”
สตรีผู้นั้นครางสองครั้งคล้ายหมูี้เี พลิกตัวและหลับต่อ
หลี่โม่จนปัญญา จำต้องเข้าไปใกล้หูของนาง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า
“ท่านผู้าุโเฉียนมาทวงหนี้แล้วขอรับ...”
ได้ผลชะงัด
ซางอู่ดีดตัวลุกขึ้นทันที แต่เมื่อเห็นหลี่โม่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่ยังมึนงงจากฤทธิ์สุรากลับฉายแววระแวงสงสัย
“เ้าเป็ใคร?”
“ข้าคือศิษย์ของท่านขอรับ” หลี่โม่กล่าวอย่างจนใจ
“ศิษย์... โอ้! นึกออกแล้ว!”
ซางอู่เกาหัว ดูเหมือนจะนึกออกแล้ว แต่แววตาก็ยังคงมึนงง
“เ้ามีธุระอะไรกับข้า?”
ตื่นแล้ว แต่ยังไม่ตื่นเต็มที่
หลี่โม่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“หลังจากเข้าสำนักแล้ว ท่านอาจารย์... มิควรสอนอะไรข้าบ้างหรือขอรับ?”
“ก็เหมือนจะจริงนะ”
ซางอู่เผยไหล่ออกมา ดูเหมือนจะไม่ตระหนักเลยว่าท่าทางในตอนนี้ของนางนั้นดูไม่เหมาะสมเพียงใด
อาภรณ์ชาววังที่สวมอยู่หลุดรุ่ย เผยให้เห็นไหล่ครึ่งหนึ่ง เมื่อยืนขึ้นนางดูสูงกว่าหลี่โม่เสียอีก
“เมื่อวานข้าก็คิดว่าจะสอนอะไรเ้าอยู่นะ”
“แต่ถ้าไม่ได้ดื่มเหล้า ความจำข้าไม่ค่อยดีเลย”
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าเ็ป
สิ้นเสียงพูด ก็พลันเกิดเสียง ‘ป๊อก’ ดังขึ้น เป็เสียงเปิดจุกสุรา
จมูกของซางอู่ขยับเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นอย่างคล่องแคล่วราวกับรู้ดี
“สุรามดเขียวหมัก? เป็สุราพิเศษของโรงเตี๊ยมเนินสิบลี้ ต้องบ่มในห้องเก็บเหล้าห้าปี รอให้มีสีอำพัน จึงจะถือเป็สุราชั้นดี ส่วนของสิบปีนี่หายากยิ่งนัก เ้าไปเอามาจากไหน?”
นางรับไหสุราจากมือศิษย์ผู้โชคร้ายมาดื่มอึกใหญ่ ของเหลวไหลลงไปตามทรวงอก เผยให้เห็นสัดส่วนที่น่าตะลึง
ท่านอาจารย์ ความจำของท่านก็ไม่เลวร้ายนี่นา
หลี่โม่แทบไม่อยากมอง ซางอู่เช็ดปากทีหนึ่ง แล้วกล่าว
“ข้านึกออกแล้ว เมื่อวานข้าได้พนันกับเฒ่าหานเฮ่อไว้”
“บังอาจมาบอกว่าข้าสอนศิษย์ไม่เป็ ข้าจะทนได้อย่างไร!”
หลี่โม่ “......”
สิ่งที่เขารับรู้มา ดูเหมือนจะเป็ความจริง
ใครเลยจะคิดว่าได้เข้าเป็ศิษย์แล้ว จะได้รับบัญชีหนี้สินเล่มหนึ่งด้วยเล่า ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
“เขาก็แค่รับมู่หรงเซียวเป็ศิษย์ ก็กล้ามาอวดอ้างกับข้าแล้ว ชิ!”
“ดังนั้น ข้าก็เลยพนันกับเขา”
“ถ้าหากการประลองเก้ายอดเขาของสำนักครั้งหน้า ศิษย์ของยอดเขาหยกงามมีอันดับสูงกว่า เขาก็จะต้องช่วยข้าจัดการหนี้สินในตำหนักกิจการภายในให้เรียบร้อย”
“แล้วถ้าแพ้ล่ะขอรับ?”
“แพ้หรือ? ในฐานะศิษย์ของข้า เ้าจะไม่มีความมั่นใจบ้างเลยรึ!”
กล่าวแล้วซางอู่ก็หันหลัง คุ้ยหาของในกล่อง และหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา
นางกล่าวอย่างมั่นใจว่า
“นี่คือเคล็ดวิชาเฉพาะของข้า วันนี้แหละ ข้าจะนำเ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝน”
หลี่โม่รับสมุดมา และเห็นชื่อเคล็ดวิชานั้น
《จิตเพลิงก่อบัว》
ฟังดูแล้วน่าจะแข็งแกร่งไม่เบา
ยิ่งกว่านั้น ระบบยังประเมินว่าซางอู่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
อืม… หนี้สินที่มากมายขนาดนี้ น่าจะเป็หนี้ที่เกิดจากความสามารถล้วนๆ
การที่สามารถติดหนี้ตำหนักกิจการภายในได้มากมายขนาดนี้ แถมผู้าุโเฉียนยังทำได้แค่เตือนนางอย่างสุภาพว่าไม่ให้ยืมอีก ก็บ่งบอกระดับของตัวปัญหาได้เป็อย่างดี!
หลี่โม่ใจเย็นลงเล็กน้อย แล้วเปิดสมุดออก
…
เมื่ออ่านจบ เขาก็ถามว่า
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ข้ามีบางจุดที่ยังไม่เข้าใจ...”
“คร่อก... คร่อก...”
“ท่านอาจารย์?”
หลี่โม่เงยหน้าขึ้น
พบว่าท่านอาจารย์สาวแสนไร้กังวลผู้นั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็หลับไปเสียแล้ว ไหสุราก็ถูกนางดื่มจนหมดเกลี้ยง
เมาไม่รู้เื่จริงๆ ผลักเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น
พี่สาว ท่านจะพึ่งพาได้บ้างไหมเนี่ย!
“.......”
ขณะที่หลี่โม่กำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียด
【ลงทุนสำเร็จ การลงทุน: สุรามดเขียวหมักบ่มสิบปีหนึ่งไห】
【กำลังประมวลผลรางวัล...】
【ยินดีด้วยท่านเ้าของระบบ รางวัล: ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์สิบปี!】
【ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์สิบปี】: สามารถใช้กับวิชาใดก็ได้ ทำให้เ้าของระบบเพิ่มความเชี่ยวชาญในวิชานั้นสิบปี
หืม?
ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์สิบปี?
ระดับของวิชาการต่อสู้แบ่งเป็หกระดับ ขั้นพื้นฐาน ขั้นเชี่ยวชาญ ขั้นชำนาญ ขั้นแตกฉาน ขั้นสมบูรณ์ และขั้นเข้าถึงแก่นแท้
แม้แต่วิชาทั่วไปที่ไม่ได้จัดอยู่ในระดับใดๆ ในยุทธภพ ผู้ที่สามารถฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์ก็มีน้อยมาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นเข้าถึงแก่นแท้เลย
ยกตัวอย่างพ่อของหลี่โม่ หลี่ต้าหลง ฝ่ามือจับวายุของเขา ฝึกฝนมาเกือบยี่สิบปี ก็ยังทำได้เพียงขั้นแตกฉานเท่านั้น แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับความเข้าใจส่วนบุคคลด้วย
“ไม่พูดถึงพร์ล้นฟ้า อย่างน้อยข้าก็ถือว่าฉลาดหลักแหลมอยู่บ้าง”
หลี่โม่เดินออกมาจากห้อง แล้วนั่งลงบนพื้น
คิดเช่นนั้น เขาจึงถ่ายทอด "ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์สิบปี" ทั้งหมดลงบนวิชา 《จิตเพลิงก่อบัว》
【ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์สิบปี ถ่ายทอดสำเร็จแล้ว】
【ปีที่หนึ่ง ท่านได้พินิจพิจารณาถ้อยคำทั้งหมดในวิชา 《จิตเพลิงก่อบัว》จนเข้าใจถ่องแท้ และเริ่มทำการทดลอง ท่านได้เข้าสู่ขั้นพื้นฐานสำเร็จแล้ว】
【ปีที่สาม ท่านดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ค้นพบเคล็ดลับของวิชานี้ และฝึกฝนจนถึงขั้นเชี่ยวชาญ】
【ปีที่เก้า วิชา 《จิตเพลิงก่อบัว》ของท่านเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น บรรลุถึงขั้นชำนาญแล้ว】
【ปีที่สิบ ท่านดูเหมือนจะััได้ถึงอุปสรรคชั้นหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ยังสะสมประสบการณ์ไม่เพียงพอ】
ในชั่วพริบตา
ภาพนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดของหลี่โม่ ราวกับได้ใช้เวลาสิบปีอย่างแท้จริง ทุ่มเทศึกษาค้นคว้าวิชา 《จิตเพลิงก่อบัว》 อย่างละเอียด และฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นชำนาญ
“ฟู่...”
“สิบปี ขั้นชำนาญ!”
ความรู้สึกที่เข้าใจสัจธรรมในทันทีนั้น ทำให้หลี่โม่รู้สึกราวกับลอยอยู่บนก้อนเมฆ
เขาไม่อาจรอช้า จึงเริ่มฝึกฝนเป็ครั้งแรก
ในตันเถียน พลังความร้อนสายหนึ่งผุดขึ้น...
ขณะเดียวกัน ต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างก็เริ่มไหวติงโดยไร้ลม
“การฝึกฝนครั้งแรก ถ้าสามารถเปิดเส้นชีพจรได้ก็ถือว่าสำเร็จ”หลี่โม่สงบจิตใจลง
ภายในห้อง
ซางอู่ที่กำลังมึนงงจากฤทธิ์สุรา พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พลังกำลังรวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ?” นางพึมพำ
“ใครกันที่โชคดีปานนี้...”
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง
ยอดเขาหลักชิงเยวียน
ผู้าุโหลายท่านยืนอยู่ข้างๆ ต่างมองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของกันและกัน
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงเช่นนี้ ก็คือเด็กสาวที่นั่งขัดสมาธิกำลังประสานใจเข้าหาฟ้าไม่ไกลจากที่นั่น
ในตอนนี้กลุ่มผู้าุโที่รวมกันแล้วอายุร่วมห้าร้อยปี ต่างกำลังสงสัยในชีวิตของตนเอง
สงสัยว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของตนเองนั้น ใช้ไปอย่างไร้ประโยชน์หรือไม่
“บรรลุขั้นพื้นฐานในวันเดียวรึ?”
เซวี่ยจิงพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พูดให้ถูกคือ หนึ่งเค่อเท่านั้น”
เฉียนปู้ฟ่านเตือน พร้อมกับถอนหายใจด้วยความรู้สึกมากมาย เขายังหันไปถามอีกครั้งว่า
“หานเฮ่อ เ้าก็ฝึกวิชา "น้ำค้างหาแก่นแท้" นี้เหมือนกัน ตอนนั้นใช้เวลานานเท่าไหร่?”
มุมปากของหานเฮ่อกระตุก นานทีเดียวกว่าเขาจะตอบกลับมาว่า
“หนึ่งเดือน”
ตอนนั้นหานเฮ่อยังหนุ่มแน่น เป็เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าสำนักชิงเยวียนเช่นกัน
เขายังจำได้ว่าตอนที่เขาใช้เวลาหนึ่งเดือนในการบรรลุขั้นพื้นฐานของวิชาและเปิดเส้นชีพจรสำเร็จ อาจารย์ของเขายังประหลาดใจและยกย่องว่าเขาเป็อัจฉริยะ
แต่เมื่อเทียบกับเด็กสาวตรงหน้า...
เมื่อผู้าุโหลายท่านพูดคุยกัน ลมหายใจอุ่นที่พ่นออกมาก็กลายเป็เกล็ดน้ำแข็งในทันที
“กาลเวลาเปลี่ยนผัน ผู้มีความสามารถก็ปรากฏขึ้นเรื่อยไป สำนักชิงเยวียนของเรากำลังจะรุ่งเรืองแล้ว!”
เซวี่ยจิงถอนหายใจอย่างจริงจัง
ััของเขาเฉียบคมมาก
เมื่ออิ๋งปิงฝึกวิชา ในตันเถียนของนางราวกับมีพลังหยินที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่านางจะเป็เ้าของพลังนี้ แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการาเ็
การใช้สมุนไพรหรือยาเม็ดที่มีคุณสมบัติหยาง สามารถช่วยลดผลกระทบได้เล็กน้อย
ดูท่า ยาเม็ดบริสุทธิ์หยางที่เขาขายให้หลี่โม่เมื่อไม่กี่วันก่อน คงจะช่วยเปิดเส้นชีพจรให้เด็กสาวผู้นี้แล้ว
ฉึก—
เสียงเบาๆ ดังขึ้น
ลมหนาวราวกับก่อตัวเป็พายุหมุนโดยมีอิ๋งปิงเป็ศูนย์กลาง
“นางเปิดเส้นชีพจรได้อีกหนึ่งเส้นแล้ว!”
หานเฮ่อเบิกตากว้าง
เขาััได้ชัดเจนว่าเส้นชีพจรหลักเส้นแรกในร่างกายของอิ๋งปิง ไหลเวียนได้คล่องตัวแล้ว
“เป็เช่นนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าไม่กี่วันก็สามารถเปิดเส้นชีพจรหลักได้ครบทั้งสิบสองเส้นเลยงั้นรึ?”
ประโยคนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว
อิ๋งปิงสามารถเปิดเส้นชีพจรหลักได้ครบทั้งสิบสองเส้นภายในไม่กี่วันจริง
แต่สิ่งที่นาง้าเปิด มีมากกว่าสิบสองเส้นเสียอีก!
ท้ายที่สุดแล้วผู้าุโของสำนักชิงเยวียนก็ยังคงมีขอบเขตความรู้ที่จำกัด
ร่างกายมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ลับ เส้นชีพจรหลักที่สามารถใช้ได้ มีมากกว่าสิบสองเส้นเสียอีก
สำหรับผู้มีขั้นพลังปราณทั่วไป แม้จะรู้ว่ามันมีอยู่จริง ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อเส้นเ่าั้ได้ นั่นต้องอาศัยการควบคุมที่ชำนาญและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
แต่สำหรับนางแล้ว นี่ไม่ใช่เื่ยาก
สิ่งที่อิ๋งปิง้าทำก็คือ เชื่อมต่อเส้นชีพจรยี่สิบสี่เส้น เพื่อให้เกิดวัฏจักรพลังงานภายในร่างกายขึ้นเอง
เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เมื่อเข้าสู่การฝึกขั้นลมปราณ พลังจะแข็งแกร่งขึ้นไม่รู้กี่เท่า!
“อัจฉริยะปีศาจเช่นนี้ พวกเราช่างทำเกินความจำเป็จริงๆ”
เซวี่ยจิงเผยสีหน้าขมขื่น
เ้าสำนักมีภารกิจมากมาย จึงได้ให้พวกเขาสามคนมาสั่งสอนอิ๋งปิง คอยตอบข้อสงสัย อีกทั้งยังเป็การป้องกันการผิดพลาดจากความเคยชิน หากมีผู้สอนเพียงคนเดียว
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็แล้ว
เมื่อมองอิ๋งปิงฝึกวิชา พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดไปหมด
“ที่นี่ฝากพวกเ้าด้วย ข้าจะไปยอดเขาหยกงาม”
“เ้าจะไปที่อับโชคนั่นทำไม?”
เมื่อเอ่ยถึงคำนั้น ผู้าุโหานเฮ่อก็ส่งเสียงฮึดฮัด
“พวกเ้าวางใจให้ซางอู่สอนศิษย์จริงหรือ?” เซวี่ยจิงดึงชายเสื้อคลุมผ้าปะติดปะต่อของเขา
เฉียนปู้ฟ่านสูดหายใจลึก และกล่าวว่า
“ศิษย์น้องเซวี่ยรีบไปเถอะ หากช้ากว่านี้ข้าเกรงว่าจะไม่ทันการณ์”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้