ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่!
หวังเค่อพูดกับจางเจิ้งเต้ายังพอได้ต่อล้อต่อเถียงบ้าง เื่บิดาขององค์หญิงโยวเยว่ หวังเค่อไม่มีทางเลือก อับจนหนทาง! ตอนถามท่านอาจารย์ ท่านก็บอกมาโต้งๆ เลยว่าไม่มีหวัง แม้แต่เศษเสี้ยวก็ยังไม่มี บิดาของนางเป็ั์ใหญ่ฝ่ายธรรมะระดับไหนกัน ยิ่งใหญ่ปานใดกันแน่?
“หวังเค่อ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน เ้าล้มเลิกความคิดเสียเถอะ บิดาขององค์หญิงโยวเยว่พูดแล้วไม่คืนคำ! ไม่ต้องพูดถึงว่าเ้าเป็แค่ศิษย์ตัวจ้อยพรรคเทพหมาป่า์ ต่อให้เ้าเป็ประมุขพรรคเทพหมาป่า์ก็เปล่าประโยชน์!” จางเจิ้งเต้าอธิบาย
“บิดานางยิ่งใหญ่ปานนั้น?” หวังเค่อถามด้วยสีหน้าพิกล
“ยิ่งใหญ่มาก! อยู่ใต้เพียงคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น! ถ้าหากบิดานางเป็พญาั เ้าก็คือไส้เดือนตัวน้อย!” จางเจิ้งเต้าเปรียบเปรย
“เพ้ย! เ้าสิไส้เดือนน้อย!” หวังเค่อจ้องหน้าจางเจิ้งเต้า
“หวังเค่อ เ้าคิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ คิดแค่เื่ตรงหน้าก็พอ!” จางเจิ้งเต้าตะล่อม
“เื่ตรงหน้าอะไร?” หวังเค่อขมวดคิ้ว
“อย่างเช่น ครั้งล่าสุดที่เ้ารูดทรัพย์พวกมารในเมืองจูเซียนไป ไม่ใช่เ้าควรแบ่งกับข้า?” จางเจิ้งเต้าคาดหวัง
“อืม ถ้าเ้าไม่บอก ข้าก็คงลืมไปแล้ว เ้ายังมีกระบี่บินกับกำไลมิติเปล่าของข้าอยู่ เมื่อไหร่เ้าจะคืนมา?” หวังเค่อพลันจำได้
“หวังเค่อ เ้า เ้าจะเอาเปรียบคนเกินไปแล้ว!” จางเจิ้งเต้าะโโลดเต้น
“ทำไม? เ้ายืมของข้าไปยังไม่คิดคืนอีก?” หวังเค่อถลึงตา
“ถุ้ย เ้าร่ำรวยปานนี้ ยังมามัวจ้องของในกระเป๋าข้าอีก?” จางเจิ้งเต้าตอบอย่างโกรธขึ้ง
“ข้าร่ำรวยที่ไหน? เงินเล็กน้อยของข้าล้วนเหน็ดเหนื่อยหามาอย่างยากลำบาก ทั้งหมดล้วนต้องเสี่ยงชีวิตแลกมา!” หวังเค่อยังถลึงตาใส่จางเจิ้งเต้า
“เ้าอาจไม่รวยถ้าเทียบกับบิดาขององค์หญิงโยวเยว่ แต่เทียบกับข้าแล้ว มีหรือเ้าจะไม่รวย?” จางเจิ้งเต้าตอบอย่างหดหู่
หวังเค่อพลันนิ่งเงียบไป
“เป็อะไร? ข้าจี้ใจดำล่ะสิ? จะแหกปากร้องไห้ให้ข้าดูหรือไง? เหอะ!” จางเจิ้งเต้าพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“เปล่า ข้าแค่คิดเื่ที่เ้าพูดเมื่อกี้ เ้าว่าบิดาองค์หญิงโยวเยว่รวยมาก?” หวังเค่อถามเสียงเข้ม
“แน่นอน ไม่ใช่ท่านมอบค่าตัดสัมพันธ์ให้เ้าหนึ่งล้านชั่ง? หากขนาดนั้นเ้ายังรู้สึกอัปยศ ข้าก็ยินดีรับความอัปยศแบบนั้นเป็ร้อยครั้ง ไม่สิ ข้ายินดีรับความอัปยศจนกว่าอีกฝ่ายจะหมดตัว!” จางเจิ้งเต้าพูดอย่างอิจฉาริษยา
“ถ้าหากข้ามีเงินเยอะกว่าบิดานาง บิดาของโยวเยว่จะยังไม่ยอมรับเื่ของข้ากับนางอีกไหม?” หวังเค่อถามด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยน
จางเจิ้งเต้ายกมือแตะหน้าผากหวังเค่อ “เ้าไม่ได้ไข้ขึ้นใช่ไหมนี่?”
“เ้าทำบ้าอะไร? ข้าจริงจังนะ!” หวังเค่อถลึงตา
“เ้าล้อเล่นหรือเปล่า เ้ามีหรือจะเทียบบิดานางได้? ทรัพย์สินบิดานางเยอะกว่าทั้งสิบหมื่นมหาบรรพตรวมกันเสียอีก เ้ายังคิดอยากวัดทรัพย์สินกับบิดานางอยู่?” จางเจิ้งเต้าเผยสีหน้าดูแคลน
หวังเค่อนิ่งเงียบไปสักพัก “นั่นแหละ ขั้นแรกก็หาเงินก่อน! วิเศษวิโสมาจากไหนถึงกล้าใช้เงินฟาดข้า? ต่อให้เป็พ่อตาข้าก็ยอมไม่ได้ คอยดูเถอะ ข้าจะใช้เงินทุบให้ตาย!”
“เ้าเป็ไก่ขนเหล็กไม่ใช่รึ? เ้าคือาาแห่งความขี้เหนียว? คิดใช้เงินทุบให้ตาย? นี่เ้าเสียสติไปแล้ว?” จางเจิ้งเต้ามองอย่างใ
“เ้าจะรู้ผายลมอะไร? ข้าทำตัวแบบนี้เพราะข้าเป็คนประหยัดมัธยัสถ์! ไม่ใช่เพราะข้าขี้เหนียว! จะเสียเงินโดยไม่จำเป็ทำไม? แต่แน่นอนว่าหากจำเป็ต้องใช้เงิน ข้าก็ไม่เคยลังเล!” หวังเค่อกลอกตา
“แต่ เ้าบอกจะใช้เงินทุบเขาให้ตาย? นี่ไม่ใช่ใช้เงินโดยไม่จำเป็?” จางเจิ้งเต้าอุทานอย่างใ
“ข้าบอกจะทุบด้วยเงิน ไม่ได้บอกจะยกเงินให้ ข้าเอาเงินทุบจนตายแล้วเก็บคืนไม่ได้รึไง?” หวังเค่อกลอกตาอีก
“เข้าใจแล้ว เ้าอยากหาเงินเพื่อเอาไปอวดบิดานาง อวดความร่ำรวยของตัวเอง? เอาให้อีกฝ่ายลืมตาไม่ขึ้น?” จางเจิ้งเต้าถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“เ้า้าอะไร?” หวังเค่อมองจางเจิ้งเต้าเขม็ง
“ข้าคิดว่า…!”
“ตัวมันไม่เดือดร้อนเื่เงิน! มันคิดว่าข้าไม่คู่ควรกับโยวเยว่ งั้นข้าก็จะอวดความร่ำรวยให้มันคิดว่าข้าคู่ควรกับนาง!” หวังเค่อพูดอย่างมั่นใจ
“ข้าคิดว่า…เออ นั่นแหละ ก็สมเป็แนวทางไก่ขนเหล็กแบบเ้า!” จางเจิ้งเต้าพูดด้วยสีหน้าพิกล
“ไสหัวไป!” หวังเค่อสบถ
“ประเด็นคือ เ้าจะไปหาเงินมาจากไหน?” จางเจิ้งเต้าถาม
หวังเค่อนิ่งคิดราวกับกำลังหาหนทางทำเงิน
“เอาอย่างนี้ ทำไมพวกเราไม่ไปปล้นสุสานกันอีกเล่า? ข้ารู้จักสุสานใหญ่หลายแห่ง ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยสะดวกไป แต่ตอนนี้ข้ามีศักดิ์เป็คนของพรรคเทพหมาป่า์แล้ว จะลองดูไหม?” จางเจิ้งเต้าคาดหวัง
“ปล้นสุสานบ่อนทำลายชื่อเสียง ไม่เอา!” หวังเค่อส่ายหน้า
“ทำลายชื่อเสียงอันใด? ชื่อเสียงมีประโยชน์ตรงไหน? เ้าก็เคยปล้นสุสานไม่ใช่เรอะ? ข้าอาจไม่รู้เคล็ดวิชาปล้นสุสานมากนัก แต่เ้านี่เชี่ยวชาญตัวพ่อ!” จางเจิ้งเต้าเบิกตาโพลง
“ผายลม ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยมีชื่อเสียง ข้าเลยไม่ได้สนใจ ตอนนี้ข้าเป็คนดังแล้ว มีหรือจะไม่สนใจชื่อเสียงตัวเอง? อีกอย่าง ปล้นสุสานจะได้เงินสักเท่าไหร่? คนตายจะกอดเงินลงหลุมไปด้วยสักแค่ไหนกันเชียว? ข้าจำเป็ต้องปล้นสุสานทำลายชื่อเสียงตัวเองด้วย?” หวังเค่อกล่าวอย่างดูแคลน
“เ้าหมายความเช่นไร?” จางเจิ้งเต้าสีหน้าว่างเปล่า
“เ้ารู้ความหมายของคำว่า ‘ชื่อเสียงเงินทอง’ หรือเปล่า?” หวังเค่อถามเสียงเข้ม
“ชื่อเสียงเงินทอง?”
“ชื่อเสียงเงินทอง ชื่อเสียงเงินทอง มีชื่อเสียงช่วยนำพาซึ่งเงินทอง! ตอนนี้ข้ามีทั้งชื่อเสียง ตัวตน และศักดิ์ฐานะ บัดซบ เงินทองกองพะเนินรออยู่ตรงหน้า ไม่คว้าไว้แต่ให้ไปออกปล้นสุสานเพื่อเศษเงิน? เห็นข้าบ้าเรอะ!” หวังเค่อพูดอย่างหยามเหยียด
“ชื่อเสียงเงินทอง? ของแบบนี้ก็ทำเงินได้ด้วย? ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อน มีศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ตั้งมากมาย ทำไมข้าไม่เคยเห็นพวกมันรวยกันสักคน?” จางเจิ้งเต้าไม่ยอมเชื่อ
“นั่นเพราะพวกมันไม่รู้จักใช้ตัวตนของตัวเองอย่างไร! ดูเถอะ มีพรรคเทพหมาป่า์เป็ั์ใหญ่คอยหนุนหลัง ขอเพียงลงจากเขาไปขยับปากพูดสักหน่อย ก็ทำเงินเข้าตัวได้เป็กอบเป็กำแล้ว แต่พวกมันกลับไม่ทำ จุ๊จุ๊!” หวังเค่อส่ายหน้าอย่างดูแคลน
จางเจิ้งเต้ามองหน้าหวังเค่อ “เ้าก็โม้ไปเรื่อย แค่ขยับปากก็ทำเงินได้? ทำไมข้าไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน? ข้า…!”
จางเจิ้งเต้าพูดยังไม่ทันจบ มันเป็ต้องตัวแข็งค้าง เพราะจางเจิ้งเต้าเพิ่งจำได้ว่าหวังเค่อผู้นี้มีพร์ด้านการทำเงินขนาดไหน ไม่ใช่มันแค่เปิดปากพูดก็หาเงินได้แล้ว?
“น้องหวัง ไม่สิ พี่หวัง นับรวมข้าเข้าไปด้วย ท่านนับรวมข้าเข้าไปร่วมกันทำเงิน ดีหรือไม่?” จางเจิ้งเต้าพลันพลิกหน้ากลายเป็ประจบประแจงทันที
หวังเค่อมองจางเจิ้งเต้าอย่างตะลึง
“พี่หวัง ท่านก็รู้ว่าข้าเองก็มีพร์เหมือนกัน งานสกปรกไร้ยางอายแบบไหนท่านโยนมาให้ข้าจัดการได้หมด ท่านนั่งพักผ่อน มอบหมายงานให้ข้าเหน็ดเหนื่อย พวกเราร่วมมือกันใต้หล้าไร้เทียมทาน!” จางเจิ้งเต้ารีบยกยอทันที
หวังเค่อหน้ากระตุก “รอยยิ้มเ้าปลอมเปลือกเกินไป อย่ายิ้มแบบนั้น ข้าเห็นแล้วหัวใจจะวาย กลัวจะสำรอกอาหารเช้าออกมาหมด!”
“ได้เลย พี่หวัง ท่านยอมรับแล้วใช่ไหม นับแต่นี้ไป พวกเราจะร่วมมือกันหาเงิน! พี่หวัง พวกเราจะทำเงินกันอย่างไร?” จางเจิ้งเต้าพลันปั้นหน้าจริงจัง
“ทำเงิน? อย่างแรกก็ต้องมีชื่อก่อน!” หวังเค่อขมวดคิ้ว
“ชื่อ?”
“ข้าขอถามเ้า วิธีทำเงินของข้า เทพหรือไม่เทพ?” หวังเค่อมองหน้าจางเจิ้งเต้า
“เทพสิ เทพโคตรๆ! ในเมืองจูเซียน ท่านไม่เพียงทำเงินจากพวกมารต่อหน้าลัทธิมาร แต่ยังทำเงินจากพวกฝ่ายธรรมะต่อหน้าลัทธิมารอีก สุดท้ายยังไม่โดนสืบสาวเอาความอีกต่างหาก ไร้ยางอายเกินไปแล้ว เอ๊ย เทพเกินไปแล้ว!” จางเจิ้งเต้ารีบประจบเอาใจ
“เทพ? งั้นเติม ‘แซ่’ หวังของข้าเข้าไป? ตั้งชื่อว่าเสินหวัง (าาเทพ) !” หวังเค่อมุ่นคิ้ว
“เสินหวัง? นี่ชื่อพรรค์ไหนกัน?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างใ
“เทพนั้นพิเศษ าาเทพก็คือเสินหวัง เสินหวังรู้จักมั้ย? บริษัทเสินหวัง!” หวังเค่อถลึงตา
“บริษัทคืออะไร?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างสงสัย
“บริษัท ก็เหมือนชื่อร้านค้านั่นแหละ!” หวังเค่ออธิบาย
“ชื่อร้านค้า? งั้นแค่เรียกว่าร้านค้าเสินหวังยังไม่พอหรือ?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างงุนงง
“ต้องเรียกบริษัทเสินหวัง! ชื่อร้านค้าคนอื่นจะมาเหมือนชื่อบริษัทข้าได้ยังไง? พวกมันยังเป็แค่พวกคนเถื่อนไร้การศึกษา บริษัทของข้าดำเนินการด้วยแนวทางทันสมัย พวกมันไหนเลยจะเทียบได้?” หวังเค่อถลึงตา
“บริษัทเสินหวัง? แล้วเ้าคิดจะขายอะไร?” จางเจิ้งเต้าถาม
“ขายทุกอย่าง! ธุรกรรมการเงิน ฝากถอน ปล่อยกู้ หุ้น อาวุธ ขนส่ง อาหาร พาหนะเดินทาง อะไรทำเงินได้ เราขายทั้งหมด!” หวังเค่ออธิบาย
“ที่เ้าพูดหมายถึงอะไร? ทำไมข้าไม่เข้าใจสักอย่าง?” จางเจิ้งเต้าทำหน้าว่างเปล่า
“เ้าต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว! ก็ข้ายังไม่ได้เริ่มขาย!” หวังเค่อกล่าวอย่างมั่นใจ
“แต่บริษัทอะไรนี่ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เ้าเคยเปิดมาก่อนไหม? ระวังขาดทุนนะ!” จางเจิ้งเต้าเป็ห่วง
“ข้าย่อมต้องเคยเปิดบริษัท อีกอย่าง ถ้าข้าเปิดบริษัทแล้วมีหรือจะขาดทุน?” หวังเค่อกล่าวอย่างดูแคลน
หวังเค่อเคยเปิดบริษัทตอนยังอยู่บนดาวโลก! ครั้งนี้มันไม่จำเป็ต้องใช้ ‘ชื่อทางการค้า’ นั่นก็เป็ความทรงจำสมัยยังอยู่บนดาวโลก
“ใครจะไปรู้ บางทีสักวันข้าอาจจะพาบริษัทตัวเองกลับไปดาวโลกด้วยก็ได้?” ดวงตาหวังเค่อทอแววคาดหวัง
“แล้วเราจะเริ่มกันเมื่อไหร่?” จางเจิ้งเต้าตั้งตารอ
“รอก่อน ข้ายังไม่ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์แรกเลย!” หวังเค่อส่ายหน้า
“ออกแบบ?” จางเจิ้งเต้าสงสัย
“ข้าพูดไปเ้าก็ไม่เข้าใจหรอก! อย่าถามเื่ไร้สาระให้มาก! ไว้ข้าคิดเสร็จแล้ว ข้าจะมอบหมายให้เ้าเป็ผู้จัดการ! ให้เ้าเป็คนสำรวจตลาด ถึงหน้าเ้าจะบางไปนิด แต่ก็หยาบกร้านไม่เบา! มีประโยชน์ใช้ได้!” หวังเค่ออธิบาย
“ผู้จัดการคืออะไร?”
“ก็เหมือนเถ้าแก่ใหญ่ประจำร้านค้าไง เ้าจะถามไร้สาระไปถึงไหน! ไม่อยากก็ไม่ต้องทำ!” หวังเค่อถลึงตา
“ไม่ ไม่ ขอแค่ทำเงินได้ จะให้ข้าทำอะไรก็ยอม!” จางเจิ้งเต้าตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
จางเจิ้งเต้าอันที่จริงก็ไม่ได้อยากเป็เถ้าแก่ใหญ่ร้านค้าอะไรนั่นเท่าไหร่ แต่แค่อยากเรียนรู้ว่าหวังเค่อจะใช้ชื่อเสียงทำเงินได้อย่างไร พอเรียนรู้เสร็จ ใครมันจะอยู่ช่วยเ้าทำงานกัน? ข้าเป็คนหน้าด้านอยู่แล้ว เ้าจะทำอะไรข้าได้?
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันเื่ตั้งบริษัท ด้านล่างยอดเขาหยั่งรู้กระบี่พลันมีเสียงอึงอลแว่วมา ยิ่งมายิ่งดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” จางเจิ้งเต้าเดินออกไปมอง
“หวังเค่อ เหมือนเ้างานเข้าแล้ว!” จางเจิ้งเต้าอุทานอย่างแตกตื่น
“งานเข้า?” หวังเค่อยันกายขึ้นจากเก้าอี้เอน
“มีศิษย์พรรคเทพหมาป่า์เป็ร้อยกำลังขึ้นเขามา นำทัพโดยมู่หรงลวี่กวง เ้านั่นมาหาเื่เ้าอีกแล้ว ครั้งนี้ดูแล้วดุร้ายยิ่งกว่าเก่า คล้ายหมายจับเ้ากินทั้งเป็!” จางเจิ้งเต้ากล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ
“มู่หรงลวี่กวง?” หวังเค่ออุทาน
ขณะที่หวังเค่อกับจางเจิ้งเต้ากำลังตะลึง มู่หรงลวี่กวงก็เดินเข้ามาในลานจัตุรัสตำหนักหยั่งรู้กระบี่แล้ว
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!”
ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์กระโจนตามหลังมาทีละคนอย่างว่องไว ศิษย์สำนักเซียนคิดไต่ขึ้นูเา มิใช่ลำบากเพียงสองสามก้าว?
“หวังเค่อ อยู่ไหน?” มู่หรงลวี่กวงะโเสียงเย็น
“หวังเค่ออยู่ไหน!” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ที่ตามมู่หรงลวี่กวงมาพากันะโตาม
จางเจิ้งเต้า “...!”
หวังเค่อถอดแว่นกันแดดออก “มู่หรงลวี่กวง มันยังไม่เห็นข้าหรือมันจำข้าไม่ได้? เ้าจะเรียกหาอะไร?”
“ถูกต้อง มู่หรงลวี่กวง เ้าะโเสียงดังสนั่นเพื่ออวดโอ่ว่าเ้ายิ่งใหญ่เรอะ? ที่นี่คือยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ หาใช่ยอดเขาหมาป่าบูรพาไม่!” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากฝูงชน
จางเจิ้งเต้าชะงักไป ใครมันออกปากช่วยหวังเค่อ?
จากนั้นมันก็เห็นชายหนุ่มรูปงามตัวตุ้ยนุ้ยเล็กน้อยก้าวออกมา มันกันให้หวังเค่ออยู่ด้านหลังตนพลางะโใส่มู่หรงลวี่กวง
ตุ้ยนุ้ย?
หวังเค่อกับจางเจิ้งเต้ามองหน้ากัน ไอ้หมอนี่ใคร?
“เถี่ยหลิวหยุน นี่ไม่ใช่กงการอะไรเ้า หลีกทาง!” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยเสียงเข้ม
“ไม่ใช่กงการข้า? เื่ของศิษย์น้องหวังก็คือเื่ของข้า! มู่หรงลวี่กวง หากเ้ายังคิดใช้ฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองเพื่อก่อความวุ่นวายในพรรคเทพหมาป่า์อยู่ งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” เถี่ยหลิวหยุนะโพลางจ้องเขม็ง
จางเจิ้งเต้าเผยสีหน้าแปลกใจ เถี่ยหลิวหยุนผู้นี้เป็ขาใหญ่มาจากไหน เป็แค่ศิษย์พรรคแต่กลับกล้าขัดขืนศิษย์พี่ใหญ่?
“อาถรรพ์นัก หวังเค่อ ขนาดศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ก็ยังหนุนหลังเ้า?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างแปลกใจ
“คนมันโด่งมันดัง!” หวังเค่อลุกขึ้นตอบ
“ถุ้ย!”
จางเจิ้งเต้าสบถแ่เบา เ้าอยู่ในพรรคเทพหมาป่า์ยังจะมีชื่อเสียงผายลมอันใด?
หากภาพต่อมาที่เห็นก็คล้ายตบหน้าจางเจิ้งเต้าฉาดใหญ่
เพราะที่มันเห็นคือกลุ่มศิษย์พรรคเทพหมาป่า์อีกกลุ่มยืดหยัดเคียงข้างเถี่ยหลิวหยุน คอยคุ้มกันหวังเค่อที่ด้านหลัง ใช้สายตาแข็งกร้าวจ้องมองมู่หรงลวี่กวง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตลอดเวลาที่พวกเราไม่อยู่ในพรรค ท่านทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ตลอดเลยรึ? พรรคเทพหมาป่า์ไม่มีขื่อมีแปแล้ว? ท่านไม่แจ้งเ้าตำหนักก็ยกคนบุกรุกขึ้นมาบนยอดเขาหยั่งรู้กระบี่?” กลุ่มศิษย์พรรคเทพหมาป่า์พากันจ้องเขม็ง
“เถี่ยหลิวหยุน! นี่เ้าคิดต่อต้านข้า? ตั้งใจปกป้องหวังเค่อ?” มู่หรงลวี่กวงถามเสียงเย็น
“ถูกต้อง วันนี้ใครคิดสร้างความลำบากแก่หวังเค่อ ต้องข้ามศพข้าเถี่ยหลิวหยุนไปก่อน!” เถี่ยหลิวหยุนจ้องตอบ
“ข้าด้วย!”
“ข้าด้วย!”
.........
.........
......
......
...
...
ศิษย์กลุ่มหนึ่งหนุนหลังเถี่ยหลิวหยุน ขวางทางมู่หรงลวี่กวงเอาไว้
ศิษย์ที่หนุนหลังเถี่ยหลิวหยุนดูคล้ายจะมีจำนวนไม่น้อย ขณะที่เถี่ยหลิวหยุนกับมู่หรงลวี่กวงประจันหน้ากัน ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ก็เริ่มแบ่งออกเป็สองฝ่าย คนสองกลุ่มกลับมีจำนวนเท่ากันพอดี?
จางเจิ้งเต้ามองหวังเค่อด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “นี่มันเื่บ้าบออะไร ทำไมถึงได้มีศิษย์พรรคเทพหมาป่า์หนุนหลังเ้าเยอะขนาดนี้? มันใช่เรอะ?”
เ้าคนไร้ยางอายหวังเค่อกลับมีคนหนุนหลังด้วย? บ้าบออะไร? หวังเค่อมันเข้าร่วมพรรคเทพหมาป่า์มานานแค่ไหน? เต็มที่ก็แค่สองสามเดือน แถมเวลาส่วนใหญ่ยังไม่อยู่ในพรรคอีกต่างหาก อย่างนี้อีกไม่กี่ปี พรรคเทพหมาป่า์ไม่โดนเปลี่ยนชื่อเป็พรรคาาหมาป่าหรอกเรอะ?
“ศิษย์พี่เถี่ย? ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ?” หวังเค่อก้าวออกมาพลางมองเถี่ยหลิวหยุนด้วยสีหน้าพิกล
เถี่ยหลิวหยุนมองหวังเค่อ “ศิษย์น้อง นี่ข้าเอง จำไม่ได้รึ?”
“นี่ท่าน…?” หวังเค่อถามอย่างสงสัย
“ข้ากลับมาถึงพรรคเมื่อครึ่งเดือนก่อน ได้ยินว่าศิษย์น้องอกหัก้าทำใจคนเดียว ข้าจึงห้ามทุกคนไม่ให้รบกวนศิษย์น้อง วันนี้ได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่ยกคนมาหาเื่เ้า ข้าเลยเรียกรวมตัวทุกคนมา ใช่แล้ว นี่ข้าเอง ดูให้ดีอีกที!” เถี่ยหลิวหยุนกล่าวอย่างคาดหวัง
“ศิษย์น้องหวัง เขาก็คือศิษย์พี่รอง!” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์คนหนึ่งอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่รอง? อ๋า ท่านเปลี่ยนไปเยอะเลย ไม่ได้พบท่านครึ่งเดือน ท่านก็ทำน้ำหนักขึ้นมาขนาดนี้ ข้าจำท่านไม่ได้เลย!” หวังเค่อประหลาดใจ
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องหวังจำได้แล้ว! พวกเราได้ยินเื่ความบาดหมางของเ้ากับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว วางใจเถอะ มีพวกเราอยู่ด้วย เ้าไม่โดนคนร่วมพรรคข่มเหงรังแกแน่นอน!” เถี่ยหลิวหยุนเอ่ยปากพลางตบอกตัวเอง
