ในความทรงจำของร่างเดิม หลินเสี่ยวหานมักจะแอบไปสถานศึกษายามเขามีเวลาว่าง และเมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาจะจับกิ่งไม้ขีดเขียนบนพื้น
ไม่ว่าหลินเสี่ยวหานจะสามารถสอบผ่านและเป็ข้าราชการได้หรือไม่ แม้ว่าเขาจะรู้อักษรเพียงไม่กี่คำ แต่อย่างไรก็เป็เื่ดี วันข้างหน้าเขาจะได้ไม่ถูกผู้คนหลอกเอา
“ท่านแม่” หลินกู๋หยู่อธิบาย “ในเมื่อเสี่ยวหานชอบที่จะเรียนหนังสือก็ให้เขาเรียนเถอะ ถ้าเกิดเขาสอบผ่านได้เป็ข้าราชการจริงๆ สกุลหลินของเราก็จะมีหน้ามีตา มีเกียรติ!”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่หลินกู๋หยู่พูด จ้าวซื่อยิ่งขมวดคิ้วแน่น ราวกับว่าน้ำกำลังจะหยดลงเพียงแค่นางบิดดวงตาเล็กน้อยเท่านั้น ข้าราชการคัดเลือกเพียงหนึ่งคนจากหนึ่งหมื่น จะสอบเข้าได้ง่ายเสียที่ไหนกัน "นี่..."
เดิมทีจ้าวซื่อไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการพูด ยามนี้นางกำลังสับสนและพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“เนื้อตากแห้งเป็ของกำนัลในการเรียนหนังสือของเสี่ยวหานย่อมใช้ไม่มากนัก ครอบครัวของเราก็ยังมีเงินอยู่บ้าง” หลินกู๋หยู่พูดหลังจากคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
จ้าวซื่อกลัววันที่ไม่มีเงินอยู่ในมือ โดยเฉพาะในฤดูหนาว เมื่ออากาศหนาวเย็นและต้องัักับความหิวโหย วันนั้นจะเป็วันที่ยากลำบากยิ่ง
ไม่ใช่ว่านางกลัวว่าจะไม่สามารถก้าวผ่านความยากลำบากไปได้ แต่นางแค่เป็ห่วงลูกๆ เหล่านี้
ยามนี้ไม่มีใครพบเห็นลูกสาวคนโตของนาง ลูกสาวรองแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ในบ้านเหลือแค่เด็กคนนี้เพียงคนเดียว
"ตกลง" จ้าวซื่อกัดฟันเห็นด้วย
กลับบ้านในคราวนี้หลินกู๋หยู่นำไข่สิบฟองมาด้วย จ้าวซื่อเองก็ไม่ได้ไม่พอใจ เหตุผลหลักคือนางรู้สึกว่าครอบครัวของตนยากจนเกินไป
หากเรียนหนังสือ แม้ว่าจะเลี้ยงดูลูกให้ได้เป็ผู้คงแก่เรียน สอบผ่านและได้เป็ข้าราชการ แต่อย่างไรเสียก็ต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึง
เมื่อเดินออกมาจากบ้านสกุลหลิน หลินกู๋หยู่มองกลับไปที่บ้านดินโคลนทั้งเก่าทั้งโทรมของจ้าวซื่อ ราวกับว่าเพียงลมพัดมามันก็จะพังทลายลง
หลินเสี่ยวหานเดินตามหลินกู๋หยู่ โดยบอกว่าเขาจะส่งหลินกู๋หยู่กลับไป
"เ้ากลับไปเถอะ ไม่ต้องส่งข้า" พูดตามตรง หลินกู๋หยู่ชอบหลินเสี่ยวหานมาก
ในความทรงจำของร่างเดิม หลินกู๋หยู่และหลินเสี่ยวหานเป็พี่น้องที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
หลินลี่เซี่ยหน้าตางดงาม หากนางอาศัยอยู่ในเมือง นางนับได้ว่าเป็หนึ่งในหญิงโฉมงามอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้หลินลี่เซี่ยจึงนับตัวเองเป็คนเมืองเสมอมา ทุกครั้งที่นางเข้าเมืองกับจ้าวซื่อ นางไม่เคยลืมที่จะเรียนรู้จากคุณหนูบุตรสาวตระกูลร่ำรวยเ่าั้
ไม่คุ้นเคยกับรูปลักษณ์เชยๆ ของหลินกู๋หยู่และหลินเสี่ยวหาน หลินลี่เซี่ยนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ในบ้านทุกวันโดยไม่ทำงานอย่างอื่น
“พี่รอง” หลินเสี่ยวหานพูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบใจพี่มาก ถ้าไม่ใช่เพราะพี่พูดกับท่านแม่ ท่านแม่ก็คงไม่ให้ข้าเรียนหนังสือแน่ๆ”
หลินกู๋หยู่จับมือของโต้ซาด้วยมือข้างหนึ่ง หันศีรษะไปมองเสี่ยวหานปราดหนึ่ง "ด้วยเงินที่มีอยู่น้อยนิดที่บ้าน ข้าคิดว่ายังมีความเป็ไปได้ที่เ้าจะผ่านการสอบผ่านในระดับขั้นต้น ถ้าเ้าเรียนได้ดีมาก พี่จะทำงานหาเงินให้เ้าได้สอบข้าราชการอย่างแน่นอน”
หลินกู๋หยู่สามารถสร้างรายได้จากการรักษาคน ไปเก็บสมุนไพรบนูเา หรือปลูกสมุนไพร มีอีกหลายวิธีในการสร้างรายได้
เสี่ยวหานต้องเข้าเรียนหนึ่งปี ถึงแม้จะสอบผ่านการเรียนขั้นต้น แต่การจะสอบเข้าเป็ข้าราชการจะต้องใช้ระยะเวลาเรียนอีกหนึ่งปี
หลินเสี่ยวหานจ้องมองที่หลินกู๋หยู่ด้วยดวงตาที่เปียกชื้น เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาจากดวงตา น้ำเสียงเจือสะอื้น "พี่รอง ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน"
ไม่จำเป็ต้องให้หลินกู๋หยู่พูด หลินเสี่ยวหานก็รู้เช่นกันว่าเงินนั้นเป็เงินจำนวนมาก ในบ้านมีเงินแปดตำลึง หลินเสี่ยวหานไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาก่อน
"เช่นนั้นก็ดี ถ้ามีเวลาว่างก็ช่วยท่านแม่ทำงาน ถือเสียว่าเป็การออกกำลังกาย" หลินกู๋หยู่พูดอย่างสบายๆ
หลินเสี่ยวหานผงะเล็กน้อย แล้วพยักหน้าซ้ำๆ
เมื่อพวกเขามาถึงประตูหมู่บ้าน หลินกู๋หยู่ก็หันมองหลินเสี่ยวหานด้วยรอยยิ้ม "เ้ารีบกลับไปเถอะ "
“พี่รอง” หลินเสี่ยวหานมองหลินกู๋หยู่อย่างเป็ห่วงเป็ใย และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “พี่เขยเขาปฏิบัติต่อพี่ดีหรือไม่?”
“เขาหรือ?” เมื่อนึกถึงชายหนุ่มท่าทางงุ่มง่ามที่นอนอยู่บนเตียงคนนั้น หลินกู๋หยู่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น “เขาเป็คนดี แต่เขาแค่ป่วยก็เท่านั้นเอง”
หลินเสี่ยวหานมองหลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจ เขาประหลาดใจมากกับคำพูดที่พี่รองอธิบายถึงผู้ชายคนนั้น เขาเคยเจอผู้ชายคนนั้นมาก่อน เขาเป็คนดีจริงๆ แต่ไม่ว่าคนนั้นจะดีหรือไม่ดี ถ้าเขานอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวและไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นนั้นก็เป็ภาระ
“เ้าอย่าคิดมาก ข้าอยู่ที่นั่นก็สบายดี” หลินกู๋หยู่ยิ้มและแตะศีรษะของหลินเสี่ยวหาน ก่อนจะมองเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่ เสื้อดูเล็กลงอีกแล้ว “ให้ท่านแม่ทำเสื้อใหม่ให้เ้าสักสองสามชุด ถึงเวลานั้นเ้าจะได้ใส่ไปเรียนหนังสือที่สถานศึกษา"
หลินเสี่ยวหานพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร
การที่จ้าวซื่อตอบตกลงที่จะให้เขาไปเรียนหนังสือก็เป็สิ่งที่ดีมากแล้ว หลินเสี่ยวหานไม่คาดหวังสิ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้ว
"พี่รอง"
"เอาละ เ้ากลับไปเถอะ" หลินกู๋หยู่พูดด้วยรอยยิ้ม "อีกไม่ไกลหรอก อีกสักพักข้ากับโต้ซาก็จะถึงบ้านแล้ว"
หลินเสี่ยวหานมองไปที่แผ่นหลังบางอ่อนแอของหลินกู๋หยู่ ไม่รู้ทำไมดวงตาของเขาถึงได้เปียกชื้น
เมื่อหลินกู๋หยู่เดินมาถึงประตูบ้านสกุลฉือ นางเห็นโพรงสุนัขสูงไม่เกินครึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเปิดอ้าอยู่
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วแน่น
ตอนนี้นางเพียงแค่้าดูแลฉือหางให้ดีก็เท่านั้น เมื่อเขาหายดีแล้ว นางก็จะได้เอาหนังสือปลงใจหย่าและออกไปจากที่นี่ นางจะได้ไม่ต้องอยู่คอยดูหน้าบึ้งตึงของแม่สามีที่แยกครอบครัวกับพวกนางแล้ว
โต้ซามองไปที่โพรงสุนัขแล้วมองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยใบหน้าตื่นเต้นราวกับได้เห็นสิ่งใหม่
สำหรับโต้ซาแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนั้นแปลกมาก
หลินกู๋หยู่อุ้มโต้ซาขึ้นมาและเดินไปที่ทางเข้าหลักโดยไม่แม้แต่จะมองโพรงสุนัข
โจวซื่อนั่งทำที่ตักขยะอยู่ที่ประตู และเมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้า นางก็เงยหน้าขึ้นและเห็นหลินกู๋หยู่เดินเข้ามา
ในตอนเช้า ทุกคนต่างรู้ว่าโจวซื่อได้หักส่วนทรัพย์สินที่ควรจะให้กับหลินกู๋หยู่ แต่จะมีใครบ้างที่อยากให้ชื่อเสียงที่ไม่ดีของตนเองถูกเล่าลือออกไป?
"เปิดประตูให้เ้าแล้วไม่ใช่เหรอ เ้าตาบอดแล้วหรือไง ไม่รู้จักเดินเข้าทางนั้น ประตูทางนี้ลงกลอนนานแล้ว" โจวซื่อง่วนอยู่กับงานในมือต่อ หลุบสายตาพลางพูดประชดประชัน
หลินกู๋หยู่มองไปที่ประตูเล็กๆ คิดไม่ถึงว่าคนสกุลฉือจะลงกลอนประตูด้วยกุญแจ
"ประตูที่ท่านแม่พูดถึง ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเล่า?" หลินกู๋หยู่มองโจวซื่อด้วยสีหน้างงงวย
ใบหน้าของโจวซื่อเปลี่ยนเป็สี คิ้วของนางขมวด นางเอ่ยเสียงเย็น "ประตูนั่นอยู่ทางโน้น ดูเหมือนว่าเ้าจะตาบอดจริงๆ เสียด้วย"
"ถ้ามีประตูจริงๆ กู๋หยู่ก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าท่านแม่จะเข้าได้อย่างไร กู๋หยู่เพิ่งมาที่นี่ไม่นานย่อมไม่รู้วิธี" ริมฝีปากของนางโค้งเล็กน้อย "ท่านทำเป็ตัวอย่างให้ดูหน่อยได้หรือไม่?"
จะให้นางลอดเข้าไปทางโพรงสุนัข?
ดวงตาของโจวซื่อเบิกกว้าง คิ้วของนางเลิกขึ้นสูง "คิดไม่ถึงว่าเ้าจะให้ข้าลอดโพรงสุนัข?"
ทันใดนั้น หลินกู๋หยู่ก็หัวเราะ
นางวางโต้ซาในอ้อมแขนลงกับพื้น
“ท่านแม่” หลินกู๋หยู่แสร้งทำเป็ประหลาดใจขณะมองไปที่โจวซื่อ “ท่านกำลังพูดอะไรหรือ กู๋หยู่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ท่านบอกว่าท่านเปิดประตูให้แล้วไม่ใช่หรือ? ในเมื่อกู๋หยู่ไม่เห็นมัน กู๋หยู่แค่อยากรู้ว่าท่านแม่จะเข้าไปได้อย่างไร?"
ใบหน้าของโจวซื่อตึงเครียด ปากอ้ากว้าง แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไร นางแค่ทำงานในมือของนางต่อไป
หลินกู๋หยู่เดินไปที่ประตูด้านข้าง ยื่นมือดึงที่ลงกลอน แต่ไม่เปิด
“ท่านแม่สามี กุญแจอยู่ที่ไหนหรือ?” หลินกู๋หยู่หันไปมองโจวซื่อด้านข้างด้วยทีท่านิ่งสงบ
โจวซื่อยังคงเพิกเฉยต่อนาง
หลินกู๋หยู่เดินไปด้านข้าง หยิบค้อน เดินตรงไปที่ประตูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางทุบแม่กุญแจด้วยค้อน
ปัง!
ด้วยการทุบเพียงครั้งเดียว แม่กุญแจก็แยกออกเป็สองซีก ตกลงมานอนแอ้งแม้งบนพื้นอย่างน่าสมเพช
“ในสายตาของเ้า ยังเห็นว่าข้าเป็แม่สามีของเ้าหรือไม่? คิดไม่ถึงว่าเ้าจะทุบแม่กุญแจต่อหน้าข้า ไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปได้แล้ว โอ้์ ข้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้!” โจวซื่อลงไปนั่งกับพื้น นางเตะพื้นด้วยขาทั้งสองข้างแล้วร้องไห้โวยวายเสียงดัง "ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว..."
ถ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ก็ไปตายซะ!
หลินกู๋หยู่ชำเลืองมองโจวซื่ออย่างเฉยเมย นางจับมือโต้ซาเดินเข้าไปในบ้าน
ถ้าโจวซื่อไม่มายั่วโมโหหาเื่นางก่อน นางก็คร้านเกินกว่าจะเปลืองน้ำลายคุยกับโจวซื่อ
เมื่อเดินไปที่ประตู หลินกู๋หยู่หันหลังกลับไปเห็นโจวซื่อแอบมองมาทางด้านนี้ นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ท่านแม่สามี เมื่อไรที่ซ่อมประตูเสร็จ ก็ลงกลอนประตูเมื่อนั้นเถอะ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่เพราะกลอนพังแล้ว!”
โจวซื่อตกตะลึงกับคำพูดของหลินกู๋หยู่ นางจ้องมองด้วยดวงตาว่างเปล่าและร้องไห้เป็เวลานานโดยไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง หลินกู๋หยู่เห็นฉือเย่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง ส่วนฉือหางยังคงนอนเงียบๆ อยู่บนเตียง
"พี่สะใภ้สาม" ฉือเย่วางหนังสือในมือลง ลุกขึ้นและเดินไปหาหลินกู๋หยู่ "เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่หรือ?"
หลินกู๋หยู่ส่ายศีรษะเบาๆ และพูดอย่างสับสน "ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านแม่เป็อะไร อ้อ ใช่แล้ว อาการพี่สามของเ้าเป็อย่างไรบ้าง?"
"พี่สามไม่มีไข้แล้ว" เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ ดวงตาของฉือเย่เต็มไปด้วยประกาย เขาพูดอย่างมีความสุข "ตุ่มบนร่างกายของเขาก็หายไปเกือบหมดแล้ว"
"ขอบใจเ้า" หลินกู๋หยู่กล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะเดินไปที่ข้างเตียง นางวางมือบนหน้าผากของฉือหาง
ไม่ร้อนอีกต่อไปแล้ว
"พี่สะใภ้สาม ข้าขอตัวไปดูท่านแม่ของข้าก่อน" เมื่อได้ยินเสียงข้างนอก ฉือเย่ก็อดไม่ได้ที่จะจับหนังสือแน่น
"เ้าไปเถอะ"
คำสบถของโจวซื่อค่อนข้างดัง คำพูดของนางไม่น่าฟังมากขึ้นเรื่อยๆ
หลินกู๋หยู่เดินออกไปข้างนอก ใส่ยาขี้ผึ้งที่เตรียมไว้ลงในชาม
คิ้วของฉือหางขมวด ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น
“ข้าทำผิดอะไรหรือ ลูกสะใภ้แต่ละคนไม่มีใครเชื่อฟังเลย!”
“นางรังแกข้า ข้าไม่กล้าไปโผล่หน้าเจอผู้คนแล้ว!”
.......
คำก่นด่าของโจวซื่อไม่น่าฟังมากขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของฉือหางขมวดเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็สีฟ้าและสีขาวสลับกัน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มองไปที่หลินกู๋หยู่ที่เดินมาพร้อมกับชามในมือ สีหน้าของเขาราวกับอยากขออภัย เขากล่าวว่า "ข้าขอโทษ"
“เ้าขอโทษทำไมกัน?” หลินกู๋หยู่เลิกคิ้ว ถอดเสื้อผ้าของฉือหางออกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ร่างกายของฉือหางแข็งเกร็งเล็กน้อย จากนั้นไม่นานเขาก็ผ่อนคลายลง
ในตอนแรกเขารู้สึกอาย แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหลินกู๋หยู่กำลังรักษาอาการป่วยให้เขา ดังนั้นเขาจึงไม่เหนียมอายอีกต่อไป
เพียงแต่ใบหน้าของฉือหางยังคงแดงอยู่หลายส่วน
“ท่านแม่ของข้า” ฉือหางพูดด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า น้ำเสียงเจือด้วยความจนปัญญา “ท่านแม่เป็คนพูดไม่น่าฟัง”
หลินกู๋หยู่ลดคิ้วลงและช่วยฉือหางทายาอย่างระมัดระวัง นางพูดอย่างสบายๆ ว่า "น่าเสียดาย ข้าไม่มียารักษาโรคที่ท่านแม่สามีเป็อยู่"
ฉือหางเงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบา "เ้าคือยาที่จะรักษาข้า!"
หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหาง หว่างคิ้วขมวดเล็กน้อยและถามอย่างสงสัย "หือ?"
“ไม่มีอะไร” ฉือหางพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ไม่ได้ ข้า้าคำอธิบาย ลูกสะใภ้สาม้าบังคับข้าให้ตาย เช่นนั้นข้าก็จะตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ข้าต้องตายอย่างเข้าใจ! อย่าห้ามข้า อย่าห้ามข้า...”
โจวซื่อร้องไห้เสียงดัง เสียงนั้นพลันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้