ทุกคนรับประทานอาหารพลางพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ผ่านไปได้สักพักใหญ่ คุณปู่จ้าวเอ่ยกับผู้ใหญ่บ้านว่า “ฉันเป็หมออยู่ในตำบล ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรและยา มีโอกาสได้ผ่านมาที่นี่ ก็เลยกะจะมาดูด้วยว่าที่นี่มีคนไข้ให้ช่วยรักษาไหม ยังไงรบกวนผู้ใหญ่บ้านช่วยแจ้งกับทุกคนในหมู่บ้านได้ไหม หากบ้านไหนมีคนป่วย เดี๋ยวฉันไปรักษาให้ถึงบ้านเลย”
ผู้ใหญ่บ้านได้ยินดังนั้นก็ดีอกดีใจ นี่นับเป็เื่ดียิ่ง
ผู้ใหญ่บ้านรับปาก “พรุ่งนี้ตอนไปทำงานเดี๋ยวฉันบอกทุกคนให้ คุณไปหาพวกเขาได้เลย ในหมู่บ้านเรามีคนป่วยอาการหนักอยู่ไม่น้อย หากคุณสามารถรักษาพวกเขาจนหายได้ คุณต้องกลายเป็หมอที่มีชื่อเสียงแน่นอน”
“ได้!”
“ผู้ใหญ่บ้าน เหล่าจ้าวเป็หมอที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์มาจากบรรพบุรุษ ฝีมือการรักษาไม่เลว ฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้ว…” ซ่งมู่ไป๋ชมเหล่าจ้าวให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง
ผู้ใหญ่บ้านเชื่อที่ซ่งมู่ไป๋เล่าให้ฟังจนหมดใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “หมอจ้าว หมู่บ้านของเราขาดแพทย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเท้าพอดี คุณย้ายมาอยู่หมู่บ้านเราดีไหม ฉันจะให้แต้มการทำงานแปดแต้มทุกวัน ตอนปลายปีค่อยเอารวมกันแล้วมาแลกอาหารกับธัญพืช ตอนนี้ถ้าคุณไม่มีพวกอาหารกับธัญพืช จะมายืมไปก่อนก็ได้”
เหล่าจ้าวทำท่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยตอบคำ “ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านสนับสนุนฉันถึงขนาดนี้ งั้นฉันก็ยินดีที่จะอยู่ที่นี่”
ก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่บ้านเคยทำเื่ขอแพทย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเท้าส่งขึ้นไปแล้ว แต่ข้างบนกลับไม่อนุมัติลงมา
พอวันนี้ได้เจอหมอเข้าย่อมต้องยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายอยู่ที่หมู่บ้านนี้
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “ใกล้ๆ กับที่ว่าการมีโรงตรวจของหมอรักษาเท้าอยู่ พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันพาไปดู คุณจะได้พักอยู่ที่นั่น”
“ได้!” เหล่าจ้าวพยักหน้า ที่ชายชราตอบตกลงอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แค่เพราะช่วยแก้ปัญหาเื่ที่อยู่และอาหารการกินแต่เพียงอย่างเดียว อีกเหตุผลหนึ่งคือเขา้าดูว่าโม่โม่มีพร์ที่จะเรียนวิชาแพทย์หรือไม่
แม้เซี่ยโม่จะนิสัยดี แต่เขา้าดูด้วยว่าสมองเด็กสาวมีไหวพริบพอหรือไม่ ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจรับเด็กสาวเป็ลูกศิษย์ได้
เขาคิดเื่นี้อยู่ในใจมานานแล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสได้พิสูจน์สักที
อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่เดิมนัก ไม่อยากถูกคนพวกนั้นเพ่งเล็ง
เมื่อมีโอกาสเขาเลยเลือกที่จะพักอยู่ที่นี่
ซ่งมู่ไป๋มั่นใจในนิสัยของเหล่าจ้าว เด็กสาวรู้จักกับเหล่าจ้าว เขาเลยอยากให้อีกฝ่ายย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ เด็กสาวจะได้มีคนคอยปกป้องเพิ่มอีกหนึ่งคน
หนึ่งชั่วโมงกว่าผ่านไป อาหารมื้อนี้ก็จบลง ไม่เพียงเหล้าขาวหมด อาหารบนโต๊ะก็ยังหมดเกลี้ยงอีกด้วย
อู๋กวงเต๋อพยุงผู้ใหญ่บ้านที่เมาเซไปเซมาไปส่งบ้าน ส่วนซ่งมู่ไป๋ขี่จักรยานกลับไป
คุณยายเก็บโต๊ะ ขณะที่เซี่ยโม่พยุงเหล่าจ้าวที่ตาแทบจะลืมไม่ขึ้นไปนอนบนเตียง
เธอมองคุณยายที่เอาผ้าห่มของคุณตามาห่มให้เหล่าจ้าว ในใจคิดว่าคืนนี้คุณตาไม่มีผ้าห่มใช้ตอนนอนอีกแล้ว
เธอตั้งปณิธานในใจว่า จะต้องหาเหตุผลเพื่อเอาผ้าห่มออกมาจากโกดังสินค้าให้ได้
หากคุณปู่จ้าวคิดจะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ก็ต้องไปเก็บของจากบ้านเดิม นั่นอาจจะเป็โอกาสของเธอก็ได้
เซี่ยโม่ปวดหัวกับเื่นี้ไม่น้อย ทั้งที่เธอมีโกดังสินค้าพรั่งพร้อมไปด้วยของมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าอยากได้อะไรล้วนมีหมด แต่กลับต้องมาคิดหาวิธีว่าจะอ้างเหตุผลไหนดีเวลาหยิบมันออกมา คิดแล้วก็เศร้าใจ ไม่รู้ว่าชีวิตแบบนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อไร
อีกตั้งสองปี กว่าทางการจะอนุญาตให้มีการค้าขาย พอถึงตอนนั้นเธอก็จะไม่ต้องกลุ้มใจแบบนี้อีก
เธอถอนหายใจแล้วปิดเปลือกตา ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เช้าวันต่อมา เซี่ยโม่ตื่นแต่เช้าเพื่อไปออกกำลังกาย แล้วค่อยขึ้นเขาไปเก็บหญ้าแห้วหมู
ขณะที่เธอกำลังจะออกจากบ้าน น้องชายตัวน้อยรีบวิ่งหน้าตั้งออกมาจากในห้อง
“พี่ วันนี้ผมไปด้วยได้แล้วใช่ไหม”
เธอหยิกแก้มยุ้ยๆ ของน้องชายอย่างเอ็นดู แล้วก็ได้เห็นว่า ใต้ตาน้องชายตัวน้อยของเธอดำราวกับหมีแพนด้าก็ไม่ปาน
“เฉินเฟิง เมื่อคืนเราไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกลัวตื่นไม่ทันพี่ขึ้นเขาใช่ไหม” เธอถามด้วยความเป็ห่วง
เด็กชายตาโตด้วยความใ ไม่คิดว่าพี่สาวจะล่วงรู้ “พี่รู้ได้ยังไง”
“เราก็ลองไปส่องกระจกดูสิ ขอบตาดำซะขนาดนี้ วันหลังนอนให้เต็มอิ่ม ไม่ต้องกังวล ถ้าวันไหนพี่ขึ้นเขาเดี๋ยวจะปลุก”
เด็กชายยิ้มกว้าง “ครับ พี่ดีกับผมที่สุดเลย”
เธอลูบหัวน้องชายพลางเอ่ยอย่างรักใคร่ “เพราะพี่รู้ว่าเราเป็ห่วง ต่อไปหากมีเื่อะไรก็บอกพี่ อย่าเก็บเอาไว้ เฉินเฟิงไม่ยอมนอนแบบนี้ ร่างกายก็จะล้า เป็แบบนั้นแล้วจะขึ้นเขาไปเป็เพื่อนพี่ได้ยังไง”
เด็กชายพยักหน้า พร้อมกับเอามือปิดปากหาว “ผมจะเชื่อฟังพี่ คืนนี้ผมจะนอน ไม่อดนอนอีก”
เธอกลัวน้องชายจะเป็แบบเมื่อก่อนที่มีอะไรก็ไม่ยอมบอกกล่าว เก็บเื่เอาไว้กับตัวคนเดียว เซี่ยโม่พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่ไม่อยู่แล้ว ส่วนพ่อมีก็เหมือนไม่มี คุณตาคุณยายอายุมากแล้ว ไม่ว่ามีเื่อะไรเราต้องบอกพี่ รู้ไหม”
น้องชายตัวน้อยพยักหน้า “ครับ”
ทั้งสองพูดคุยกันไปตลอดทางระหว่างที่เดินขึ้นเขา เธอพบว่าน้องชายนั้นสดใสร่าเริงขึ้นไม่น้อย
“เฉินเฟิง ก่อนหน้านี้พี่มัวแต่ยุ่ง แต่ต่อไปพี่จะหาเวลามาอยู่เป็เพื่อนเรา สอนเราดีไหม”
“ดีครับ” เด็กชายยิ้มกว้าง
เมื่อเจอหญ้าแห้วหมู เห็นว่าแถวนี้ไม่มีใครอยู่ เธอหยิบขวดสเปรย์ออกมาจากโกดังสินค้า แล้วหันไปพูดกับน้องชายว่า “เฉินเฟิง เราใช้ขวดนี้เป็แล้วใช่ไหม งั้นช่วยพ่นแถวๆ นี้ให้พี่หน่อย”
ใบหน้าเฉินเฟิงระบายไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อทราบว่าตัวเองสามารถช่วยเหลือพี่สาวได้
“ได้ครับ พี่ไว้ใจผมได้เลย ผมทำได้”
เห็นน้องชายพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ เธอจึงยิ้มออกมา
เซี่ยโม่มองน้องชายที่พ่นยาแถวพุ่มไม้ เสร็จแล้วเธอก็กล่าวชม “น้องชายของพี่เก่งที่สุดเลย ช่วยพี่ได้แล้ว”
เซี่ยเฉินเฟิงฝันว่าอยากช่วยพี่สาวมาตลอด ในที่สุดวันนี้ความฝันก็เป็จริง
เด็กชายตัวน้อยทั้งรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจ ยิ้มไม่หุบ แววตาเป็ประกาย ใบหน้าฉายแววราวกับผู้ชนะ
เซี่ยโม่รีบเก็บหญ้าแห้วหมูเพื่อที่จะได้ลงจากเขาไวขึ้น
ระหว่างนั้น เธอหันไปมองน้องชายบ่อยๆ ผ่านไปครู่ใหญ่พบว่า น้องชายนอนหลับอยู่บนพื้นแล้ว
อีกฝ่ายไม่ได้นอนทั้งคืน อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เธอวางเคียวไว้บนพื้น รวมถึงตะกร้าที่สะพายบนหลัง เดินเข้าไปหาน้องชายด้วยฝีเท้าเบากริบ ระหว่างที่เดินไม่วายมองหาที่เหมาะๆ เพื่อให้น้องชายสามารถนอนหลับได้อย่างสบายๆ
ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ เธอไม่ใช่ว่าอยากลองพาคนเข้าไปในโกดังสินค้าหรอกหรือ
นี่เป็โอกาสดีที่หาได้ยาก
เซี่ยโม่อุ้มน้องชายแล้วนึกภาพโกดังสินค้า เวลาต่อมาเธอกับน้องก็เข้ามาอยู่ในโกดังสินค้าแล้วเรียบร้อย
เธออุ้มน้องชายเดินไปที่ห้องพักของคนเฝ้าโกดังสินค้า วางน้องชายไว้บนเตียง ก่อนจะหยิบผ้ามาห่มให้
เธอมองเฉินเฟิงที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง น้องชายของเธอหน้าตาน่ารักน่าชัง ขนตายาว เวลาลืมตา ดวงตาจะเป็ประกาย เสียงลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอทำให้ใจเธอรู้สึกสงบอย่างประหลาด
ชาติที่แล้วหลังจากฐานะดีขึ้น เซี่ยโม่มักจะฝันว่าได้ดูแลน้องชายแบบนี้ แต่น่าเสียดาย…
ชาตินี้เธอจะไปให้ถึงจุดนั้นอีกครั้ง และจะพาน้องชายไปกับเธอด้วย
เซี่ยโม่เกิดสงสัยว่า หากเธอออกจากพื้นที่นี้ไป น้องชายจะยังอยู่ในโกดังสินค้าหรือไม่
คิดได้ดังนั้นจึงทดลองดู เซี่ยโม่ออกจากโกดังสินค้า แม้เธอจะออกมาแล้ว แต่ยังเห็นภาพน้องชายนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในห้องคนเฝ้าโกดัง
นี่มันสุดยอดไปเลย
เธอสะพายตะกร้า หยิบเคียวแล้วเริ่มตัดหญ้าแห้วหมูต่อ แต่ก็ยังไม่วายคอยดูในโกดังสินค้าไปด้วยว่าน้องชายตื่นแล้วหรือยัง
ไม่นานก็ได้หญ้าแห้วหมูเต็มตะกร้า เธอสะพายตะกร้าลงจากเขา
ระหว่างเดินลงมา เธอนึกภาพโกดังสินค้าอย่างไม่วางใจ พบว่าน้องชายยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
นั่งรออยู่ครู่ แต่น้องชายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
เมื่อเห็นว่าแถวนี้ไม่มีคน ทั้งเธอยังี้เีเข้าไปดูในโกดังสินค้าบ่อยๆ จึงอุ้มน้องชายออกมาจากโกดังสินค้า เอาตะกร้าที่มีหญ้าแห้วหมูอยู่เต็มใส่เข้าไปแทน จากนั้นก็อุ้มน้องชายเดินกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้าน เธออุ้มน้องชายไปวางบนเตียงอุ่น คุณตา คุณยาย และคุณปู่จ้าวตื่นกันหมดแล้ว เธอยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เมื่อคืนเฉินเฟิงไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ให้เขานอนไปเถอะค่ะ ไม่ต้องเรียกมากินข้าวหรอก”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้