นาวาน้อยแห่งมิตรภาพบทจะล่มก็ล่มเสียอย่างนั้น
พูดกันตามตรง อวี้อ๋องหรงจ้านเดิมทีก็เป็โรครักความสะอาดขั้นรุนแรง ดังนั้นอย่าคิดว่าเขาซื้อเกาลัดคั่วน้ำตาลได้ แล้วจะกินไม่ได้ ดูจากสายตาของเขาตอนนี้เห็นชัดว่ากำลังไม่พอใจ
เฉียวเยว่มองไปตามสายตาของอาจารย์ใหญ่ ลังเลชั่วขณะก่อนถามว่า "ท่านจะกินหรือไม่?"
หรงจ้านยิ้ม "แม่นางน้อยเดี๋ยวนี้ล้วนข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานกันหมด ขอบคุณสักคำก็ยังไม่เป็"
เอาล่ะ เอาล่ะ หมายความว่ากิน แต่พูดกันตรงๆ ก็ได้
เฉียวเยว่ส่งทั้งถุงไปให้ "ยังมีอีกเยอะ"
หรงจ้านยังคงยิ้มต่อไป ยิ้มปีติ... อย่างแท้จริง!
"ข้าไม่ชอบสกปรก" เขาชี้ไปที่เกาลัดคั่วน้ำตาล แล้วชี้เฉียวเยว่
เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ก็คือให้นางแกะให้นั่นเอง
เฉียวเยว่สาบานเลยว่านางมีชีวิตมาสองชาติภพ เขาคือคนที่เื่มากที่สุดเท่าที่นางเคยเจอมา สุดยอด สุดยอด สุดยอดแห่งความเยอะ อย่างไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง พยายามฝืนทำสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากนั้นก็ตอบว่า "ได้เ้าค่ะ ข้าจะช่วยท่านเอง"
นางทำราวกับกำลังพะเน้าพะนอเด็กน้อย
พูดความจริง เวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกโชคดีที่ตนเองมิได้แตะต้องเกาลัดคั่วน้ำตาล มิเช่นนั้นคงได้ลงเอยแบบเดียวกับซูเฉียวเยว่ ทั้งน่าสงสาร และน่าอึดอัดใจ
อาจารย์ใหญ่ทอยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า "หากใครหิวก็กิน ไม่หิวก็ทำต่อ"
เฉียวเยว่แกะเกาลัดเร็วมาก เพียงไม่นานก็ได้หนึ่งกำมือเล็ก แล้วส่งให้เขา "กินสิเ้าคะ"
หรงจ้านเม้มปาก จ้องเกาลัดแล้วใช้สองนิ้วคีบขึ้นมา "เ้าทำสะอาดหรือไม่?"
ในที่สุดเฉียวเยว่ก็ควบคุมตนเองไม่อยู่ กลอกตาแล้วคว้ากลับมายัดใส่ปาก กินเองเสียเลย
"ท่านดูสิ ไม่มีปัญหา"
คนอื่นๆ ล้วนไม่มีใครกิน ตัวนางเองกินเข้าไปสองเม็ด แล้วกลับไปนั่งเขียนต่อ โดยไม่มองอวี้อ๋องอีกเลย หรงจ้านนั่งจ้องเกาลัด คิดอยู่ว่าจะกินหรือไม่กิน อาจารย์ใหญ่รู้สึกว่าตนเองอยู่มาเกือบจะหกสิบปี นี่เป็ครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ ยอมแพ้จากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
สำนักศึกษารักษาคำพูด บอกว่าหนึ่งชั่วยามก็คือหนึ่งชั่วยาม วันนี้ไม่เสร็จก็ยังมีพรุ่งนี้
เฉียวเยว่ออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ราวกับมีิญญาผีติดตามอยู่ด้านหลัง พูดตามตรง นางไม่อยากออกมาพร้อมกับอวี้อ๋อง
ประการแรก อาจทำให้คนคิดไปต่างๆ นานา เด็กสาวเดี๋ยวนี้ยิ่งคิดมากกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังกลัวว่าตนเองจะพลั้งะเิอารมณ์ออกไป จุดสำคัญก็คือคนผู้นี้ชอบยั่วโมโหผู้อื่น นางไม่เข้าใจสิ่งที่เขา้า
จนกระทั่งขึ้นไปบนรถม้า เห็นฉีอันรออยู่พร้อมกับเกาลัดคั่วน้ำตาลห่อหนึ่ง เฉียวเยว่ร้องเอ๋
ฉีอันชำเลืองปราดหนึ่งแล้วพูดว่า "อวี้อ๋องมอบให้"
เฉียวเยว่นั่งขัดสมาธิเริ่มกิน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเล่าไปเรื่อยๆ "เ้าไม่รู้อะไร วันนี้เขา... พวกเราศิษย์หญิง..."
ฉีอัน "ก็ปรกติดีไม่ใช่หรือ หากเขาทำตัวปรกติสิถึงประหลาด แต่ถ้าไม่ปรกติถือว่าปรกติแล้ว เ้าเข้าใจเขาผิดไปหรือเปล่า?"
เฉียวเยว่มานึกดู ก็รู้สึกว่าจริง นางถอนหายใจ "หนุ่มน้อย เ้าก็ใช้ได้เหมือนกันนี่"
พูดตามตรง เดิมทีนางนึกว่าวันนี้เป็เพียงเพลงสลับฉากที่แทรกเข้ามา แต่เพลงสลับฉากดันพลาดพลั้งเล่นยาวเกินไป วันต่อมา อวี้อ๋องก็มาปรากฏตัวอีก วันที่สาม...
ทุกคนล้วนกลัดกลุ้ม
แม้แต่โม่หลันยังแอบถามนาง "หาวิธีไล่เขาไปได้หรือไม่ เหนื่อยใจเหลือเกิน"
เฉียวเยว่ยักไหล่แบมือสองข้าง "เ้าดูหน้าข้า"
โม่หลันไม่เข้าใจ "ทำไมหรือ?"
เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง "ไม่เห็นคำว่า 'จนปัญญา' ที่สลักอยู่หรือ?"
โม่หลันขำพรืด พูดตามตรง ตลอดหลายวันที่อวี้อ๋องมาปรากฏตัว ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน จะเป็ความโชคดีมากหากพบเขาน้อยลงกว่านี้
แต่โชคดีที่วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถึงเทศกาลตวนอู่
เฉียวเยว่รู้สึกว่าหากไม่ถึงเสียที ทุกคนคงต้องเป็บ้า
แม้ไม่มีความจำเป็ที่เด็กสาวจะต้องมาจัดสถานที่ แต่ทุกคนก็ยังติดตามไปพร้อมกัน งานร้อยบุปผาจัดขึ้นที่พระตำหนักพักร้อนของราชวงศ์ซึ่งอยู่ข้างคูเมือง แม้จะเป็พระตำหนักแต่แท้จริงแล้วมีสถานที่พักผ่อนเพียงหนึ่งถึงสองหลังเท่านั้น ลักษณะเหมือนสวนสาธารณะในยุคปัจจุบันมากกว่า แต่มีคนเฝ้าอยู่เท่านั้น
เฉียวเยว่ได้ยินว่าเป็สถานที่ที่มักใช้จัดกิจกรรม นางตรองดูอย่างละเอียดก็ไม่รู้สึกแปลกใจ
ปรกติเมื่อมีการจัดงานลักษณะนี้ อาจมีเชื้อพระวงศ์หรือเหล่าพระญาติมาร่วมงาน หากเป็สถานที่ผู้คนพลุกพล่านยิ่งไม่ปลอดภัย ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเหมาะสมที่สุดแล้ว
เนื่องจากสำนักศึกษาสตรีมีแต่ศิษย์หญิง และมีอาจารย์หญิงไม่กี่คน การมาเที่ยวชมสถานที่ครานี้ นักเรียนแต่ละระดับชั้นจะมีอาจารย์หญิงดูแลหนึ่งท่าน
เฉียวเยว่มองดู ชั้นเรียนของพวกนางอยู่ด้านในสุด โม่หลันกระซิบ "ปีก่อนข้ามากับท่านแม่ ก็เลยรู้จักที่นี่เป็อย่างดี ถึงเวลาเ้าตามไปพร้อมกับข้า หนทางที่นี่ค่อนข้างจะซับซ้อน"
"ผู้อื่นชอบคุยโวว่าตนเองฉลาดนักมิใช่หรือ เมื่อฉลาดไหนเลยจะจำทางเองไม่ได้" ท่านหญิงฉางเล่อพูดเหน็บแนมประชดประชัน
นางเข้ามาเดินวนหลายรอบแล้ว ที่นี่ไม่ใหญ่มาก แต่มีความซับซ้อนอยู่บ้างจริงๆ ท่านหญิงฉางเล่อก็มาเป็ประจำ ย่อมคุ้นที่ทาง นางหันมามองเฉียวเยว่อย่างยั่วยุ "อย่าให้เข้ามาได้แต่ไม่รู้จะออกอย่างไรเสียล่ะ"
เฉียวเยว่ไม่เคยสนใจนางมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอเห็นหรงฉางเกอทำท่าทางเช่นนี้ ประกอบกับเห็นสายตางุนงงของแต่ละคน นางกลับแสดงความใจดีออกมา
"ตอนนี้เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย ที่นี่น่าจะมีทางแยก แล้วเลี้ยวขวา แล้วเดินตรงไปข้างหน้าต่อ..." เสียงของเฉียวเยว่ไม่ดังมาก แต่ยิ้มแย้มแจ่มใสไปจนกระทั่งพูดจบ และปิดท้ายว่า "ประตูนี้เป็ประตูอีกด้านหนึ่งของตำหนักแห่งนี้ ข้าพูดผิดหรือไม่?"
หรงฉางเกออึ้งไปสักพัก หลังจากนั้นก็ยิ้มเยาะ "ที่แท้เ้าก็เคยมา แล้วจะเสแสร้งทำไม"
เฉียวเยว่ทำหน้าซื่อ "ข้าไม่เคยมา หากว่าเคย ปีก่อนเ้าเห็นข้าหรือไม่เล่า?" นางไม่รอคำตอบจากหรงฉางเกอก็พูดต่อไปว่า "แท้จริงแล้วการออกแบบคฤหาสน์ลักษณะนี้มีหลักเกณฑ์อยู่ นี่คือการสร้างตามรูปแบบบ้านในเมืองหลวงธรรมดาทั่วไป เพียงแค่เปลี่ยนเพิ่มมาเป็สามตอนถึงทำให้คนรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ซับซ้อน พวกเ้าอย่ามองแต่ขนาด เพียงนึกถึงตำแหน่งเรือนในบ้านเ้าแล้วเอามาวางไว้ที่นี่ แล้วเพิ่มต่อเข้าไปอีกสามชั้น ทีนี้มาลองนึกดูอีกที แท้จริงแล้วเดินง่ายมาก"
ทุกคนนิ่งคิดอยู่สักพัก โม่หลันก็ปรบมือขึ้น "ถูกต้องเลย เฉียวเยว่ เ้าฉลาดมาก ใช่จริงๆ ด้วย"
นางนึกใคร่ครวญอย่างละเอียด ที่แท้ก็เป็เช่นนี้จริงๆ
ทุกคนต่างเข้าใจถ้วนหน้า
หรงฉางเกอแค่นเสียงหึ ไม่พูดต่อ
เฉียวเยว่ยิ้มแย้มแจ่มใส "พวกเ้าคุ้นเคยกันดี ไม่ต้องคิดมาก เข้ามาแปลกที่แปลกทางควรต้องคิดให้มากหน่อย สหายร่วมชั้นส่วนใหญ่คงสังเกตเห็นอยู่แล้วกระมัง เพียงแต่ไม่มีใครพูดเท่านั้น เ้ามาชมเช่นนี้ ข้าก็เขินแย่น่ะสิ"
เหล่าแม่นางต่างพากันหัวเราะ
อาจารย์หญิงมองซูเฉียวเยว่ปราดหนึ่ง มีรอยยิ้มประดับมุมปาก ตอนแรกเห็นท่านหญิงฉางเล่อเข้าไปหาเื่ทะเลาะ ตนเองคิดจะเข้าไปห้าม แต่ก็อยากดูว่านางจะรู้ทางจริงหรือไม่
แต่ท้ายที่สุดก็เข้าใจ ที่แท้เจตนาของคนเมาหาได้อยู่ที่สุรา [2] หรงฉางเกอ้ายั่วยุ แต่ซูเฉียวเยว่กลับใช้วิธีอธิบายรูปแบบสถาปัตยกรรมของที่นี่ ทำให้ทุกคนเข้าใจง่ายขึ้น นึกมาถึงตรงนี้ ก็ยิ่งรู้สึกชอบแม่นางน้อยคนนี้มากขึ้น พวกนางสองพี่น้องล้วนเป็ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาสตรี คนพี่สติปัญญาปราดเปรื่องกว่าคนน้อง แต่ไม่ค่อยมีชั้นเชิง คนน้องแม้เฉลียวฉลาดไม่เท่าคนพี่ แต่กลับมีไหวพริบร่าเริงสดใส เหมือนเช่นตอนนี้ แท้จริงแล้วหากนางไม่พูด แม่นางน้อยที่ไม่ค่อยได้ออกจากจวนก็จะเกิดความสับสน แต่พอนางชี้แนะเพียงเล็กน้อยทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มาตรองดูอย่างละเอียด นางเองก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าที่นี่จะใช้รูปแบบดั้งเดิมเพียงแค่ขยายออกไปเป็หลายชั้นหลายตอน
มองจากตรงนี้ นางมีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากทีเดียว
แต่ไม่ว่าอย่างไรแม่นางทั้งสองล้วนโดดเด่นทั้งคู่
เห็นได้ชัดว่าซูซานหลางสองสามีภรรยาอบรมสั่งสอนบุตรได้ดีเยี่ยม
เพื่อเก็บรักษาความลับ ดอกไม้ที่ทุกคนนำมาล้วนคลุมด้วยถุงสีดำ ไม่ให้คนเห็นจากภายนอก ต้องเก็บเป็ความลับจนกว่าจะนำออกมาประมูลในวันพรุ่งนี้
แต่รายละเอียดว่าเป็ดอกอะไร ทุกคนจะต้องไปลงทะเบียนบันทึกไว้ที่อาจารย์
และในฐานะอาจารย์ของพวกนาง อาจารย์กู้ย่อมเห็นดอกไม้ทุกกระถางแล้ว
แม้ว่าเขาจะเป็คนเคร่งขรึมจริงจัง แต่ก็แย้มพรายออกมาว่าดอกไม้ของเฉียวเยว่พิเศษที่สุด ตอนนี้อาจารย์หญิงกลับใคร่รู้ว่านางส่งดอกอะไรมา ไม่ใช่ดอกไม้ล้ำค่า แต่กลับมีความพิเศษ
"อันที่จริงพรุ่งนี้พวกเ้าล้วนออกมาจากสำนักศึกษาทั้งขามาและขากลับ ดังนั้นไม่จำเป็ต้องกังวลสิ่งใด แต่ข้าก็ต้องแนะนำให้พวกเ้ารู้สถานที่เกิดใหม่ของธัญพืชทั้งห้า [2] ด้วย... อ้อ จริงสิ พรุ่งนี้ไม่ต้องสวมชุดเครื่องแบบของสำนักศึกษา แต่ต้องมัดผมด้วยแถบผ้าสีชมพูของเครื่องแบบมาด้วย"
สตรีย่อมรักสวยรักงาม ใครเล่าจะไม่ชอบแต่งตัวสวยๆ พอได้ยินว่าไม่ต้องสวมใส่เครื่องแบบอันแสนอัปลักษณ์ของสำนักศึกษา ทุกคนต่างหน้าชื่นตาบานด้วยความตื่นเต้นดีใจ
แม้นางจะเป็อาจารย์ แต่ก็เป็สตรีเหมือนกัน ย่อมรักสวยรักงาม จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็อย่าสวมชุดสีฉูดฉาดเกินไปนัก เ้าควรรู้ดีอยู่แล้วว่าอาจารย์กู้ของพวกเ้า..."
คำพูดที่เหลือแม้ไม่ต้องเอ่ยก็เข้าใจกันดี
ทุกคนตอบพร้อมกัน "พวกเราทราบเ้าค่ะ"
วันนี้โม่หลันไปเที่ยวบ้านสกุลซู หลังเลิกเรียนนางขึ้นรถม้าคันเดียวกับเฉียวเยว่
"น้องชายเ้าล่ะ?" นางถามด้วยความประหลาดใจ
แม้ฉินอิ๋งกับโม่หลันจะเอ่ยถึงฉีอันเหมือนกัน แต่เฉียวเยว่ไม่รู้สึกว่าโม่หลันจะมีเจตนาพิเศษอันใด ตรงข้ามกับฉินอิ๋ง น้ำเสียงของนางมักมีความแปลกชอบกล
"่สองสามวันนี้เขาล้วนกลับก่อน เพราะต้องไปฝึกซ้อม เ้าก็รู้ พรุ่งนี้พวกเขามีรายการแข่งขันพายเรือั" นี่คือสาเหตุที่ทางสำนักศึกษาสตรีต้องมาเตรียมงานทางนี้ทั้งหมด เพื่อให้กั๋วจื่อเจียนมีเวลาในการฝึกซ้อมมากเพียงพอ
แต่เอ่ยถึงเื่นี้ ดูเหมือนว่าหรงจ้านจะไม่คิดเช่นนั้น
"อุ๊ย พูดถึงนักเรียนชายของกั๋วจื่อเจียน ข้าก็นึกถึงอวี้อ๋อง พานรู้สึกปวดฟันขึ้นมาเลย"
อวี้อ๋องกล่าวไว้ว่า ในเมื่อทุกเื่ล้วนทิ้งให้สำนักศึกษาสตรีทำหมดแล้ว หากฝึกฝนยังไม่ดี ได้อันดับสุดท้าย ก็ให้พวกเขาไปกินมูลเสีย"
คิดดู นี่ใช่คำพูดที่ท่านอ๋องคนหนึ่งพึงกล่าวหรือ?
มิหนำซ้ำยังพูดต่อหน้าทุกคนอีกด้วย น่าอายยิ่ง!
อาจเป็เพราะคำกล่าวของอวี้อ๋อง ศิษย์ใหม่ของกั๋วจื่อเจียนจึงต้องลำบากกว่าเดิมเป็เท่าตัว ด้วยเกรงว่าเขาจะเล่นลูกไม้อันใด
"เ้าคิดจะใส่ชุดแบบไหน? ข้าตัดกระโปรงสีชมพูอ่อนไว้ชุดหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะเป็สีเดียวกันกับแถบผ้ารัดผมของสำนักศึกษา" โม่หลันเอ่ยถาม
นางย่อมมีอาภรณ์มากมาย แต่พอนึกว่าไม่อาจสวมชุดใหม่ที่ตัดมาสำหรับเทศกาลตวนอู่โดยเฉพาะได้ ก็รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้าง
"ข้าน่าจะใส่ชุดสีฟ้าน้ำทะเลกระมัง ข้าคิดว่า หมู่มวลบุปผาล้วนแต่มีสีสันสดสดใส ควรสวมอาภรณ์ที่ดูตัดกันจะสวยกว่า" เฉียวเยว่กล่าว
โม่หลันปรบมือ "ใช่ ใช่ ใช่ เ้าพูดถูกที่สุด ข้านึกไม่ถึงเลย"
เฉียวเยว่หัวเราะ "ข้ามีสีฟ้าเข้ม สีน้ำทะเล ล้วนแต่เป็ชุดใหม่ ข้าว่าพวกเราสูงพอๆ กัน เช่นนั้นข้าให้เ้าชุดหนึ่งแล้วกัน เ้าจะได้ไม่ใส่ตัวเก่า"
โม่หลันเบิกตากว้าง "ได้หรือ?"
"เดี๋ยวกลับไปข้าจะหามาให้เ้าดู สวยมากเชียวล่ะ เ้าต้องเชื่อสายตาของข้า" เฉียวเยว่บอก
ทั้งสองคุยกันเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก
โดยมิได้สังเกตเลยว่ามีรถม้าอีกคันตามอยู่ด้านข้าง
"ท่านอ๋อง ยังต้องไปส่งขนมหรือไม่?" ซื่อผิงถาม
หรงจ้านครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนเผยรอยยิ้มอ่อนจางออกมา "ช่างเถอะ กลับรถ"
...
[1] เจตนาของคนเมาหาได้อยู่ที่สุรา หมายถึงตัวอย่างทำอย่างหนึ่งแต่ใจคิดถึงอีกอย่างหนึ่ง หรือมีแรงจูงใจซ่อนเร้น
[2] สถานที่เกิดใหม่ของธัญพืชทั้งห้า เป็คำเรียกห้องสุขาทางอ้อม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้