บ้านของเฉินเฟิงนั้นเรียบง่าย
แม้ว่าเขาจะเป็คนเมืองหลวงแท้ๆ แต่ก็มีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบท
ยิ่งไปกว่านั้นชนบทแห่งนี้ยังอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก เฉินเฟิงจึงพักอาศัยอยู่ในหอพักมหาลัยเป็ประจำ
หลังจากหลิ่วอีอีจอดรถ เธอเริ่มสำรวจบ้านเกิดของเฉินเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน หลิ่วอีอีกลับรู้สึกว่าบรรยากาศของชนบทแห่งนี้มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
นี่คือความรู้สึกที่เด็กเมืองกรุงทุกคนจะรู้สึกเมื่อมาเยือนชนบทครั้งแรก
“ที่รัก เรามาเยี่ยมดึกดื่นขนาดนี้ คุณพ่อคุณแม่จะไม่ใเหรอ…”
หลังจากลงจากรถ หลิ่วอีอีก็ยังรู้สึกไม่หายประหม่า
“ไม่เป็ไร แค่เสียงรถก็น่าจะดังพอปลุกพวกเขาแล้ว พวกเขาคงกำลังเปิดไฟอยู่”
เฉินเฟิงไม่ได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่นานแล้ว หางตาของเขามีน้ำตาคลอให้เห็น
ในชาติก่อน พ่อแม่ของเฉินเฟิงเสียชีวิตั้แ่ที่เขายังไม่ประสบความสำเร็จ
ลูกอยากกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว
ลูกชายกลายเป็ัทะยานสู่ท้องฟ้า แต่พ่อแม่กลับกลายเป็ขี้เถ้าหลับใหลใต้ผืนดิน
นี่คือการพลัดพรากที่โหดร้ายที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแม่ของเฉินเฟิงในชาติก่อนเสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ซึ่งปกติแล้วเป็โรคที่พบได้บ่อยในคนรวย
แต่มันกลับเกิดขึ้นกับชาวนาที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบท ชาวนาผู้ลำบากตรากตรำทำงานหนักทั้งชีวิต
ช่างเป็การประชดประชันกันเหลือเกิน
เพราะพ่อแม่ของเขาในชาติก่อนเสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
เฉินเฟิงในชาตินี้จึงอยากรักษาโรคเบาหวานของพ่อแม่ให้หายขาดก่อน และยืดอายุของถางจุนจ่านในเวลาเดียวกันไปด้วย
การจะรักษาชีวิตทั้งสามซึ่งแต่เดิมจะเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานนั้น เป็อะไรที่ยากมากเหลือเกิน
ด้วยเหตุนี้เอง นี่นับเป็หนึ่งในเป้าหมายหลักของเฉินเฟิงอีกประการหนึ่งในชาตินี้
นั่นคือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพโดยเร็วที่สุด เพื่อเอาชนะโรคเบาหวาน
เขาไม่เพียง้าให้ถางจุนจ่านมีชีวิตอยู่เกินปี 2004 แต่ที่สำคัญที่สุดคือให้พ่อแม่มีชีวิตอยู่เกินปี 2008 ด้วย
พ่อแม่ของเฉินเฟิงในชาติก่อนเสียชีวิตทั้งคู่ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ในฐานะชาวเหยียนหวง ทั้งๆ ที่ประเทศของพวกเขาได้เป็เ้าภาพจัดโอลิมปิกเป็ครั้งแรก แต่กลับไปสนามรังนก [1] เพื่อดูด้วยตาตัวเองไม่ได้
ลูกชายประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้รับรู้
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุด
นี่คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการกลับมาเกิดใหม่ของเฉินเฟิงในชาตินี้!!
เขา้าให้พ่อแม่ของเขาหายจากโรคเบาหวานและมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานๆ เฉินเฟิงในชาติก่อนนั้นโดดเดี่ยวเกินไป
เมื่อเขากลายเป็นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ พ่อแม่ของเขาก็ไม่อยู่แล้ว ภรรยาและลูกสืบสกุลก็ไม่มี
ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนสนิทมิตรสหายให้เขาไว้ใจ
ทั้งหมดเป็เพราะเหตุการณ์ที่เขาถูกรักแรกและเพื่อนสนิทสวมเขาตอนปีสามนั่นแหละ
โชคดีที่หลังจากเฉินเฟิงกลับมาเกิดใหม่ เขามีหลิ่วอีอีอยู่เคียงข้างเสมอมา รวมถึงผู้หญิงอีกสองคนที่มีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาแล้วด้วย
“เฟิงกลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงพ่อเฉินเฟิงดังลอดผ่านประตู
“พ่อ ครับ ผมพาว่าที่ลูกสะใภ้มาเยี่ยมครับ…”
เฉินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
ในชาติก่อน สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดอีกอย่างคือพ่อแม่ของเขาไม่ได้อุ้มหลานก่อนตาย
เฉินเฟิงจึงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาต้องเผด็จศึกหลิ่วอีอีภายในคืนนี้ให้สำเร็จ เพื่อให้พ่อแม่ของเขาได้อุ้มหลาน
แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกชอบหลิ่วอีอีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับรัก
ในยุค 95 คนในชนบทหลายคนก็มักแต่งงานกับคนเมืองโดยไม่ได้ทำความรู้จักกันมาก่อน
ตราบใดที่รู้สึกถูกชะตา หรือเข้ากันได้ แค่นั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้แล้ว
โดยเฉพาะการแต่งงานแบบอยู่ก่อนแต่ง ซึ่งบางครั้งมันก็มั่นคงกว่าการแต่งงานหลังจากคบหากัน
ภายใต้ภาระค่าใช้จ่าย
แม้แต่ความรักที่ร้อนแรงที่สุดก็อาจเปลี่ยนแปลงไปในท้ายที่สุด
ในทางกลับกัน คนที่แต่งงานกันแบบอยู่ก่อนแต่งมักไม่มีความรักั้แ่แรก เป็เพียงมิตรภาพและความผูกพันทางครอบครัว ความสัมพันธ์ในชีวิตแต่งงานจึงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“ลูกชายของฉันกลับมาแล้ว!”
เสียงปลดกลอนดังขึ้นจากภายในบ้าน น้ำเสียงคุณแม่เปี่ยมไปด้วยความสุข
ประตูเปิดออกในที่สุด แสงไฟสีเหลืองนวลกระทบใบหน้าของเฉินเฟิงและหลิ่วอีอี
“พ่อ แม่…”
เฉินเฟิงมีชีวิตสองชาติ ในที่สุดก็ได้เห็นพ่อแม่อายุสี่สิบกว่า หลังจากผ่านไปกว่าสิบปีสำหรับเขา ในที่สุดเขากลั้นใจไม่อยู่จนต้องร้องไห้ออกมา
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพาแฟนมาหาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ อย่าบอกนะว่าโดนครอบครัวผู้หญิงไล่มา?”
พ่อแม่ของเฉินเฟิงที่เห็นเขาร้องไห้ถามขึ้นด้วยความเป็ห่วง
ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้กลับมาพร้อมกับลูกชายของพวกเขากลางดึกกลางดื่นแบบนี้ ทำให้พวกเขาอดคิดไปในทางนั้นไม่ได้
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมต่างหากที่ไล่ด่าพ่อตาไป ผมมาเยี่ยมเพราะผมไม่ได้เจอพ่อแม่มานานแล้ว ผมคิดถึงมากครับ!”
เฉินเฟิงค่อยๆ หยุดสะอื้นและหยุดร้องไห้
หลิ่วอีอีมองเฉินเฟิงด้วยความสงสัย เธอพบว่าเฉินเฟิงที่ร้องไห้ออกมาด้วยใจจริงในตอนนี้ คล้ายกับเฉินเฟิงที่เธอแอบชอบตลอดสามปี
แต่เฉินเฟิงใน่ไม่กี่วันนี้ รู้สึกเหมือนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
แต่ถ้าถามว่าเปลี่ยนไปยังไง หลิ่วอีอีก็อธิบายไม่ค่อยถูก
พูดตามตรง เด็กบ้านนอกฐานะต่ำต้อยแต่หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง
ทำไมถึงพลิกผันอย่างสิ้นเชิงในเวลาเพียงไม่กี่วัน?
เขาสามารถพูดคุยกับประธานบริษัททั้งสี่ของบริษัทั์ใหญ่อย่างเฉียนต๋า ถางเฉิน ปี้หลงเยี่ยน หรือแม้แต่เซียงเหลียนได้อย่างสบายๆ
ถึงขนาดล่อลวงพวกเขาให้เซ็นสัญญาหลายต่อหลายฉบับได้
สุดท้ายกลายเป็เขาได้หุ้นกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์จากบริษัทั์ใหญ่ถึงสองบริษัทโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย
"เอาละ หยุดร้องไห้ได้แล้ว โตขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวจะโดนแฟนหัวเราะใส่เอานะ"
พ่อของเฉินเฟิงมองดูหลิ่วอีอีอีกครั้ง เขารู้ได้ทันทีว่าลูกสะใภ้คนนี้มาจากตระกูลผู้ดี
"ครับ อีอี นี่คือพ่อกับแม่ของฉันเอง คิดซะว่าเป็พ่อแม่ของเธอด้วยก็ได้นะ"
เฉินเฟิงโอบเอวบางของหลิ่วอีอี แล้วพูดปลอบเธอด้วยรอยยิ้มบิดๆ เบี้ยวๆ ที่เกิดจากการร้องไห้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิ่วอีอีรีบเอ่ยปากทักทาย
"คุณลุง คุณป้า สวัสดีค่ะ หนูเตรียมจะจดทะเบียนสมรสกับเฉินเฟิงพรุ่งนี้แล้วค่ะ เฉินเฟิงเลยพาหนูมาพบพวกคุณ เพื่อให้พวกคุณเห็นหน้าค่าตาของลูกสะใภ้ค่ะ"
เพื่อไม่ให้เฉินเฟิงต้องน้อยหน้าในงานเลี้ยง หลิ่วอีอีจึงสวมชุดกี่เพ้าสีเขียวมรกตที่เธอสั่งตัดพิเศษโดยเฉพาะมา
ชุดกี่เพ้าเป็ชุดที่สามารถแสดงให้เห็นถึงสัดส่วน ความสง่าราศี
และใบหน้าของผู้หญิงได้ดีที่สุด
ในสายตาของแม่เฉินเฟิง เธอรู้สึกพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้เป็อย่างมาก
ก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้เื่ฐานะยากจนของตนเอง
การได้ลูกสะใภ้หน้าตาสะสวย ขับรถได้ แถมสวมชุดกี่เพ้าราคาแพง นี่ถือว่าเป็บุญของบรรพบุรุษแล้ว
"ดี ดี... พรุ่งนี้แม่จะเอาทะเบียนบ้านให้พวกแก เผื่อไว้สำหรับจดทะเบียนสมรส!"
แม่ของเฉินเฟิงหัวเราะชอบอกชอบใจ
ดูเธอจะชอบลูกสะใภ้ที่ดูตรงไปตรงมาแบบนี้เหมือนกัน
"พ่อกับแม่ไปนอนต่อเถอะครับ ลูกชายคนนี้กลับมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็ห่วง"
เฉินเฟิงมองพ่อแม่ที่ดูง่วงงุน แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแ่เบา
เชิงอรรถ
[1] สนามรังนก หรือที่รู้จักในชื่อสนามกีฬาแห่งชาติกรุงปักกิ่ง เป็สนามกีฬารูปทรงรังนกและเป็สนามกีฬาแห่งชาติของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
