ผู้หญิงสองคนค่อยๆ ลงจากรถม้า
ทันทีที่นางเห็นผู้หญิงสองคน มู่จื่อหลิงก็มีความสุขทันที
ผู้หญิงสองคนนั้นไม่ใช่ผู้ใดอื่น นอกเสียจากองค์หญิงอันหย่าผู้เป็ดั่งต้นกล้าอ่อนแอ [1] และมู่อี๋เสวี่ยที่เคยมาที่จวนฉีอ๋องเพื่อให้มู่จื่อหลิงได้ทดสอบความสามารถ
เหตุที่มู่จื่อหลิงมีความสุขมาก แน่นอนว่าต้องเป็เพราะ...มู่จื่อหลิงยกมุมปากของนางขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม จ้องไปที่สาวงามที่เจ็บป่วยมีใบหน้า ‘ซีดเซียว’ จนดูผิดปกติ
สิ่งที่มู่จื่อหลิงสนใจมากที่สุดคือการเจ็บป่วยขององค์หญิง
คราวนี้มีสิ่งดีๆ ให้ได้ชื่นชมอีกครั้งแล้ว
จากความเข้าใจครั้งล่าสุดของนาง องค์หญิงขี้โรคผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน [2]
กล่าวได้ว่าในครั้งล่าสุดที่นางถูกหญิงป่วยผู้นี้เล่นกลอุบายใส่มันก็มากเกินพอแล้ว
แม้ว่าจะผ่านมาไม่นานมากนัก มู่จื่อหลิงก็ยังรู้สึกเสมอว่านางไม่ได้พบเด็กป่วยผู้นี้มานานแล้ว
เพราะนางระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ทั้งยังใจแคบเท่าไส้ไก่ นางไม่เคยต้องจดจำความคับข้องใจไว้ยาวนานจนถึงเพียงนี้ นางจึงตั้งหน้าตั้งตารอที่จะพบกับเด็กป่วยผู้นี้อีกครั้ง
รถม้าคันนั้นไม่ได้ออกมาจากวัง แต่กำลังเตรียมที่จะเข้าไปในวังหลวงจากภายนอก ยามนี้พวกเขาจงใจหยุดและลงจากรถม้า แม้แต่คนโง่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเพราะเหตุใดพวกนางถึงหยุด
ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มู่อี๋เสวี่ยเป็คนสวยหยาดเยิ้มและดูมีชีวิตชีวา รูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่สวยงาม ส่วนองค์หญิงอันหย่านั้นสวยบริสุทธิ์ ดูมีความน่ารักและอ่อนโยน อีกทั้งความอ่อนโยนและอ่อนแอของนางก็ทำให้ผู้คน้าปกป้อง
กล่าวได้ว่า มีภาพลักษณ์ที่ต่างกันมาก ผู้ที่ดูมีเสน่ห์ก็ช่างน่าหลงใหล ส่วนผู้ที่ดูบริสุทธิ์ก็ช่างดูไร้เดียงสา
เมื่อคิดถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะนางมารผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากทุกผู้ทุกนาม ทำให้เกิดเป็ดอกท้อเน่า [3] ได้อย่างแท้จริง
ไม่ใช่ มันควรจะเรียกว่าสามารถดึงความเกลียดชังของนางออกมาได้อย่างแท้จริงมากกว่า
มีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สองตามมา และมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ด้วยดอกท้อเน่านั้นยังมีหลายแบบมากมายจนนับไม่ถ้วน
“ฮึ!” มู่จื่อหลิงหันศีรษะของนางและจ้องไปที่หลงเซี่ยวอวี่ แล้วพ่นลมออกจากจมูกอย่างแรง
อสูรน้อยที่สร้างปัญหาให้์ทั้งเก้า [4] ผู้นี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!
ชั่วขณะหนึ่ง ฉีอ๋องที่ยังคงรอให้มู่จื่อหลิงเดินเข้ามาหาตกตะลึงเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
หญิงโง่ไม่เพียงไม่เข้ามา ยังกล้าดีอย่างไรมาทำเสียงฮึใส่เขา?
สายตาของหลงเซี่ยวอวี่จับจ้องอยู่ที่มู่จื่อหลิงมาโดยตลอด และมันไม่สำคัญเลยว่าเขาจะพบสองคนนั้นหรือไม่ เพราะแม้ว่าเขาจะรู้ตัว เขาก็ยังไม่หันไปมอง
เพื่อไม่ให้ผู้หญิงสองคนนั้นจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย มู่จื่อหลิงจึงเดินไปที่ด้านข้างของรถม้าที่พวกนางนั่งอยู่โดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันห่างจากหลงเซี่ยวอวี่
บทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างหลงเซี่ยวอวี่และหลงเซี่ยวเจ๋อไม่ค่อยดีนัก ยามนี้นางตัดสินใจได้แล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความล่าช้าของหลงเซี่ยวอวี่ในการออกเดินทาง น่าจะเป็เพราะหลงเซี่ยวเจ๋อที่รออยู่ในรถม้า
และยามนี้ที่หลงเซี่ยวเจ๋อกำลังฝึกฝนอยู่ในรถม้า นางไม่กล้าเข้าไปรบกวนเขา ไม่เช่นนั้นมันจะเป็บาปใหญ่ที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อนในภายหลัง
ในเวลานี้ความอดทนของหลงเซี่ยวอวี่หมดลงไปนานแล้ว
เพราะหญิงโง่ที่ไม่เชื่อฟังไม่เพียงไม่มา แต่ยังกล้าที่จะอยู่ห่างจากตัวเขา ดังนั้นฉีอ๋องในยามนี้จึงแสดงความไม่พอใจออกมามากมาย
่เวลาที่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ ผู้หญิงทั้งสองคนดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาเหมือนกัน รู้สึกเหมือนร่างกายของพวกนางกำลังถูกแช่แข็ง จนต้องหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ที่ตรงนั้น เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวสง่าและหรูหรา หล่อเหลาอะไรเช่นนี้ ชายผ้าที่พลิ้วไหว ช่างให้ความรู้สึกที่สูงส่ง ล่องลอยราวเทพเซียน [5]
เขานั่งนิ่งเงียบอยู่บนตัวรถม้าที่งดงาม เอนกายอย่างเกียจคร้าน ท่าทางของเขาทั้งสง่างามและเยือกเย็น จนไม่อาจถูกสิ่งใดทำลายลงได้
ในเวลานี้ มีแสงแดดอ่อนๆ และอบอุ่น สาดส่องลงมา ผ่านพู่ที่พลิ้วไหวตามสายลมบนรถม้า สีสันที่ผสานกันซึ่งอยู่เหนือร่างเขา ก่อเกิดเป็ประกายที่แพรวพราว
จากระยะไกลเขาดูหล่อราวกับเทพเซียนบน์ชั้นเก้า
ทั้งร่างเป็เหมือนประติมากรรมน้ำแข็ง เ็าและเฉยเมย สูงส่งและสง่างาม ร่างของเขามีบรรยากาศที่ดูไร้อารมณ์แผ่ออกมาไกลหลายพันลี้
ใบหน้าที่งดงามราวกับประติมากรรม ทุกรายละเอียดช่างสมบูรณ์แบบ พื้นผิวทุกจุดช่างเรียบเนียน สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้คนตื่นตาและหลงใหล เป็ไปไม่ได้เลยที่จะหลีกหนีออกมาด้วยตนเอง...
มู่จื่อหลิงมองไปยังคนทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่เขลา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันในใจ
องค์หญิงอันหย่าดูปกติ แต่ดูเหมือนว่ามู่อี๋เสวี่ยจะเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนไหวอิ่มเอมใจ ดวงตาของนางแลดูหมกมุ่นอยู่กับความหลงใหล จ้องมองไปยังผู้ที่กำลังเปล่งประกายอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
มู่จื่อหลิงโอบแขนของตนรอบหน้าอก มุ่ยปากไปทางหลงเซี่ยวอวี่อย่างนึกรำคาญ ชี้ชวนให้เขาหันไปมอง ราวกับจะบอกว่า ดูสิ นั่นจึงจะเป็ผู้ที่หลงดอกไม้ตัวจริง
ใบหน้าของฉีอ๋องมืดลงทันใด เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ก่อนถามเสียงเข้มเป็ครั้งสุดท้ายว่า “ฉีหวางเฟยจะไม่เข้ามาจริงหรือ?”
สายตาที่เขาใช้ในการจ้องมองมาที่นางเหมือนจะมีกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่แข็งแกร่งเป็อย่างมาก ราวกับว่าหากมู่จื่อหลิงยังไม่รู้ตัวว่าต้องเข้าไป นางจะเป็อันตราย
แต่มู่จื่อหลิงยังส่ายหัวอย่างระแวดระวัง ทั้งยังขึ้นเสียงอย่างกล้าหาญและเย่อหยิ่งอีกครั้ง มองเห็นก็เหมือนไม่เห็น [6] แล้วหันกลับไปมองคนทั้งสองต่อ
ในทางกลับกัน ทั้งสองคนที่อยู่ตรงนั้น
อันหย่าหายจากอาการสั่นมานานแล้ว
เห็นเพียงแค่นางจ้องไปทางมู่อี๋เสวี่ยที่ยังอยู่ในภวังค์เพียงแวบเดียว มู่อี๋เสวี่ยก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
ในยามนี้ มู่อี๋เสวี่ยกำลังประคององค์หญิงผู้มีอาการป่วยอย่างระมัดระวัง เดินช้าๆ เข้ามาทีละก้าว
องค์หญิงอันหย่าวางมือบนหน้าอกของตน ด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน
นางเหลือบมองมาทางนี้อีกครั้งด้วยสายตาละโมบ จากนั้นดวงตาของนางก็จ้องไปที่มู่จื่อหลิงอย่างแ่เบา รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากสีซีดของนาง
และั้แ่มู่อี๋เสวี่ยลงจากรถม้ามา สายตาของนางก็ไม่เคยละไปจากรถม้าคันใหญ่นี้เลย พูดให้ถูกคือ ไม่ละไปจากหลงเซี่ยวอวี่ซึ่งนั่งอยู่บนรถม้า
นางไม่ได้สนใจมู่จื่อหลิงอย่างแท้จริง ในยามนี้ เขาเป็เพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาของนาง
ผู้หญิงสองคนหยุดยืนอยู่ห่างจากรถม้าขนาดใหญ่สามฉื่อ [7]
เพราะพวกนางต่างก็รู้ว่าฉีอ๋องทรงรักความสะอาดอย่างลึกซึ้ง และห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ในระยะสามฉื่อรอบตัวเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่หากไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด ดังนั้นหญิงสาวทั้งสองจึงต้องตระหนักในตนเอง
องค์หญิงอันหย่าหลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนคุกเข่าลงโค้งคำนับให้หลงเซี่ยวอวี่ด้วยท่วงท่าราวคนอ่อนแรง “อันหย่าคารวะฉีอ๋อง”
“เสวี่ยเอ๋อร์คารวะท่านอ๋อง” มู่อี๋เสวี่ยก็คุกเข่าลงทำความเคารพหลงเซี่ยวอวี่อย่างมีเสน่ห์เช่นกัน ยามนี้นางเข้ามาใกล้มากแล้ว มู่อี๋เสวี่ยจึงไม่กล้าที่จะจ้องมองหลงเซี่ยวอวี่อย่างไร้ยางอายอีก
ทั้งสองถวายความเคารพด้วยท่าทางเดียวกัน โดยในคำทักทายต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่มันกลับบ่งบอกถึงความแตกต่างที่ค่อนข้างมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่จื่อหลิงซึ่งอยู่ข้างรถม้าก็รู้สึกงงงวยในทันที
หากนางจำไม่ผิด ครั้งที่แล้ว ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้กล้าเรียกหลงเซี่ยวอวี่อย่างโอ้อวดต่อหน้านาง ทั้งยังเรียกเขาด้วยความรักใคร่ว่าพี่อวี่
พี่อวี่? เมื่อนึกถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะถูแขนของตนไปมา เพราะนางรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเมื่อนึกถึง
แต่เหตุใดต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้ถึงไม่เรียกแล้ว? ไม่เพียงแต่ไม่เรียก แต่ยังเปลี่ยนเป็การเรียกขานอย่างเหินห่างว่าฉีอ๋องอีกด้วย? นี่มันอะไรกัน
แม้ว่าครั้งก่อนจะเรียกเขาอย่างใกล้ชิดต่อหน้านาง แต่ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้ไม่ใช่องค์หญิงที่ได้รับการรับเลี้ยงโดยไทเฮาหรือ? เกิดอะไรขึ้น จะเรียกว่าเสด็จพี่ก็ได้หรือเปล่า?
มู่จื่อหลิงงงจริงๆ
อย่างไรก็ตาม มู่จื่อหลิงไม่รู้ว่า เมื่อครั้งที่องค์หญิงอันหย่าได้พบกับหลงเซี่ยวอวี่เป็ครั้งแรก นางเรียกเขาว่าเสด็จพี่ แต่เป็การเรียกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แค่ครั้งแรกที่ได้พบกัน เขาก็ประทับอยู่ในใจของนางแล้ว
แต่เนื่องจาก่เวลานั้น องค์หญิงอันหย่าตกตะลึงกับคำพูดที่ไม่ไว้หน้าของหลงเซี่ยวอวี่ จนถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว [8]
ในเวลานั้น ฉีอ๋องดูเหมือนจะสบายๆ แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการดูถูกดูแคลน โดยกล่าวว่า ‘แท้ที่จริงแล้วเป็คนเช่นไร ไปรับเลี้ยงหมาแมวที่ไหนก็ไม่รู้ [9] ถึงได้เห่าไปเสียทุกที่ที่เดินผ่าน’
ประโยคนี้ฟังดูเหมือนประชดประชัน แต่ก็ดูเหมือนเป็การเสียดสีเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็การเสียดสีหรือประชดประชัน ทุกคนต่างก็รู้ดี
เพราะประโยคนี้ไม่เพียงแค่เยาะเย้ยองค์หญิงอันหย่าว่าไม่ต่างจากหมาแมวที่ไหนก็ไม่รู้เท่านั้น แต่ยังเป็การเหน็บแนมไทเฮาอีกด้วย
ขณะนั้นเมื่อองค์หญิงอันหย่าได้ยินประโยคนี้ ร่างกายของนางก็มืดบอดไปทั้งร่าง
ในท้ายที่สุด นางไม่สามารถทนได้จึงเกิดอาการหัวใจวายขึ้นมา และอาการจากโรคหัวใจนั้นก็เป็อาการที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับนางเช่นกัน เรียกได้ว่า นางเดินผ่านประตูแห่งชีวิตและความตายมาแล้ว
แต่...ด้วยเหตุที่ฉีอ๋องทรงกล่าวถ้อยคำที่ทั้งสว่างและมืดมน [10] ออกมาในคราวเดียว ย่อมไม่ยอมให้ผู้คนได้เลือกเด็ดหนาม [11] ชิ้นใดออกไป
ย้อนกลับไปในยามนั้น ไทเฮาทรงพิโรธมากจนกระอักโลหิตและสลบไป แต่นางกลับไม่อาจทำอะไรต่อหลงเซี่ยวอวี่ได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะหากไทเฮาทรงทำสิ่งใดก็ตามต่อหลงเซี่ยวอวี่ ก็เท่ากับการยอมรับไม่ใช่หรือว่าพวกนางเป็ดังหมาแมวที่ไหนก็ไม่รู้ตามที่เขาได้เอ่ยปากออกมา?
แม้ว่าไทเฮาจะไม่อาจทำสิ่งใดกับหลงเซี่ยวอวี่ได้ แต่ด้วยถูกหลงเซี่ยวอวี่พูดเช่นนั้น อันหย่าจึงไม่กล้าเรียกอีกเลย
เพราะในความหมายของถ้อยคำของหลงเซี่ยวอวี่แล้ว นางเป็เพียงหมาแมวที่ไหนก็ไม่รู้ นางจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกฉีอ๋องว่าเสด็จพี่ได้
หลายปีผ่านไป คำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ได้แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจขององค์หญิงอันหย่าราวกับใบมีดที่แหลมคม และไม่สามารถลบออกได้
แม้จะถูกเหยียดหยามมากเพียงใด แต่ความรักของอันหย่าที่มีต่อหลงเซี่ยวอวี่กลับไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าฉีอ๋องทรงมีเสน่ห์มากเพียงใด
มู่จื่อหลิงหันไปสบตากับมู่อี๋เสวี่ยซึ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงในดอกไม้และโง่เขลาอีกครั้ง
นางพยักหน้าเบาจนแทบมองไม่เห็น คิดกับตนเองว่า ยังมีคนเช่นมู่อี๋เสวี่ยผู้น่ารำคาญอยู่อีกมาก ที่อกใหญ่ไร้สมอง [12] กระทำสิ่งต่างๆ อย่างไร้หัวคิด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงงงงวยยิ่งขึ้นก็คือฉีอ๋อง ผู้ซึ่งยังนิ่งเฉยไม่แม้แต่จะบอกให้ผู้อื่นลุกขึ้น
เห็นเพียงดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่ที่หรี่ลงอย่างอันตราย ดวงตาที่เย็นเยียบราวกับเหยี่ยวคู่นั้น จ้องมาที่มู่จื่อหลิงโดยไม่กะพริบตา
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เปิดปากขึ้นเล็กน้อย พูดออกมาสองคำอย่างเ็าและเฉยเมย “ลุกขึ้นได้”
ความเฉยเมยของหลงเซี่ยวอวี่เป็ที่รู้กันดี ดังนั้นพวกนางทั้งสองคนจึงไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก พวกนางคิดว่ามันเป็เื่ปกติ และดูเหมือนว่าพวกนางจะมีความสุขเล็กน้อยในใจ อย่างน้อยเขาก็พูดกับพวกนาง
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” หญิงสาวทั้งสองยืดตัวขึ้นยืนตรงเกือบจะพร้อมกัน ทั้งยังลดสายตาลงอย่างเขินอาย
“ฉีอ๋องกำลังจะเข้าวังหรือเพคะ?” องค์หญิงอันหย่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่ ถามอย่างนุ่มนวล
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าฉีหวางเฟยซึ่งอยู่ข้างรถม้ากำลังจะถูกผู้หญิงสองคนนี้เมินเฉยอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มู่จื่อหลิง้ามันไม่ใช่แค่การทำให้ความรู้สึกมีตัวตนของนางลดลง ดังนั้นการถูกพวกนางเพิกเฉยน่ะหรือ? จากนี้นางจะนั่งรอชมสิ่งดีๆ
หลงเซี่ยวอวี่คนตระหนี่นั้นไม่้าแม้แต่จะพูดสิ่งใด สายตาของเขาจับจ้องไปที่ผู้หญิงตัวเล็กที่ไม่เชื่อฟังอยู่ครู่หนึ่ง
ดังนั้นมู่จื่อหลิงผู้ซึ่งกำลังเตรียมตัวรอชมเื่นี้ด้วยความยินดี จึงมักจะรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่เสมอ
เนื่องจากหลงเซี่ยวอวี่ยังคงจ้องมองนางอยู่ ในตอนแรกนางอาจเมินเฉยได้ แต่หลังจากเวลาผ่านไปนาน นางก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้แม้ว่าจะอยากเมินมันก็ตาม
แววตาของเขาล้ำลึกและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาราวกับท้องทะเลอันลึกล้ำ [13] สีดำสนิทราวกับหมึก ไม่มีก้นบึ้ง เหน็บหนาวอย่างถึงที่สุด และเขากำลังมองนางอย่างลึกซึ้งและเย้ายวน
ชั่วขณะหนึ่ง มู่จื่อหลิงรู้สึกขนลุกเล็กน้อยเมื่อหลงเซี่ยวอวี่มองมาที่นาง
แต่ในไม่ช้า มู่จื่อหลิงก็สงบลงเหมือนเช่นเคย ลูบหน้าอกของตน แล้วยื่นอกขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ เชิดริมฝีปากขึ้นสูง สบตาเขาโดยไม่แสดงความอ่อนแอ
ในตอนท้าย ยังแลบลิ้นและทำหน้าบึ้งใส่เขาอย่างไม่กลัวตาย
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ต้นกล้าอ่อนแอ (病秧子) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า คนป่วยกระเสาะกระแสะและร่างกายอ่อนแอ
[2] ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน (不是个省油的灯) เป็สำนวน มีความหมายว่า มีสิ่งที่ยากจะรับมือ
[3] ดอกท้อเน่า (烂桃花) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ความสัมพันธ์ที่ทำให้พวกเขามักจะพบกับสิ่งเลวร้าย หรือความสัมพันธ์ที่ไม่น่าเชื่อถือระหว่างกันเพราะมีฝ่ายหนึ่งหลอกลวง
[4] อสูรน้อยที่สร้างปัญหาให้์ทั้งเก้า (九天大妖孽) เป็คำที่มาจากนวนิยายเื่หนึ่ง ใช้เรียกผู้ที่ก่อความชั่วร้ายและสร้างปัญหาไปทั่วได้อย่างอิสระ
[5] ล่องลอยราวเทพเซียน (飘然若仙) เป็สำนวน มีความหมายว่า การเคลื่อนไหวของบุคคลที่ทั้งเบาบางและสง่างาม
[6] มองเห็นก็เหมือนไม่เห็น (视若无睹) เป็สำนวน มีความหมายว่า เห็นแล้ว แต่ทำเหมือนมองไม่เห็น ใช้แสดงถึงการไม่สนใจ/ไม่ให้ความสำคัญ
[7] ฉื่อ (尺) เป็คำบอกระยะทาง โดย 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว
[8] ถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว (体无完肤) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ถูกด่าหรือถูกวิจารณ์อย่างไม่มีชิ้นดี จนรู้สึกอายจนแทรกแผ่นดินหนีไม่ทัน
[9] หมาแมวที่ไหนก็ไม่รู้ (阿猫阿狗) เป็คำสแลง มีความหมายว่า ใครก็ได้
[10] ถ้อยคำที่ทั้งสว่างและมืดมน (明似暗的话) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า คำพูดที่คลุมเครือ ยากจะเข้าใจความหมายที่แท้จริง
[11] เลือกเด็ดหนาม (挑到任何刺) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า มองหาข้อผิดพลาด หรือข้อบกพร่องเพื่อใช้ในการโจมตี
[12] อกใหญ่ไร้สมอง (胸大无脑) เป็วลี มีความหมายว่า ผู้หญิงหุ่นสวย หุ่นดี แต่กลับโง่เขลาสวนทางกับรูปลักษณ์ภายนอก
[13] ท้องทะเลอันลึกล้ำ (深海湖泊) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ยากที่จะเข้าใจได้ ด้วยทะเลนั้นยากที่จะรู้ได้ว่าลึกเพียงใด เทียบกับคำไทยจะใกล้เคียงกับคำว่า ยากแท้หยั่งถึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้