เวลาตีหนึ่ง
ชวีเสี่ยวปอคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะนั่งดูจนถึงตอนนี้ เขาล้มลงนอนบนเตียงด้วยสภาพที่หัวหนักอึ้งทั้งยังรู้สึกวิงเวียนไปหมด แต่กลับมีลูกศรดอกหนึ่งยิงตรงเขามาที่หัวใจของเขา
ไม่เคยได้ชอบนี่สิถึงจะรู้สึกเสียใจภายหลัง
ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีทางััได้ถึงความรู้สึกเช่นเดียวกับเ้าของโพสต์นี้ได้ แต่ประโยคนี้กลับวนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่จางหายไป
อาจจะเป็เพราะว่าเื่ราวนี้ทำให้ผู้คนไม่ยอมปล่อยวางด้วยความรู้สึกเสียดาย ราวกับว่ากำลังเฝ้าดูคู่รักคู่หนึ่งที่เดินทางร่วมกันมาั้แ่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน จากความกลัวที่เกิดจากความโง่เขลาถึงการยอมจำนนต่อโลกใบนี้ มีทั้งสุขและเศร้าคละเคล้าปนกันไป แต่จู่ๆ ก็มีฝ่ายหนึ่งจากออกไป
หลังจากนั้นอีกคนหนึ่งก็ได้บอกว่า มีความสุขและไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด
อ่า
ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวกลับมาซบใบหน้าลงไปบนหมอน ไม่เข้าใจว่าตัวเองเห็นอกเห็นใจคนอื่นขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่ เขาไม่รู้ว่าเื่นี้มันเป็เื่ดีหรือว่าเื่ร้ายกันแน่ แต่ความจริงก็คือ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เขากลับรู้สึกะเืใจเข้าให้แล้ว เดิมทีเขาเพียงแค่อยากจะหาคำตอบ แต่ความรู้สึกมันกลับผสมปนเปกันจนเขารู้สึกสับสนยิ่งกว่าเดิม
ถ้าพูดให้ตรงประเด็นเลยก็คือ เขาคิดเยอะเกินไปแล้ว
ทว่าแม้จะคิดเยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้ ก็กลับยังไม่มีคำตอบ หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง สุดท้ายแล้วเขาก็หลับไปในที่สุด
วันจันทร์มักจะเป็วันที่ไม่มีความสุขมากกว่าวันอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด คุณครูที่ควบคุมดูแลการอ่านหนังสือในตอนเช้าตบลงไปบนโพเดียมหน้าห้องเรียนสองครั้ง เพื่อให้กระตุ้นพวกเขาให้ท่องเสียงดังขึ้นกว่าเก่า
ชวีเสี่ยวปอหาวออกมา เขารู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่แถวหน้าะโท่องออกมาเสียงดังอย่างกับกำลังร้องประสานเสียงอย่างไรอย่างนั้นเลย
“เมื่อคืนนอนดึกเหรอ? ” เซี่ยเจิงกำลังกินข้าวเช้าอยู่ เขาใช้เวลา่ที่คุณครูหันหลังไปกัดไข่ต้มใบชาเข้าไปคำใหญ่ แล้วจึงถามออกมาอย่างเสียงไม่ค่อยชัดว่า “ใต้ตานายคล้ำน่าดูเลย”
“จริงเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอลูบๆ ที่ดวงตาพลางถอนหายใจออกมา “นอนไม่หลับ”
“ทำไมเหรอ? ” เซี่ยเจิงหยุดการเคลื่อนไหวพร้อมทั้งยิ้มออกมา : “นายคงจะไม่ได้คิดเื่นั้นจนนอนไม่หลับหรอกใช่ไหม? ”
“ให้ตายสิ” ชวีเสี่ยวปอหันมองไปรอบๆ อันที่จริงเื่ที่เซี่ยเจิงพูดก็มีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่เข้าใจ ต่อให้พูดดังแค่ไหนก็ไม่มีคนฟังรู้เื่ แต่เขากลับรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาอยู่นิดหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเจิงเองก็พูดได้ถูกต้องอีกด้วย “พูดอะไรเพ้อเจ้อ”
“แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าฉันเดาถูกเลยล่ะ” เซี่ยเจิงหัวเราะขึ้นมาหนักกว่าเดิม
“สำลักตายไปเลย” เมื่อเห็นท่าทางทะเล้นของเซี่ยเจิงชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจขึ้นมา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเช่นกัน ความรู้สึกของพวกเขาทั้งสองคนที่มีความลับร่วมกันนี้มันทำให้เขารู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกันอย่างที่ไม่มีใครเหมือน ทั้งยังรู้สึกดีมากเลยทีเดียว
เมื่อเสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น บทสนทนาในเื่นี้ของทั้งคนก็จบลงไปด้วย
ในส่วนครึ่งวันหลังก็ไม่มีเื่ราวอะไรมากมาย หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จเรียบร้อย เซี่ยเจิงถูกโหยวเจียเรียกให้ไปหา แต่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรเหมือนกัน ในตอนที่ยังไม่ถึงเวลา่นอนพักตอนกลางวัน ชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นก็ยืนพิงลูกกรงอยู่ที่ระเบียงพลางมองออกไปยังฝั่งตรงข้าม
“มอหกนี่น่าสงสารจริงๆ เลยนะ” ซือจวิ้นมองไปยังนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่เดินไปเดินมาอย่างรีบร้อน เข้าห้องน้ำก็ยังต้องถือสมุดท่องศัพท์ไปด้วย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“อย่ารีบร้อนไป” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปาก “เดี๋ยวพอพวกเขาไปก็ถึงตาพวกเราแล้วไหม? ”
“ฉันไม่ได้รีบร้อนเลยสักนิด” ซือจวิ้นถอนหายใจออกมา “ถ้าโค้ชของพวกเราอนุญาต ฉันยังเรียนมอห้าซ้ำอีกปีได้เลย”
“ทำตัวให้ดูมีอนาคตหน่อยเถอะนายเนี่ย”
“คุณชายน้อยท่านนี้ครับยืนพูดอยู่ตรงนี้ไม่ปวดเอวเหรอครับ” ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางขึ้นมา “นายเข้าใจความทุกข์ยากของโลกไหม? ถ้าใช้คำพูดของโหยวเจีย นายรู้ไหมว่าอะไรคือทหารพันนายม้าหมื่นตัวข้ามสะพานไม้แผ่นเดียว? อะไรที่เรียกว่าเืออกเหงื่อไหลน้ำตาตก เสียเนื้อเสียหนังแต่ไม่เสียทีมไหม? ”
“ไม่ค่อยเข้าใจหรอก” ชวีเสี่ยวปอขยับข้อมือไปมา “แต่ถ้านายอยากรู้ละก็ ฉันจะทำให้นายได้ััเดี๋ยวนี้เลย ดาววิ๊งๆ บนหัวของนายจะบินมาที่หน้าฉันหมดแล้วเนี่ย” หลังจากพูดจบเขาก็ชกลงไปบนไหล่ของซือจวิ้นไปอย่างไม่เบาและไม่แรงมาก
“มา ต่อเลย” ซือจวิ้นแกล้งทำหน้าเคลิ้ม “แรงกว่านี้อีกหน่อย ฉันกำลังปวดไหล่อยู่พอดีเลย”
ทั้งสองคนเล่นหัวเราะกันสนุกสนานอยู่พักหนึ่ง แล้วชวีเสี่ยวปอก็เงียบลง “นี่ ฉันถามอะไรหน่อยสิ”
“มีอันใดจะชี้แนะ” ซือจวิ้นพูด
“พูดให้มันจริงจังหน่อย” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้ว
“มีอะไรเหรอ? ” เมื่อซือจวิ้นได้ยินน้ำเสียงของเขาจึงเปลี่ยนท่าทีเป็จริงจังขึ้นมา ทั้งยังไม่ทำหน้าทะเล้นแล้วด้วย
แต่ในตอนที่จะพูดขึ้นมาจริงๆ ชวีเสี่ยวปอกลับลังเลอยู่พักใหญ่ เขารู้สึกว่าด้วยสมองที่เท่าเมล็ดแตงโมของซือจวิ้น ถ้าเขาถามคำถามแบบนี้ออกไป ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรแปลกประหลาดขึ้นมาหรือเปล่า
“นายก็พูดมาสิ? ” ซือจวิ้นร้อนใจขึ้นมาแล้ว “ต้วนเหล่ยอยากเจอนายอีกแล้วใช่ไหม? หรือว่าที่บ้านนายมีเื่อะไรหรือเปล่า? นายทะเลาะกับพ่อของนายเหรอ? นายหนีออกจากบ้านมาแล้ว? ”
“หยุดๆ ” ชวีเสี่ยวปอทำมือให้เขาหยุด เขารู้สึกว่าถ้าเขายังไม่ห้ามเอาไว้ ซือจวิ้นก็คงจะมโนสร้างละครคุณธรรมเกี่ยวกับครอบครัวขึ้นมาฉากหนึ่งแล้วล่ะ จากนั้นเขาจึงลดเสียงลงแล้วพูดออกไปว่า “ฉันจะถามว่าถ้าสมมติฉันจูบนายไปทีหนึ่ง นายจะรู้สึกยังไง? ”
“แล้วนายจะจูบฉันทำไม? ” ซือจวิ้นพูดออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว
“นายได้ทวนคำถามไหมเนี่ย !” ชวีเสี่ยวปออยากจะทุบศีรษะเขาให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริงๆ “ฉันบอกว่าสมมติ !”
“แต่ว่าปัญหามันไม่ใช่เื่ของการสมมติหรือไม่สมมตินะ” ซือจวิ้นพูดมีเหตุผลอย่างฉะฉาน “นายจะมาจูบฉันได้ยังไง”
ทำไมฉันถึงจูบนายไม่ได้ ฉันยังจูบเซี่ยเจิงแล้วเลย ชวีเสี่ยวปอเกือบจะหลุดปากพูดออกไป แต่เมื่อเห็นใบหน้าของซือจวิ้นที่ดูเหมือนจะมีท่าทางว่า “นายพูดเพ้อเจ้ออะไรของนายอยู่เนี่ย” ชวีเสี่ยวปอจึงกลืนคำพูดที่อยู่ในปากลงไปอีกครั้ง ซือจวิ้นไม่ได้พูดผิดเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นใดก็ตาม ชวีเสี่ยวปอก็ไม่มีทางที่จะเกิดความรู้สึกกับเขาเช่นเดียวกับที่เกิดกับเซี่ยเจิงได้
ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
“นายไปจูบใครมาเหรอ? ” ซือจวิ้นััได้ถึงกลิ่นของการซุบซิบนิทาขึ้นมาทันที “นายแอบคบกับใครลับหลังฉันเหรอ! ชวีเสี่ยวปอนายนี่มันใจร้ายจริงๆ เลย” ซือจวิ้นบีบเสียงเล็ก ดูท่าแล้วคงจะโดนทุบน้อยเกินไป
“ฉันจะชกนายจริงๆ ด้วย” ชวีเสี่ยวปออดกลั้นที่จะไม่ต่อยไปบนไหล่ของซือจวิ้น “แล้วนายคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ฉันถึงได้จะไปจูบนาย”
“ให้ตายสิปอเอ๋อร์ นายคงจะไม่ได้คิดอะไรกับฉันขึ้นมาจริงๆ ใช่ไหม” ซือจวิ้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอกเอาไว้ ทำท่าทางเหมือนกำลังปกป้องตัวเองอยู่ “ไม่มีอะไรทำก็ดูหนังสือสุขภาพ อย่าเอาแต่ดูหนังโป๊...”
“เดี๋ยวนายได้ตายจริงๆ แน่” ชวีเสี่ยวปอกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกว่าถามคำถามซือจวิ้นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี ไม่สู้ครุ่นคิดเองเสียยังจะดีกว่า
“ที่จริงคำถามที่นายถามมันไม่ได้เป็เื่ไร้สาระหรือยังไง” ซือจวิ้นจ้องเขา
“ไร้สาระยังไง? ” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจ
“ถ้านายไปจูบใครคนหนึ่งแสดงว่านายก็ต้องชอบเขาเข้าแล้วละ” ซือจวิ้นพูดตามหลักเหตุผล “ฉันไม่เชื่อว่าตอนที่นายไปจีบเซี่ยเจิง(ญ)นายจะไม่ได้คิดไปถึงไหนต่อไหนกับเธอ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาทันที จากนั้นเขาจึงส่ายหัวไปมา : “ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย”
“โอเค ตัวอย่างนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” ซือจวิ้นเกาท้ายทอย “ถ้างั้นนายก็ลองคิดดูว่า นายอยากจูบต้วนเหล่ยหรือเปล่า? ”
“บ้าเหรอ” ชวีเสี่ยวปอเกือบจะคลื่นไส้ออกมา “ตัวอย่างนี้ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ !”
“ถ้างั้นก็ใช่แล้วละ กับคนที่นายเกลียดแม้แต่จะพูดยังไม่อยากพูดด้วยเลย เพราะงั้นถ้ามองกลับกัน นายอยากจะจูบใครคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็เพราะนายชอบเขา” คำอธิบายนี้ของซือจวิ้นทั้งเรียบง่ายและตรงไปตรงมาอย่างไม่เกรงใจใครมากเลยทีเดียว แต่กลับเข้าใจได้ง่ายเสียจริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าคาดการณ์ตามตรรกะที่ว่านี้
เขาจูบเซี่ยเจิง เป็เพราะว่าเขาชอบเซี่ยเจิง?
ให้ตายสิ
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าในหัวของเขามีซับะุวิ่งผ่านกันเรียงรายเต็มไปหมด
แต่ทุกอย่างกลับดูเหมือนว่าจะสมเหตุสมผลขึ้นมาแล้ว