การแข่งขันภาษาอังกฤษระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศที่เซี่ยเสี่ยวหลานรู้จัก ทุกปีจะจัดการแข่งขันรอบแรกตอน่เดือนเมษายน
ไม่ว่าจะเป็รอบแรกหรือรอบรองชิงชนะเลิศ ล้วนจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยในท้องถิ่น
แต่การแข่งขันที่เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าร่วมในวันนี้นั้นไม่ได้คำนึงถึงความลำบากของเหล่าอาจารย์หรือนักศึกษา เนื่องจากผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องเดินทางมายังกรุงปักกิ่ง เห็นได้ชัดว่ากระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการจัดงานเป็อย่างมาก
“แสดงว่าบนบ่าของพวกคุณมีภารกิจที่ต้องแบกรับ การแข่งขันที่ถูกจัดขึ้นเป็ครั้งแรกย่อมมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างยิ่ง เพราะต่อไปจะมีการจัดการแข่งขันเกิดขึ้นทุกปี”
ตามความเห็นของเซี่ยเสี่ยวหลาน เป็เพราะปีที่แล้ว ‘ภาษาอังกฤษ’ ถูกเพิ่มเข้าเป็หนึ่งในวิชาบังคับของการสอบเกาเข่า ไม่ว่าจะเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ล้วนต้องสอบวิชาภาษาอังกฤษด้วยกันทั้งสิ้น กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ทำการจัดการแข่งขันระดับประเทศเพื่อใช้เป็การประชาสัมพันธ์อย่างเป็ทางการ กระตุ้นให้เด็กที่เตรียมตัวสอบเกาเข่าหันมากระตือรือร้นกับการเรียนวิชาภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น
อาจารย์จากภาควิชาภาษาต่างประเทศกล่าวเตือนให้ทุกคนระวังคู่แข่งจากมหาวิทยาลัยนอกปักกิ่ง แม้มหาวิทยาลัยเ่าั้ความสามารถองค์รวมไม่สามารถเทียบกับหัวชิงได้ แต่ถ้าเป็เื่ของภาษา มหาวิทยาลัยทั่วประเทศต่างก็อยู่ในระดับดีเช่นเดียวกันทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าทำไม มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งถึงมีผู้ผ่านเข้ารอบเพียง 3 คนเท่านั้น
“นั่นเป็เพราะเด็กสาขาวิชาภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งไม่ลงสมัคร นี่คือความคิดของอาจารย์สวี”
อาจารย์หลินตอบเสียงใส เธอเคารพนับถืออาจารย์สวีเป็อย่างมาก
ตอนนี้มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งเปิดการเรียนการสอนทั้งสิ้น 28 ภาษา และภาษาอังกฤษคือหนึ่งในนั้น ซึ่งหมายความว่าผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 คนที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศล้วนมาจากสาขาวิชาภาษาอื่นๆ
ดีเยี่ยม แข็งแกร่ง สมฐานะผู้นำวงการ
เมื่อได้ยินดังนั้นนักศึกษาสองคนจากภาควิชาภาษาต่างประเทศของหัวชิงหน้าถอดสีขึ้นมาทันที
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกอะไร คนเราย่อมมีสิ่งที่ถนัดแตกต่างกัน เดิมทีก็เป็มหาวิทยาลัยที่เน้นภาษาต่างชาติโดยเฉพาะ ถ้ามีคนจากสาขาภาษาอังกฤษลงแข่งด้วย มหาวิทยาลัยอื่นจะแข่งกันไปทำไม
อีกทั้งนี่คือการแข่งขันที่จัดขึ้นเป็ครั้งแรก จึงยังไม่มีใครที่มีประสบการณ์ในการแข่งขันแม้แต่คนเดียว
อนาคตการแข่งขันภาษาอังกฤษระดับมหาวิทยาลัยจะถูกแบ่งเป็สี่ประเภทคือ A, B, C, D โดยประเภท A จะเป็การแข่งขันสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาโท ประเภท B สำหรับนักศึกษาปริญญาตรีสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ประเภท C สำหรับนักศึกษาปริญญาตรีนอกสาขาวิชาภาษาอังกฤษ และประเภท D สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษาและสาขาวิชาทางการแพทย์
ให้พวกเรียนตรงสายแข่งกันเอง ส่วนมือสมัครเล่นแข่งกันต่างหากถึงจะถูกต้อง
แต่ตอนนี้ระบบต่างๆ ยังไม่สมบูรณ์นัก แม้ปี 1981 จะสามารถสอบโทเฟลได้แล้ว แต่ปี 1985 การสอบทักษะภาษาอังกฤษระดับสี่และหก [1] ที่ทรมานเหล่านักศึกษาในอนาคตมานานหลายปียังไม่ถือกำเนิดขึ้นด้วยซ้ำ
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศถูกจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนซีซานหวน อยู่ห่างจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งไม่เกิน 3 กิโลเมตรเท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอดถามอาจารย์หลินไม่ได้
“อาจารย์ทราบไหมคะว่าปีนี้มีเด็กจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งผ่านเข้ารอบชิงบ้างหรือเปล่าคะ”
อาจารย์หลินหยุดคิด ก่อนตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“เหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งนะ... อาจารย์เฮ่อคะ วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งมีเด็กคนหนึ่งผ่านเข้ารอบชิงใช่ไหมคะ”
อาจารย์เฮ่อคืออาจารย์ผู้รับผิดชอบติวเข้มให้กับพวกเซี่ยเสี่ยวหลานอีกคนหนึ่ง
เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อช้าๆ แล้วกางออกดู “มีอยู่คนหนึ่งนะ ทำไมจู่ๆ ถึงถามเกี่ยวกับวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งล่ะ”
คู่แข่งประเภทนี้ ศาสตราจารย์เฮ่อไม่เห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
มีแค่คนเดียว เช่นนั้นคงไม่ใช่เซี่ยจื่ออวี้หรือหวังเจี้ยนหัว เซี่ยเสี่ยวหลานจำได้ว่าผลการเรียนภาษาอังกฤษของพวกเขาไม่ได้ดีมากนัก ทั้งคู่สอบเข้ามหาวิทยาลัยตอนปี 1983 ตอนนั้นผลคะแนนภาษาอังกฤษยังไม่ถูกนำมาคิดรวมกับคะแนนสอบวิชาอื่นๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ พอดีฉันมีคนรู้จักที่มาจากบ้านเกิดเรียนเดียวกันเรียนอยู่ที่วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งน่ะค่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานส่งยิ้มอย่างเขินๆ ให้ศาสตราจารย์เฮ่อ จี้เจียงหยวนกำลังนั่งเงียบหลับตาทำสมาธิ แต่สมองกลับประมวลผลอย่างรวดเร็ว เซี่ยเสี่ยวหลานถามถึงวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งคงเพราะว่าที่พี่เขยที่น่ารังเกียจคนนั้นสินะ ผู้ชายที่มาหัวชิงเมื่อคราวก่อน คนที่ชื่อหวังเจี้ยนหัวนั่น
หวังเจี้ยนหัวเป็ลูกชายของรองหัวหน้าหวัง ข้าราชการฝ่ายอุดมศึกษา และก่อนหน้านี้รองหัวหน้าหวังเองก็เพิ่งมาที่หัวชิง
ตระกูลหวังนั้นมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก เื่ชั้นเรียนกวดวิชาหลายคนในปักกิ่งต่างรู้กันทั่วแล้ว
เขาอยากคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าเื่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เซี่ยเสี่ยวหลาน ‘ขีดเส้นแบ่ง’ กับเขาอย่างชัดเจน แม้จี้เจียงหยวนอยากคุยด้วยก็ไม่สามารถทำได้
ถ้าเป็หวังเจี้ยนหัวคนนั้นจริงๆ คงน่ารังเกียจเหลือเกิน
จี้เจียงหยวนไม่เข้าใจ เซี่ยเสี่ยวหลานกับโจวเฉิงกำลังคบหากันอยู่ หวังเจี้ยนหัวยังกล้ามาหาเซี่ยเสี่ยวหลานถึงที่ อย่างไรก็ตามครูฝึกโจวดูไม่เหมือนคนที่จะยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆ จี้เจียงหยวนไม่ชอบใช้คำว่า ‘อภิสิทธิ์’ หรือ ‘ระดับชั้น’ มาจำแนกระดับของคน แต่คนบางคนนิยมทำเช่นนั้น เขาจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมสักหน่อย ถ้าอย่างนั้นตามค่านิยมของแผ่นดินใหญ่ ตระกูลหวังก็ไม่อาจเทียบชั้นกับตระกูลโจวได้ จี้เจียงหยวนรับรู้เื่นี้ได้อย่างชัดเจน
จี้เจียงหยวนอยากพูดคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลานแต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ในสายตาของเพื่อนนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานเกรงว่าเขาคงจะน่ารังเกียจพอๆ กับหวังเจี้ยนหัว คิดได้เช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจแกล้งหลับต่อไป
หากเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ความคิดของเขาคงบอกว่าจี้เจียงหยวนคิดมากเกินไปแล้ว
คนที่เธอเกลียดจริงๆ คือจี้หย่า ส่วนจี้เจียงหยวนนั้นแค่ซวยถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น ดังนั้นตำแหน่งความเกลียดชังในใจของเซี่ยเสี่ยวหลาน จี้เจียงหยวนอยู่หลังหวังเจี้ยนหัว และหวังเจี้ยนหัวก็อยู่ข้างหลังเซี่ยจื่ออวี้ ใครคือ ‘ฆาตกรตัวจริง’ คนคนนั้นย่อมไม่สมควรได้รับการให้อภัย รถบัสเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งตอนยังไม่ถึงแปดโมงเช้า
เซี่ยเสี่ยวหลานตามพวกอาจารย์หลินไปกินมื้อเช้าด้วยกัน
เื่พวกนี้เด็กนักศึกษาย่อมไม่ต้องจ่ายเงิน ทางมหาวิทยาลัยล้วนเป็ผู้รับผิดชอบทั้งหมด คิดๆ ดูก็นับว่าเป็เื่ที่สมควรแล้ว ถ้าให้นักศึกษาจากต่างถิ่นเดินทางมาเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงถึงปักกิ่ง และยังต้องควักเงินของตนออกค่าใช้จ่ายเอง แค่ค่ารถก็คงทำคนใจนถอนตัวไปจำนวนไม่น้อย เดินทางมาต่างถิ่นต้องใช้เงินทั้งค่ากินค่าอยู่ นักศึกษาทั่วไปคงแบกรับค่าใช้จ่ายนี้ไม่ไหว
“9:00 น. - 10:30 น. เป็การสอบข้อเขียน สอบข้อเขียนเสร็จถึงจะเริ่มสอบทักษะการพูด ทักษะการพูดสอบอย่างไร พวกเราต่างก็ฝึกซ้อมกันมาแล้วหลายครั้ง พวกคุณแค่แสดงความสามารถตามที่ฝึกฝนมาให้ดีก็พอ”
ทุกคนล้วนฝึกซ้อมทักษะการพูดกันมาอย่างยาวนาน
การสอบทักษะการพูดนั้นไม่ซับซ้อน โดยจะแบ่งเป็สามส่วน หนึ่งคือการแนะนำตัว ซึ่งก็คือการให้แนะนำตัวเป็ภาษาอังกฤษ อย่างเช่นการบอกว่าทำไมถึงชอบภาษาอังกฤษ เป็ต้น ภายในระยะเวลา 3 นาที
ส่วนที่สองคือการเล่าเื่ นักศึกษาจะได้ฟังคลิปเสียงเื่สั้น หลังฟังจบจะมีเวลา 1 นาทีในการเรียบเรียงความคิด จากนั้นก็ใช้วิธีการของตนเองบอกเล่าเื่ราวที่ได้ฟัง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 นาที
ส่วนที่สามคือการจับฉลากหัวข้อเื่ อธิบายความคิดเห็นของตนต่อหัวข้อที่จับฉลากได้ เหมือนครั้งก่อนที่เซี่ยเสี่ยวหลานจับได้หัวข้อเื่สภาพแวดล้อม หัวข้อประเภทนี้มีแนวโน้มสูงมากที่จะนำมาออกข้อสอบ ระยะเวลาที่ให้ใช้ก็คือไม่เกิน 5 นาทีเช่นกัน
การสอบทักษะการพูดจะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีต่อนักศึกษาหนึ่งคน เมื่อมีนักศึกษาจากทั่วประเทศจำนวน 200 คน เช่นนั้นต้องใช้เวลารวม 3,000 นาที หรือก็คือ 50 ชั่วโมง?
เห็นได้ชัดว่ากระทรวงศึกษาธิการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว 10:30 น. หลังการสอบข้อเขียนสิ้นสุดลง กรรมการจะทำการเก็บข้อสอบและตรวจคำตอบทันที
ท้ายที่สุดผู้ที่ผ่านเข้าสู่การแข่งขันทักษะการพูดจะมีจำนวนเพียง 20 คนเท่านั้น
ผู้เข้าแข่งขันจำนวน 180 คนที่ตกรอบ จะได้รับ ‘รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง’ จากการแข่งขันภาษาอังกฤษในครั้งนี้เหมือนกันทุกคน
ส่วนผู้เข้าแข่งขันอีก 20 คนที่เหลือ ทางสถานีโทรทัศน์จะทำการบันทึกภาพ ก่อนจะคัดเลือกคนที่แสดงความสามารถได้อย่างดีเยี่ยมไปออกอากาศทางโทรทัศน์ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าตนเองยังพอมีหวัง เพียงแต่ขั้นตอนการแข่งขันนั้นค่อนข้างโหดร้าย
เธอคิดว่าผู้ตกรอบที่ได้ ‘รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง’ จำนวน 180 คน โอกาสที่จะได้ไปเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนคงเท่ากับศูนย์
ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องผ่านเข้าสู่รอบทักษะการพูดให้ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานยืดนิ้วมือเล็กน้อย การสอบข้อเขียนจะยากแค่ไหนเธอก็ไม่อาจทราบได้ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเธอเคยสอบภาษาอังกฤษแค่ระดับสี่ ตอนหลังก็ได้ทำการเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อใช้ในการทำงานเท่านั้น ไม่เคยคิดเื่การสอบไอเอลหรือโทเฟลเลยสักครั้ง ดังนั้นเธอจึงไม่เคยรู้ระดับภาษาอังกฤษที่แท้จริงของตัวเองมาก่อน
แน่นอนว่าไม่นับคะแนนเต็มวิชาภาษาอังกฤษตอนสอบเกาเข่า เพราะการสอบในครั้งนั้นสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วมันง่ายเกินไปน่ะสิ
เชิงอรรถ
[1] ปัจจุบันนักศึกษาระดับปริญญาตรีของประเทศจีนจะต้องสอบวัดระดับภาษาอังกฤษให้ผ่านระดับที่ 4 หรือ 6 ตามแต่ข้อบังคับของแต่ละคณะ