เมื่อหลิวเต้าเซียงเปิดตะกร้าทีละใบ นอกเหนือจากเป็ดไก่ ก็ยังมีหมูสดครึ่งซีก นี่เป็หมูที่เพิ่งเชือดในบ้านของนางเมื่อเช้านี้ก่อนจะนำมามอบให้ครึ่งซีก หลิวฉีซื่อพอใจกับเนื้อหมูยิ่งนัก
จากนั้นก็เห็น้าตะกร้าใบหนึ่งมีของว่างที่ห่ออย่างพิถีพิถันสวยงาม หลิวฉีซื่อก็ยิ่งพอใจมากขึ้น และคิดว่า่เดือนหนึ่งที่ต้องออกไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรคงไม่ต้องเตรียมของขวัญแล้ว ไม่แน่ว่า บรรดาฮูหยินเซียงเซินเ่าั้อาจจะให้ของขวัญตอบแทนไม่น้อย
พอคิดแบบนี้ หลิวฉีซื่อก็รู้สึกว่าปีนี้น่าจะเป็ปีที่ดี
หลิวเต้าเซียงหยิบห่อผ้าออกมา เมื่อเปิดออกดูก็เป็ผ้าคลุมผ้าไหมหูโจวประดับขนกระต่าย แต่สีนั้นแก่นัก เหมาะสมกับสองสามีภรรยาหลิวต้าฟู่สวมใส่
ชุ่ยหลิวแอบเสียดาย ส่วนสองพี่น้องหลิวเหรินกุ้ยทำเพียงกวาดตามองและเบนสายตาออก
ทันใดนั้นหลิวชิวเซียงก็หยิบของขวัญประจำปีออกมามอบให้หลิววั่งกุ้ย ซึ่งเป็สมบัติสี่ประการ ส่วนหลิวเสี่ยวหลันได้ชุดอ๋าวผ้าไหมหูโจวสีแดงสลับเงินหนึ่งชุด
หลิวเสี่ยวหลันมองครู่เดียวก็ถูกใจนัก ทั้งยังตบรางวัลให้สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงด้วยรอยยิ้ม
หลิวเต้าเซียงเบะปากแล้วแอบด่าในใจ ยัยซื่อบื้อ!
แม้ว่าเสื้อผ้าจะดี แต่เมื่อเข้าคู่กับเครื่องประดับของนางแล้ว ไม่เพียงแต่ดูไม่หรูหราสง่างาม แต่กลับกันคือ... ฮิฮิ!
หลิวเต้าเซียงไม่มีทางบอกว่า ผิวพรรณของหลิวเสี่ยวหลันนั้นไม่เหมาะกับการใส่ชุดสีแดง เื่การสวมเครื่องประดับเงินยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
อย่างที่รู้กัน หากไม่ใช่เครื่องเงินที่เพิ่งทำมาใหม่ โดยทั่วไปประกายแวววาวของมันจะหลุดลอกเมื่อสวมใส่มานานแล้ว ทำให้ยิ่งดูเก่าแก่
หลุมพรางที่ชัดเจนเช่นนี้ แต่ยินดีะโเข้าไปอย่างสุขใจ คงไม่มีใครอีกแล้ว
แต่ก่อนจะติดค้างบุญคุณของครอบครัวนาง นางจะค่อยๆ เอาคืนบัญชีแค้นอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตาม หลิวฉีซื่อพอใจกับของขวัญประจำปีนี้ ส่วนหลิวซุนซื่อที่ได้ยินว่าครอบครัวของหลิวเต้าเซียงมาให้ของขวัญก็ไม่พอใจ
ทันทีที่เข้ามา นางก็ตรงไปยังตะกร้าของขวัญประจำปีแล้วค้นดูตามใจชอบ โดยไม่สนว่าใครจะอยู่ในห้องบ้าง
หลิวเต้าเซียงอยากผลักนางออกไปเหลือเกิน แต่ของขวัญเหล่านี้เป็ของหลิวต้าฟู่และภรรยาแล้ว การจะปล่อยให้ใครดูหรือไม่ ก็อยู่ที่ทั้งสองคน
“เหตุใดถึงมีแค่นี้?” หลิวซุนซื่อเบะปากอย่างดูิ่
หลิวฉีซื่อมองไปที่สาวรับใช้ ขณะที่ชุ่ยหลิวไม่เต็มใจจะหาเื่ใส่ตัวจึงอยากแกล้งทำเป็ไม่เห็น แต่พอคิดกลับกัน หลิวฉีซื่อคือแม่สามี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็ที่พึ่งของนาง ฉะนั้นห้ามทำให้เคืองโกรธ เมื่อฉุกคิดได้จึงหมั่นระลึกไว้
“นายหญิง นี่คือสิ่งที่บ้านนายท่านสามเลี้ยงไว้ อีกอย่าง ของที่มอบให้อาจจะเบาบางแต่น้ำใจนั้นหนักหนา ของที่มอบให้คุณชายสี่กับคุณหนูเล็กล้วนไม่เลวทีเดียว”
หลิวซุนซื่อและชุ่ยหลิวเป็คู่ปรับกัน ชุ่ยหลิวชมเชยของขวัญของหลิวซานกุ้ยว่าไม่เลว เท่ากับว่าอนุคนนี้กำลังตบหน้าภรรยาเอกอย่างนาง สีหน้าจึงแย่ลงทันใด “ข้าได้บอกว่าของขวัญของอาเล็กไม่ดีหรือ? กลับกันคือเ้าต่างหาก กินอยู่ในชามยังคิดจะมองหาในหม้ออีก”
นางกำลังเยาะเย้ยชุ่ยหลิวที่กลายเป็อนุของหลิวเหรินกุ้ย แต่ก็ยังเพ้อถึงหลิววั่งกุ้ย
ชุ่ยหลิวโกรธมากจนหน้าแดง นางได้แต่แอบหัวเราะในใจ ในเมื่อเป็เช่นนี้นางก็ไม่จำเป็ต้องทำให้ครอบครัวหลิวซานกุ้ยเคืองโกรธต่อหน้าหลิวฉีซื่ออีกแล้ว
“ท่านพี่!”
เสียงเรียกอ่อนหวานของนางราวกับเสียงเพลงบรรเลง ทำเอาหัวใจของหลิวเหรินกุ้ยลำเอียง
เขาโบกมืออย่างใจร้อนใส่หลิวซุนซื่อและกล่าวว่า “เอาเถิดๆ วันนี้เป็วันปีใหม่ย่อย น้องสามมาเพื่อมอบของขวัญให้แก่ท่านพ่อท่านแม่”
เมื่อหลิวซุนซื่อเห็นว่าเขาลำเอียงให้ชุ่ยหลิว ก็ยิ่งโมโหเดือดดาล แล้วก่นด่าหลิวเหรินกุ้ยว่าเป็ขยะ
ทันใดนั้นหลิวฉีซื่อก็ะเิอารมณ์แล้วด่า “เ้าด่าใครว่าเป็ขยะ? อย่าคิดว่าบ้านตระกูลซุนของเ้าเป็ร้านขายเนื้อหมูก็สามารถไล่กัดคนไปทั่ว ฮึ หญิงสาวที่แต่งออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เ้าอยู่ก็เป็คนตระกูลหลิว ตายไปก็เป็ิญญาตระกูลหลิว เ้าคนกินบนเรือนขี้บนหลังคา กล้าด่าลูกข้าว่าเป็ขยะ ฮึ สมองของบ้านฝั่งแม่เ้าคงมีแต่ขี้เลื่อยสินะ ถึงได้สั่งสอนคนอย่างเ้าออกมาได้เช่นนี้ เป็ถึงสะใภ้คน ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่สามี ไม่เห็นแก่สามี เ้าทำตระกูลหลิวของข้าขายหน้ายิ่งนัก ขืนพูดออกไป เ้าไม่กลัวคนรอบข้างจะหัวเราะเยาะลูกๆ เ้าหรือ สามีเ้าเป็ขยะ แล้วที่เ้าคลอดออกมาคืออะไร?”
หลังจากการดุด่าอย่างโกรธแค้นนี้ หลิวฉีซื่อก็หายใจหอบ นานมากแล้วที่ไม่ได้งัดฝีมือของตนเองออกมา
แม้ว่าหลิวฉีซื่อจะเกิดในจวนตระกูลหวง แต่ก็แต่งงานมาอยู่ในชนบทนานหลายทศวรรษ ด้วยสภาพแวดล้อมในชนบททำให้นางถูกหล่อหลอมมาด้วยคำพูดหยาบคายของผู้หญิงละแวกนั้น เวลาที่ด่าก็ด่าถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตร
หลิวซุนซื่อถลึงตามองหลิวฉีซื่อที่ใช้เสียงแหลมขัดจังหวะคำพูดของนาง แม่สามีนั้นนับวันก็ยิ่งด่าได้ร้ายกาจ จึงเอ่ย “ฮึ ห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะคนหนึ่งร้อยก้าว เ้าคิดว่าตัวเองมีดีอะไร นางเฒ่าไม่ตายดีกล้ามาด่าบ้านแม่ข้าว่าสมองขี้เลื่อย เ้าไม่กลัวเลยหรือว่าจะไม่มีคนส่งตอนเข้าโลง บ้านแม่ข้าอุ้มชูลูกสาวไว้ในดวงใจ ดุจดั่งของล้ำค่า”
ผมของหลิวซุนซื่อปรกลงมาหนึ่งจุก จากนั้นหันไปเอ่ยกับหลิวซานกุ้ย “เชอะ บ้านเ้าคงยังไม่รู้สินะ ว่าเ้าตัวดีคนนี้จดจ้องสมบัติของครอบครัวเ้ามานานแล้ว”
หลิวฉีซื่อโมโหจนแทบคลั่ง ตอนนั้นนางตาบอดไปจริงๆ เหตุใดถึงได้คิดว่าซุนเถาฮัวดีนักนะ
นางจึงแหกปากด่าโดยไม่แม้แต่จะคิด “ผายลมไปเถิด คงดื่มฉี่แมวไปเยอะสินะ นางตัวดีหน้าไม่อาย บ้านแม่เ้ามีแต่พวกสมองขี้เลื่อย ถึงได้สอนขยะที่ไม่รู้จักชั่วดีอย่างเ้าออกมา”
หลิวซุนซื่อกัดฟันและจ้องมองไปที่หลิวฉีซื่อ “ถุย เ้าคิดว่าบ้านแม่ข้าจะเหมือนเ้าหรือ กล้าลงมือกับลูกชายลูกสะใภ้ตนเอง ไม่กลัวฟ้าผ่าสินะ ต้องมีสักวันที่ ์จะลงโทษเ้า”
ฮึ พวกเ้าอยู่อย่างสุขสบาย มีเพียงนางที่ต้องทนทุกข์ ไหผุพังก็ต้องกระแทกให้แตก นางจึงงัดเื่ฉาวโฉ่สุดท้ายออกมา
“เ้า...” หลิวฉีซื่อโกรธมากจึงชี้หน้านางอยู่สักครู่ แล้วก็พูดแต่คำว่า เ้าๆๆ...
นานครึ่งค่อนวันก็ไม่อาจตอกกลับไปได้แม้แต่คำเดียว
ตอนนั้นแผนการของหลิวฉีซื่อนับว่าชาญฉลาดยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะหมอหลวงที่ซูจื่อเยี่ยพามาด้วยมีธุระที่ตำบลเหลียนซานพอดี หลิวเต้าเซียงก็คงได้จากลากับบิดามารดาไปกันคนละภพแล้ว
หลิวซุนซื่อเห็นว่าตนเองได้เหยียบย่ำนางมารร้ายหลิวฉีซื่อไว้ใต้บาทา ก็ยิ่งรู้สึกมีชัย หากนางไม่มีความสุข คนอื่นๆ ก็อย่าได้คิดจะมีความสุข
“ฮึ น้องสาม เ้าเองคงยังไม่รู้สินะ วันนี้ท่านแม่เฝ้ารอให้เ้ามาเชียวนะ!”
หลิวซานกุ้ยชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดไว้อยู่แล้วว่ามารดาจะเฝ้ารอการมามอบของขวัญประจำปีจากเขาเพียงอย่างเดียว
“หลิวซุนซื่อ นางปากเหม็นคิดจะพ่นมูลอะไรอีก?” หลิวฉีซื่อเริ่มขลาดเขลา น้ำเสียงที่ด่านั้นก็แหลมปรี๊ดขึ้น
ด้วยเสียงที่แหลมสูงของนางแทบจะทำให้แก้วหูของคนทั้งห้องฉีกขาด เวลาผ่านไปชั่วครู่ ในสมองของทุกคนมีเพียงคำว่าพ่น...อะไร..มูล...สะท้อนอยู่อย่างนั้น
เมื่อหลิวเต้าเซียงได้สติจึงรีบถามย้ำ “ท่านป้ารอง อาหารกินไปเรื่อยได้ แต่คำพูดห้ามพูดไปเรื่อยนะ แม้ว่าท่านย่าข้า...เฮ้อ แต่ว่าอย่างน้อยนางก็คือท่านย่าแท้ๆ ของเรา”
แม้ว่าท่านย่าจะเหี้ยมโหดอำมหิต แต่พวกนางก็ต้องจำใจยอมรับ
“เ้าเป็คนฉลาด คงเห็นสินะ ข้าก็แค่บอกว่านางเฝ้ารอการมาของพวกเ้า นางก็เริ่มกัดคนไปทั่วเอง”
หากจะบอกว่าตอนนี้หลิวซุนซื่อเกลียดชังใครที่สุด คงไม่ใช่ชุ่ยหลิว หากแต่เป็หลิวฉีซื่อ
หากนางไม่พาชุ่ยหลิวกลับมา หลิวเหรินกุ้ยและหลิววั่งกุ้ยก็ไม่มีทางแปรเปลี่ยนมาเป็ศัตรูกัน
หากหลิวฉีซื่อไม่พูดว่าจะยกชุ่ยหลิวให้กับครอบครัวรอง นางกับหลิวเหรินกุ้ยจะห่างเหินกันได้อย่างไร?
หากจะบอกว่าหลิวเหรินกุ้ยนั้นต่ำช้า นั่นก็เป็เพราะหลิวฉีซื่อทำให้เป็เช่นนั้น
หากนางสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ นางจะไม่แต่งงานเข้ามาในตระกูลหลิวอย่างแน่นอน
แม้ว่าครอบครัวฝั่งมารดาของนางจะเป็ร้านเชือดหมู แต่ปีหนึ่งก็สามารถหาเงินได้หลายสิบตำลึง อีกทั้งพี่ชายของนางต่อมาก็สามารถยืนด้วยลำแข้งตนเองได้ ก่อนที่หลิวซุนซื่อจะออกเรือนไป ในภาพจำของนางนั้นมารดาก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีที่นาดีหลายสิบไร่อีกด้วย
ตอนที่หลิวฉีซื่อยัดเยียดชุ่ยหลิวให้กับครอบครัวรอง เื่นี้ได้มาถึงขีดจำกัดของหลิวซุนซื่อแล้ว
“ป้ารอง ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร พูดให้ชัดเจนกว่านี้ได้หรือไม่?”
ไม่น่าแปลกที่หลิวเต้าเซียงไม่เชื่อ ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้ป้ารองมีประวัติ พูดสิบคำ เก้าคำคือเื่โกหก เหลือเพียงหนึ่งคำคือคำพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จ
หลิวซุนซื่อเองก็รู้ว่าตนเองมีนิสัยอย่างไร จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เ้าไม่อยากเชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ แต่ข้าจะบอกเ้าให้ว่า ท่านย่าเ้านั้นอยากให้ยกสิทธิ์ยกเว้นภาษีที่นาดีสามสิบไร่ของชื่อพ่อเ้าให้นาง”
อะไรนะ?
ราวกับวันฟ้าแจ้ง แต่กลับถูกสายฟ้าฟาด!
หลิวเต้าเซียงพูดไม่ออก ความละโมบของท่านย่ายังมากกว่านี้อีกหรือไม่!!
หลิวซานกุ้ยมองไปที่หลิวฉีซื่ออย่างเ็า ก่อนจะหันไปหาหลิวต้าฟู่แล้วถามว่า “ท่านพ่อ ท่านเองก็คิดเช่นนี้หรือ?”
เดิมทีหลิวต้าฟู่เพิ่งนั่งสูบยาสูบอยู่ข้างๆ มาตลอด จวบจนหลิวซานกุ้ยถามขึ้น เขาจึงเอ่ยปาก “นั่นคือความคิดของแม่เ้า”
หมายความว่าเขาไม่ได้อยากทำเช่นนั้นหรือ?
ในบ้านนี้หลิวต้าฟู่ไม่ได้มีสถานะอะไร หลิวฉีซื่อนำสินเ้าสาวเข้าสู่ตระกูลหลิว พร้อมกับกำหนดแล้วว่าชาตินี้เขาจะไม่มีสิทธิ์มีเสียง
“ครอบครัวเรา มีน้องสี่เ้าที่ได้ยกเว้นภาษีที่นาสามสิบไร่ จื้อเอ๋อร์ก็เช่นกัน แต่ส่วนของจื้อเอ๋อร์ก็ต้องตกเป็ของฝั่งครอบครัวรอง ตอนนี้ครอบครัวพี่รองเ้ายากลำบาก ข้าย่อมไม่อาจแตะต้องครอบครัวเขา ครอบครัวเขารวมคนแก่ เด็ก และคนรับใช้ก็มีสิบคน ลำพังที่นาไม่กี่ไร่นั้นไม่เพียงพอ อีกอย่างชุ่ยหลิวกับซุนซื่อก็อยู่ในนั้นด้วย รวมกันไปมาก็ประมาณนี้แล”
ดังนั้น จึงสมควรให้ครอบครัวหลิวซานกุ้ยยกสิทธิ์นั้นให้
ตรรกะอะไรกัน!
หลิวเต้าเซียงกำลังคิดจะโต้ตอบ แต่หลิวฉีซื่อนั้นเล็งมาที่นางอยู่แล้วเพราะรู้ว่านางเป็เด็กที่มีฝีปากคมคาย เมื่อเห็นว่านางกำลังจะอ้าปากพูด จึงรีบเอ่ยก่อน “ถึงอย่างไรบ้านเ้าก็มีแค่ที่นาดีสองไร่ ภาษีที่ดินแห้งก็แค่เล็กน้อย เ้าถือสิทธิ์ไว้ในมือก็เปล่าประโยชน์ สู้เอามาให้ข้าใช้ดีกว่า ถึงอย่างไรก็ใช้ในบ้าน ไม่ได้สิ้นเปลืองไปข้างนอก”
เนื่องจากสองปีนี้ภาษีก็เพิ่มขึ้นอย่างหนัก
สิทธิ์ในการยกเว้นภาษีสามสิบไร่ แม้ว่าคนอื่นจะขอมาลงทะเบียนภายใต้ชื่อของหลิวซานกุ้ย หนึ่งปีก็เก็บได้ราวห้าถึงหกตำลึง
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน
“ท่านย่าผิดไปแล้ว สิทธิ์ของครอบครัวเรายกให้ไม่ได้หรอก” หลิวเต้าเซียงโมโหถึงขีดสุด แต่ก็ปฏิเสธอย่างมีสติ
หลิวซานกุ้ยเห็นว่าหลิวฉีซื่อกำลังจะเอ่ยปากด่าบุตรสาวของตนว่าเด็กล้างผลาญอะไรเทือกนั้นอีก บุตรสาวทุกคนของเขาล้วนล้ำค่า เป็นักหาเงินมือฉมัง
“ท่านแม่!”
เขาะโอย่างหนักแล้วกล่าวว่า “ครอบครัวข้าเองก็ยังมีลูกชายสองคนกับลูกสาวสามคนต้องเลี้ยงดู”
หลิวฉีซื่อยกเปลือกตาขึ้น พร้อมกับคว้าจอกน้ำชาขว้างไปทางหลิวซานกุ้ย
น้ำชาสีน้ำตาลสาดใส่ชุดผ้าไหมหูโจวสีฟ้าครามและไหลลงมาั้แ่่เอว
จอกน้ำชาหล่นแตกกระจายบนพื้น เหมือนกับหัวใจของหลิวซานกุ้ยในขณะนี้
หลิวฉีซื่อมีไฟสุมอกอยู่ จึงทนฟังข้ออ้างของเขาไม่ได้
จากนั้นนางก็ด่ากราด “ฮึ ไปกันใหญ่แล้ว คำพูดของแม่ก็ไม่ฟัง แต่ละคนฟังแต่คำพูดคนข้างหมอน ข้าลำบากเลี้ยงดูพวกเ้ามา ข้าขอสิทธิ์แค่นั้นของเ้าแล้วอย่างไร? หือ เ้ามีเงินมากมาย ยังคิดจะหวงของแค่นี้อีกหรือ?”
-----