เพียงแต่ว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นไม่เข้าใจเลยจริงๆ...พระองค์ทรงนึกไม่ออกเลยว่าหลงเซี่ยวอวี่จะมาสร้างความวุ่นวายที่หน้าประตูวังหลวงด้วยเหตุใด?
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ฮ่องเต้เหวินอิ้นรู้ดีว่าหลงเซี่ยวอวี่ทำสิ่งต่างๆ ได้ดีและมีเหตุผลอยู่เสมอ ทั้งยังวางตัวอย่างเป็กลางและสงบ มีเพียงบางครั้งที่ไม่อาจคาดเดาได้เท่านั้น
แต่ไม่ว่าในกรณีใด เขาจะไม่ถามหลงเซี่ยวอวี่เพียงเพราะเื่เล็กน้อยเช่นนี้ แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะทำมันโดยตั้งใจก็ตาม เขาก็จะไม่ตั้งคำถามกับมัน
เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าฮ่องเต้เหวินอิ้น้าให้หลงเซี่ยวอวี่สามารถสร้างปัญหาในวังหลวง แม้ว่าบางสถานการณ์จะทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคืองก็ตาม
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่เื่ดี แต่อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าในใจของหลงเซี่ยวอวี่ เขายังคงมีฐานะบิดาอยู่เช่นเดิม
น่าเสียดาย...แม้แต่ความหวังอันน้อยนิดนี้ มันยังกลายเป็ความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดในใจของฮ่องเต้เหวินอิ้น
ดังนั้น ไม่ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะร้องขอสิ่งใดต่อฮ่องเต้เหวินอิ้น พระองค์ก็จะทรงเห็นชอบด้วยโดยไม่มีเหตุผลและไม่คำนึงถึงว่ามันเป็เพราะเหตุใด
ใน่หลายปีที่ผ่านมา หลงเซี่ยวอวี่มีคำร้องขอกับบิดาของตนเพียงคำเดียวเท่านั้น และนั่นเป็สิ่งเดียว คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมู่จื่อหลิงเมื่อไม่นานมานี้
ฮ่องเต้เหวินอิ้นไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่งบุตรชายที่แสนจะเ็าของพระองค์จะเป็ฝ่ายริเริ่มเข้าหาเขาเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมันน่ากลัวมากจริงๆ
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า มู่จื่อหลิงอยู่ในตำแหน่งใดภายในหัวใจของหลงเซี่ยวอวี่ เป็ตำแหน่งที่สำคัญมากเพียงใด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถจินตนาการได้
อาจจะเป็อย่างที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดไว้ก่อนหน้านี้…รักเรือนนี้ต้องรักยันอีกา [1]
ดังนั้น ในเวลาต่อมา ฮ่องเต้เหวินอิ้นจึงเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาของไทเฮา ทำตามความปรารถนาของหลงเซี่ยวอวี่อย่างเฉียบขาด ให้มู่จื่อหลิงสอบสวนคดีนี้และช่วยชีวิตหลงเซี่ยวหนาน
ระหว่างฮ่องเต้เหวินอิ้นและหลงเซี่ยวอวี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็บิดาและบุตรที่สนิทสนมกันมากพอที่จะพูดคุยกันได้ทุกเื่ แต่กลับดูเหมือนยังมีช่องว่างระหว่างกัน
หลังจากทยอยถอยร่นออกจากราชสำนักไป เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ก็ละทิ้งตัวตนที่ใช้แต่เดิมในยามอยู่หน้าพระพักตร์ของเ้าแห่งแผ่นดินไปจนหมด ต่างพากันแสดงสีหน้าขำขันออกมา
ภายในตำหนักจินหลวนที่ว่างเปล่า ฮ่องเต้เหวินอิ้นยังคงประทับอยู่บนบัลลังก์ัสูงส่ง พระเนตรมองไปยังท้องฟ้าสีครามไร้ขอบเขตนอกห้องโถง จิตใจของพระองค์ราวกับล่องลอยออกไปไกล...
ในความคิดของพระองค์ คำพูดที่ฝังลึกในใจปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เรือนร่างที่บอบบางและอ่อนนุ่มนั้นเฝ้าหลอกหลอนตนในความฝัน
คนผู้นั้นก็คืออวิ๋นจิ่นหญิงผู้เป็ที่รักที่สุดในชีวิตของเขา
หลังจากการประสบอุบัติเหตุของจิ่นเฟยในปีนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลงเซี่ยวอวี่ก็อยู่ในสถานะที่อึดอัดมาโดยตลอด
กล่าวให้แม่นยำยิ่งขึ้นนั่นคือ ท่าทีที่หลงเซี่ยวอวี่มีต่อเขาไม่เ็าแต่ก็ไม่อบอุ่น [2]
ราชวงศ์เป็ตระกูลที่โเี้ที่สุด
มีบางอย่างที่แม้แต่ฮ่องเต้ผู้ได้รับเกียรติให้นั่งบนบัลลังก์อันสูงศักดิ์ก็ยังไม่อาจทำอะไรกับมันได้
อุบัติเหตุของจิ่นเฟย ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ย่อมมีเหตุมาจากการชิงดีชิงเด่นและต่อสู้ภายในวังหลัง
หากไม่ใช่เพราะเื่นั้น ความสัมพันธ์ของเขากับหลงเซี่ยวอวี่จะไม่เป็เช่นนี้
แค่มีบางอย่างเกิดขึ้น และยามนี้ทุกอย่างไม่สามารถแก้ไขได้...การแสดงออกของฮ่องเต้เหวินอิ้นจึงค่อนข้างคลุมเครือ แววตาอันลุ่มลึกเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลึกล้ำ ทั้งยังมีความอ้างว้างสุดจะพรรณนา
อย่างที่ทุกคนทราบ แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะมีทัศนคติที่ค่อนข้างเฉยชาต่อฮ่องเต้เหวินอิ้น แต่ตราบใดที่มีปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ หลงเซี่ยวอวี่ก็ยังคงเข้ามาช่วยเขาแก้ปัญหาอย่างลับๆ
เพียงแต่ว่าแม้กระทั่งฮ่องเต้เหวินอิ้นก็ยังไม่รู้เื่นี้ด้วยซ้ำ!
ฮ่องเต้เหวินอิ้นรู้เพียงแต่ว่าหลี่ซินหย่วนผู้พิทักษ์แผ่นดิน จะเข้ามาช่วยพระองค์แก้ปัญหาบ้านเมืองที่ไม่สามารถแก้ไขได้เป็ครั้งคราว แต่เขาไม่รู้ว่ามีหลงเซี่ยวอวี่อยู่เื้ัด้วย
-
ยามไทเฮาทรงทราบว่ามู่จื่อหลิงได้ ‘หลบหนี’ ออกไปด้วยรถม้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไทเฮาก็โยนถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีฟ้าขาวในมือของตนด้วยความโกรธ
เกิดเสียงดังเพล้ง ตามด้วยถ้วยชาแตกละเอียด น้ำชาสาดกระเซ็น
องครักษ์ที่เข้ามารายงานคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าพูดสิ่งใดแม้ว่าชาร้อนจะสาดกระเซ็นมาโดนก็ตาม
เห็นได้ว่าพระเนตรของไทเฮาเบิกกว้าง นางตำหนิอย่างโกรธจัด “อะไรหนีไปแล้ว? หนีไปแล้วเหตุใดพวกเ้าถึงไม่ไปลากตัวกลับมา?”
“ขอไทเฮาโปรดเย็นพระทัยลงก่อน...ในยามที่พวกข้าน้อยไปถึง ฉีหวางเฟยก็เสด็จหนีไปไม่เห็นเงาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์กัดฟันรายงานออกมาด้วยท่าทางหวาดกลัว
สิ่งที่องครักษ์กล่าวมานั้นมีทั้งเื่จริงและเท็จ แต่ในยามที่พวกเขาไปถึง พวกของมู่จื่อหลิงก็ ‘หายตัวไป’ พร้อมกับรถม้าจริงๆ
“ใจเย็น? เ้าจะให้อายเจียระงับโทสะได้อย่างไร แม้กระทั่งคนพวกเ้าก็ไม่อาจพากลับมาได้ อายเจียเลี้ยงดูพวกเ้ามาเปล่าประโยชน์แล้วจริงๆ” ไทเฮาโกรธจัดจนเส้นโลหิตบนหน้าผากกระตุกอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่าอยู่ห่างจากประตูวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เ้าคนไร้ประโยชน์เหล่านี้กลับปล่อยให้เป็ดที่กำลังจะบินหนีสามารถบินหนีออกไปได้ มันน่าโมโหจริงๆ!
หากครั้งนี้มู่จื่อหลิงกลับไปได้อย่างปลอดภัย...
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ไทเฮาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจเล็กน้อย ด้วยวิธีการอันลื่นไหลของมู่จื่อหลิงก่อนหน้านี้ หากนาง้านำตัวมู่จื่อหลิงเข้าวังเพื่อลงโทษอีก มันอาจจะไม่ง่ายถึงเพียงนั้น
เมื่อต้องเผชิญกับการตำหนิอย่างเกรี้ยวกราดของไทเฮา องครักษ์จึงเกิดอาการตัวสั่น เขาคุกเข่าอยู่ในตำแหน่งเดิม ด้วยความทุกข์ที่ไม่อาจพูดออกมาได้!
แม้ว่าพวกเขาจะเห็นเพียงภาพติดตาของรถม้าที่แล่นผ่านไปในชั่วพริบตา แม้จะเป็เพียงแวบเดียว การเหลือบมองจากสายตาที่น่าหวาดกลัวนั้นก็ยังสามารถทำให้พวกเขาหวาดหวั่นได้
เป็เพราะนั่นคือรถม้าของฉีอ๋อง ไม่ต้องกล่าวถึงว่ารถม้าที่ลากโดยม้าสองตัวนั้น ทั้งยังเป็รถม้าสี่ล้อคันใหญ่ ปกติแล้วมันจะไม่สามารถวิ่งได้ ไม่ต้องพูดถึงความเร็วของม้าเปินเหลยและม้าเมฆาที่ลากรถนั้น มันเป็ม้าที่ไม่มีม้าตัวใดสามารถเทียบเคียงได้
เพียงแค่บอกว่ารถม้าเป็รถม้าของฉีอ๋อง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปยั่วยุฉีอ๋องที่อยู่ด้านในได้ หากไม่มีรับสั่งเพิ่มเติมจากไทเฮา พวกเขาจะหาญกล้าไล่ตามไปได้อย่างไร? จะกล้าได้อย่างไรกัน?
ทันทีที่พวกเขาเห็นรถม้า ทุกคนเข้าใจโดยปริยายแล้ว พวกเขายอมทำให้ไทเฮาผู้อยู่ตรงนี้ขุ่นเคือง ยังดีกว่ารุกรานฉีอ๋องผู้กระหายเืที่แสนจะเ็า!
และจนถึงตอนนี้ ต่อหน้าไทเฮา การปรากฏตัวของหลงเซี่ยวอวี่ ก็ยังคงถูกเก็บไว้ในความมืด
ดังนั้นในเวลานี้ ไทเฮาผู้โกรธเคืองจึงออกคำสั่งให้รีบตามไปหยุดมู่จื่อหลิงที่ ‘หลบหนี’ ไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่นางไม่รู้ ว่าผู้ที่ออกไปทำตามรับสั่งของตนจะไม่มีวันกลับมาอีกเมื่อพวกเขาจากไป
หลังจากที่องค์หญิงอันหย่าถูกหามกลับเข้ามาในวัง นางซึ่งหมดสติไปนาน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย
ยามไทเฮาเห็นองค์หญิงอันหย่าผู้บริสุทธิ์และน่ารักนอนอยู่บนเตียงที่มีเศษไม้สกปรกอย่างไร้ชีวิตชีวาราวกับคนตาย ไทเฮาก็ใจนแทบเป็ลม
นางเดินไปที่เตียงอย่างสั่นสะท้าน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้า “หย่าเอ๋อร์ เสด็จย่าอยู่นี่แล้ว! หย่าเอ๋อร์…”
ไม่ว่าไทเฮาจะเรียกองค์หญิงอันหย่าที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไร นางก็ยังคงนิ่งเฉย ใบหน้าของนางซีดเซียวราวกับคนตาย
ไทเฮาได้รับการประคับประคองจากนางกำนัลในวังสองคน นางประคองร่างของตนไว้ไม่อยู่ รีบออกคำสั่งอย่างกระวนกระวายและโกรธเคือง “ไป...ไปเรียกหมอหลวงที่อยู่ในวังมาให้หมด”
เดิมทีไทเฮาคิดว่าไม่ว่ามู่จื่อหลิงจะกล้าหาญเพียงใด นางก็ควรรู้ว่าควรหยุดที่ตรงไหน แต่นางคาดไม่ถึงว่ามู่จื่อหลิงจะทรมานหลานสาวผู้แสนล้ำค่าของนางได้ถึงขนาดนี้
เมื่อเห็นหลานสาวผู้น่ารักไม่อาจออกปากพูดสิ่งใดกับนางได้สักคำอย่างที่เป็อยู่ในยามนี้ ความโกรธในใจของไทเฮาก็เกินคำบรรยาย เกรงว่านางในยามนี้กำลังอยากจะฉีกอกของมู่จื่อหลิงออกเป็ชิ้นๆ ด้วยมือของนางเอง
จนอดทนไว้ก็ไม่อาจทำได้แล้ว!
มู่จื่อหลิงกล้าดีอย่างไรถึงมาถอนขนบนหัวเสือ [3] หากมีอะไรเกิดขึ้นกับหย่าเอ๋อร์ของนางจริงๆ นางจะให้มู่จื่อหลิงชดใช้สำหรับเื่นี้อย่างแน่นอน
ไทเฮามีสีหน้าบูดบึ้ง หมัดใต้แขนเสื้อของนางกำแน่น เล็บเรียวยาวฝังลึกอยู่ในฝ่ามือ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใน่เวลานี้ ความเร็วของม้าเร็วมาก เกรงว่าต่อให้ต้องวิ่งไปกลับจวนฉีอ๋องอีกสักรอบก็ยังมีเวลามากพอ
ในขณะที่ไทเฮาซึ่งออกรับสั่งไปนั้นกำลังรอแล้วรอเล่า แต่พระนางก็ยังต้องรอข่าวคราวของผู้ที่ออกไปทำตามรับสั่งของตนต่อไป ไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถนำตัวของมู่จื่อหลิงกลับมายังวังหลวงได้หรือไม่
ขณะเฝ้ามององค์หญิงอันหย่าที่ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มหมอหลวง ความโกรธแค้นในพระทัยของไทเฮาที่กำลังรอให้มู่จื่อหลิงถูกพาตัวเข้ามาก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมองดูกลุ่มหมอหลวงมีใบหน้าเศร้าสร้อยทั้งยังส่ายศีรษะ ไทเฮาก็ยิ่งกังวลเป็อย่างมาก ใบหน้าของนางยิ่งน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเพียงใบหน้าของนางที่ดูเป็กังวลอย่างมาก ทั้งยังหันมาพูดขึ้นเสียงใส่นางกำนัลและขันทีที่อยู่ข้างกายว่า “มันนานมากแล้ว เหตุใดถึงยังไม่สามารถพาฉีหวางเฟยมาที่นี่ได้อีก”
แต่ก่อนที่การตำหนิของไทเฮาจะจบลง ได้มีใครบางคนรีบวิ่งออกมาจากห้องโถงเพื่อบอกข่าวร้ายบางอย่างกับพระนาง...
คนผู้นั้นคือหนึ่งในผู้ที่ออกไปทำตามรับสั่งของนาง เข้ามารายงานว่า ระหว่างทาง จู่ๆ ม้าก็สะดุดกลางทาง จนคนตกลงจากหลังม้าตายไปแล้ว!
เมื่อไทเฮาได้ยินคำนั้น พระทัยของนางก็ยิ่งหงุดหงิด เดือดดาลยิ่งขึ้น
ม้าที่ดีสะดุด ทั้งยังตกม้าตาย? จะเป็ไปได้อย่างไร ถึงเวลาต้องเลือกแล้ว และไทเฮาก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อ
ไทเฮาที่ทรงกลัดกลุ้มได้ออกรับสั่งใหม่ในทันที นางส่งคนไปเพิ่มอีกสองสามคน แม้ว่านางจะต้องไล่ตามไปถึงจวนฉีอ๋อง นางก็จะต้องปราบปรามมู่จื่อหลิงให้จงได้
เพียงแต่...ครั้งนี้จะผ่านไปด้วยดีไหม?
-
มู่อี๋เสวี่ยถูกส่งกลับไปที่จวนจงอี้โหว
ยามนี้จวนจงอี้โหวขนาดใหญ่ตกต่ำอย่างสมบูรณ์ นอกจากคนรับใช้สองสามคนแล้ว ก็เหลือเพียงมู่อี๋เสวี่ยกับไป๋ซู่ซู่เท่านั้น
ในสวนเสวี่ย
ไม่นานหลังจากที่มู่อี๋เสวี่ยกลับมา นางถูกปลุกขึ้นมาจากความเ็ปจากาแบนร่างกายอีกครั้ง
นางย่นใบหน้าจนบูดบึ้ง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นางเห็นไป๋ซู่ซู่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยท่าทางสงบและกำลังใส่ยาให้แก่นาง น้ำตาในดวงตาของมู่อี๋เสวี่ยไหลไม่หยุด
แม้ว่าในใจของมู่อี๋เสวี่ยจะมีความเ็ปและเกลียดชังไม่รู้จบ แต่เพราะาแที่ริมฝีปากของนาง นางจึงทำได้เพียงคร่ำครวญ ไม่กล้าเปิดปากร้องเสียงดัง
แต่สิ่งที่ทำให้มู่อี๋เสวี่ยเ็ปยิ่งกว่าเดิมคือไป๋ซู่ซู่ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอาการาเ็และความเ็ปของนางเลย
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ในยามนี้ไป๋ซู่ซู่ไม่ได้ดูเศร้าเลยแม้แต่น้อย
ถึงกระนั้น มู่อี๋เสวี่ยก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด นางขยับปากที่มีแผลจนดูไม่เหมือนริมฝีปากเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ข้าไม่อยากเสียโฉม ข้าไม่อยาก...”
แต่ก่อนที่มู่อี๋เสวี่ยจะคร่ำครวญเสร็จ...
ยามเผชิญหน้ากับมู่อี๋เสวี่ยผู้น่าสงสาร ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ยังคงสงบนิ่ง และนางใส่ยากับมู่อี๋เสวี่ยอย่างใจเย็น
เห็นเพียงนางที่ชำเลืองมองมู่อี๋เสวี่ยอย่างเ็า ทั้งยังพูดอย่างตรงไปตรงมาเพียงประโยคเดียวว่า “แม่บอกเ้าแล้ว จงอย่าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งด้วย อย่าคิดถึงคนที่ไม่ควรจะคิดถึง ยามนี้เป็เช่นนี้ไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็ความผิดของเ้าเอง”
กลายเป็ว่ามารดาของนางรู้เื่นี้แล้ว นางรู้ว่าผู้ใดเป็คนทำให้นางเป็เช่นนี้?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อี๋เสวี่ยก็ตกตะลึง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “เหตุใด?”
เหตุใดในท้ายที่สุด...เหตุใดมารดาของนางถึงยังปกป้องมู่จื่อหลิงนางหญิงเลว บุตรสาวของนางคือผู้ใดกันแน่?
หากไม่ใช่เพราะมู่จื่อหลิงนางหญิงเลว นางจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
มู่อี๋เสวี่ยยังคงร้องะโในใจ ความคับข้องใจและความไม่พอใจที่ควบคุมไม่ได้แทบจะะเิออก
เพียงไม่กี่คำ แต่ไป๋ซู่ซู่ก็ยังรู้ดีว่ามู่อี๋เสวี่ย้าจะถามถึงสิ่งใด มีเพียงความหนาวเย็นประเดี๋ยวเดียวที่เผยออกมาในการแสดงออก นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
“จำไว้ว่าต้องดูแลตนเองให้ปลอดภัยและประพฤติตัวให้ดี เื่อื่น...เ้าจะเข้าใจในภายหลัง” หลังจากที่ไป๋ซู่ซู่ใส่ยาให้กับมู่อี๋เสวี่ยเสร็จแล้ว นางก็เอ่ยประโยคนี้แล้วจากไป
เมื่อเห็นร่างของไป๋ซู่ซู่กำลังห่างออกไปไกล มู่อี๋เสวี่ยรู้สึกว่าหัวใจเป็เหมือนเถ้าถ่าน [4] ใจของนางเต็มไปด้วยความเกลียด...
-
เป็เวลาหลายวันติดต่อกันที่มู่จื่อหลิงอยู่ในจวนฉีอ๋อง ‘อย่างเชื่อฟัง’ เพื่อเฝ้ารอให้ไทเฮามาเรียกตัวนางไปสอบสวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้ว่านางจะครุ่นคิดเื่นี้อยู่นาน แต่นางก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับไทเฮาอย่างไร นางเพียงต้องแสดงเล่ห์เหลี่ยมเมื่อถึงเวลานั้น
หากแต่...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] รักเรือนนี้ต้องรักยันอีกา (爱屋及乌) เป็สำนวน มีความหมายว่า เมื่อคิดจะรักเรือนหลังนี้ก็ต้องรักแม้กระทั่งนกอีกาที่เกาะอยู่บนหลังคาเรือน หรือเมื่อรักเขาก็ต้องรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Love me love my dog ที่มักจะนำมาใช้ในปัจจุบัน
[2] ไม่เ็าแต่ก็ไม่อบอุ่น (不冷不热) เป็สำนวน มีความหมายว่า มีทัศนคติทั่วไปต่อคนผู้นั้น หรือไม่ได้รู้สึกอะไรต่อคนผู้นั้น
[3] ถอนขนบนหัวเสือ (老虎头上拔毛) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า กล้าหาญมาก หรือกล้าทำโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
[4] หัวใจเป็เหมือนเถ้าถ่าน (心如死灰) เป็สำนวน มีความหมายว่าสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์