“เป็พวกข้าที่ต้องอภัยที่มารบกวนราชันัพสุธารัตนพิภพในครั้งนี้ ข้าเพียงขอกล่าวเสนอถึงเงื่อนไขอีกครั้ง ฟังว่าองค์รัชทายาทถูกพิษประหลาดในครั้งนั้นไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ตัวข้าหนิงอ้ายผู้นี้ได้รับความเมตตาเป็ศิษย์คนสุดท้ายของเทพโอสถาเสวี่ยจิง ตลอดหลายปีมาได้ได้รับการถ่ายทอดสั่งสอนโดยตรงมาอยู่ไม่น้อย หากหาทางรักษาองค์รัชทายาทได้ปัญหาค้างคาใจของท่านก็จะหมดไป เช่นนี้แล้วถือว่าเป็การแลกเปลี่ยนประโยชน์ซึ่งกันและกัน ท่านคิดเห็นว่าอย่างไรขอรับ??” หนิงอ้ายกล่าวออกไปด้วยความหนักแน่นมั่นคง
“ข้าตกลงในข้อเสนอนี้ หากสหายน้อยสามารถรักษาองค์รัชทายาทบุตรชายของข้าได้ กระดูกิญญาอายุแสนปีของอสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคี จะเป็ของท่าน แน่นอนว่าข้าจะเป็ผู้ลงมือล่าสังหารด้วยตนเอง!!!” องค์ราชันัพสุธารัตนพิภพให้คำสัตย์อย่างเด็ดขาด ก่อนจะเดินนำหนิงอ้ายกับฟานหลิงไปยังตำหนักบุตรชายของตน
ราชันัพสุธารัตนพิภพพาหนิงอ้ายกับฟานหลิงเดินมาทางด้านหลังของพระราชวังจนมาถึงบริเวณตำหนักหลังหนึ่งที่มีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางอยู่ไม่น้อย ตลอดเส้นทางเดินที่ทอดยาวเพียงก้าวเท้าเข้าสู่บริเวณดังกล่าวไม่กี่ชั่วจิบชาก็ััได้ถึงกระแสพลังปราณธาตุไฟอันเข้มข้นที่แผ่ซ่านออกมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ด้วยปริมาณของปราณธาตุไฟที่เข้มข้นเช่นนี้ย่อมส่งผลให้อากาศโดยรอบมีความร้อนอบอ้าวเป็อย่างมาก ต่อให้เป็ผู้ฝึกตนในเขตขั้นราชทินนามราชันิญญาก็ไม่สามารถหยัดยืนอยู่ไม่ได้ทั้งวันเป็แน่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ที่มีพลังปราณธาตุอื่นเสียด้วยซ้ำ
พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกปกป้องด้วยม่านพลังพลังป้องกันและตรวจจับที่แ่าอย่างถึงที่สุด เพียงตวัดมือออกไปหนึ่งครั้ง ม่านพลังเบื้องหน้าก็ได้แหวกออกเป็ทางเข้ายาวลึกเข้าไป ทหารยามสองคนที่เฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเมื่อเห็นองค์ราชันผู้ปกครองแคว้นจึงรีบทำความเคารพ หลังผ่านส่วนประตูเข้าไปด้านในแล้วหนิงอ้ายที่ปราณสุริยะธาตุยังรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงที่มากมายเพียงนี้ ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทผู้นั้นสามารถทนได้อย่างไรกัน
มากไปกว่านั้นเขายังััได้ถึงกระแสพลังปราณอันเกิดจากค่ายกลจำนวนมาก แน่นอนว่าค่ายกลเหล่านี้หาใช่เป็ค่ายกลป้องกันแต่อย่างใด ทว่ากลับกลายเป็ค่ายกลที่ช่วยส่งถ่ายและรวบรวมพลังลมปราณฟ้าดินที่ถูกชักนำเข้ามายังบริเวณแห่งนี้ให้เกิดความสมดุลอย่างถึงที่สุด หนิงอ้ายยังคงกวาดสายตาไปรอบ ๆ ญาณััของเขาแผ่ซ่านกระจายไปตามพื้นที่โดยรอบจึงรับรู้ได้ว่ามีผู้รักษาการณ์เป็ราชทินนามเทวะิญญาขึ้นไปทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมถึงราชทินนามอื่นอีกมากมายนับไม่ถ้วนกล่าวว่าเป็การป้องกันที่แ่าอย่างยิ่ง...
ไม่นานนักหลังจากที่ทุกคนเดินเข้ามาเป็ห้องโถงรับรองที่ภายในนั้นเงียบสงัด แสงสว่างจากโคมไฟแขวนสะท้อนประกายแวววาว กลิ่นหอมแปลกประหลาดฟุ้งกระจายออกมาไปทั่ว กระถางกำยานได้ปลดปล่อยควันสีขาวที่เกิดจากการเผาไหม้ของสมุนไพรหอมวิเศษหลายชนิด เพียงแค่สูดดมเข้าไปก็รู้สึกผ่อนคลายร่างกายลงไม่น้อย
ตรงกลางนั้นมีเตียงขนาดใหญ่ที่ทำขึ้นจากผลึกอัมพรอัคคีพิสุทธิ์ที่ถูกปูรองด้วยหนังสัตว์หนานุ่มชั้นดีไม่ธรรมดาสามัญ ร่างบุรุษอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีผู้หนึ่งบนเตียงนอนนั้นสวมใส่อาภรณ์หรูหราที่ถูกทำขึ้นจากเส้นไหมที่สอดแทรกด้วยพลังปราณที่เข้มข้น ิัภายนอกบางส่วนปร่ากฎรอยสีม่วงคล้ำอยู่หลายจุด แม้ว่าร่างกายจะดูซูบผอมเนื้อหนังติดกระดูกไปสักหน่อย ทว่าแต่ยังไม่อาจปกปิดความหล่อเหลาของอีกฝ่ายได้เพียงนิด
“เ้าเป็อย่างไรบ้างลูกพ่อ?” ราชันัพสุธารัตนพิภพเข้าไปข้างเตียงกุมมือบุตรชายเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย บุตรชายเพียงคนเดียวของเขานับวันยิ่งซูบผอมลงด้วยเ้าพิษร้ายน่าตายนั่น
“ท่านพ่อ…” น้ำเสียงของบุรุษที่แตกพร่าแว่วให้ได้ยินเสียงบางเบาไม่ชัดเจน แต่ด้วยเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็ผู้ฝึกตนที่มีพลังลมปราณไม่ธรรมดา ดังนั้นแม้ว่าบุรุษเมื่อครู่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบาเพียงใดก็ได้ยินชัดเจน
“เฉิงเอ๋อร์ วันนี้บิดาได้พาสหายน้อยนักปรุงโอสถมาช่วยแล้ว อีกไม่นานเ้าย่อมหายดีเป็แน่…”
“ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว ข้ารู้ตัวเองดีว่าคงไร้ซึ่งหนทางรักษา ชีวิตนี้ได้ตอบแทนพระคุณท่านเพียงไม่นานคงต้องจากไปเสียก่อน ข้าต้องขออภัยยิ่ง…” วาจาที่เอ่ยออกมาของบุตรชายคล้ายกับเป็คมมีดที่กรีดลงกลางใจเขาผู้เป็บิดายิ่งนัก ตลอดหลายปีมานี้พวกเขากระทำแทบทุกวิถีทางเพื่อรักษาบุตรชายเพียงคนเดียว แต่กลับไม่มีความหวังที่จะรักษาให้หายขาดสามารถทำได้เพียงประคองอาการ
“เด็กหนุ่มทั้งสองนี้เป็ผู้ใดกันหรือขอรับ…” องค์รัชทายาทถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“พี่ชายของข้ามีนามว่าฟานหลิง เป็องค์รัชทายาทของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเหมันต์เก้าหาง ส่วนข้ามีนามว่าหนิงอ้าย ศิษย์ลำดับที่สิบของเทพโอสถาเสวี่ยจิง บิดาของท่านมีข้อแลกเปลี่ยนบางประการให้ข้ามารักษาอาการเจ็บป่วยนี้…” หนิงอ้ายประสานมือโค้งเล็กน้อย สิ่งที่อาจารย์ของเขาทั้งสองคนได้สั่งสอนเหมือนกันนั่นคือเื่ของการวางตัวและมารยาทที่พึงปฏิบัติ ยิ่งเป็นักปรุงโอสถระดับสูงแล้วมิสมควรเย่อยิ่งให้มากจนเกินไป
“ข้ามีนามว่าเฉิงรุ่ยเป็องค์รัชทายาทของเผ่าพันธุ์ัพสุธารัตนพิภพ ยินดีที่ได้รู้จักท่านทั้งสองเช่นกัน…”
“ท่านนักปรุงโอสถน้อยหนิงอ้ายพอมีหนทางรักษาบุตรชายข้าได้หรือไม่? คำร้องขอนี้หาใช่เกิดจากฐานะขององค์ราชันผู้ปกครองอาณาจักร แต่เป็เพียงคำขอจากบิดาที่มีต่อบุตรชายเท่านั้น” ท่าทีของราชันัพสุธารัตนพิภพยามนี้ดูน่าสงสารอย่างถึงที่สุด ด้วยเพราะก่อนหน้านี้มีนักปรุงโอสถมากมายต่างวนเวียนเข้ามารักษาอาการ ทว่ากลับทำได้เพียงยืดเวลาออกไปเท่านั้น
“ข้าขอตรวจอาการขององค์รัชทายาทสักครู่...” กล่าวจบลงหนิงอ้ายได้เดินเข้าใกล้องค์รัชทายาท ก่อนจะกางฝ่ามือออกเบื้องหน้าพร้อมกับปลดปล่อยกระแสพลังลมปราณออกมาพร้อมกับญาณััอันแกร่งกล้าของนักปรุงโอสถที่เปี่ยมไปด้วยพลังจิติญญาให้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างเพื่อแทรกซึมทั่วทั่งเส้นชีพจรทั่วทั้งร่างกายและทะเลมหาสมุทรลมปราณ
การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็สิ่งที่ปกติและกล่าวได้ว่าเห็นจนคุ้นชินคงไม่เกินจริงไปนัก ด้วยเพราะเป็การกระทำพื้นฐานของนักปรุงโอสถทุกท่านที่ต้องตรวจสอบเพื่อประเมินการรักษาเบื้องต้นเสียก่อน เพียงแต่ว่าสิ่งที่แตกต่างนั้นคือองค์ความรู้และประสบการณ์สั่งสมที่เคยประสบพบเจอ
เด็กหนุ่มััได้ว่าเส้นชีพจรทั่วทั้งร่างกายขององค์รัชทายาทผู้นี้อ่อนแอลงเป็อย่างมาก ลมปราณที่หล่อเลี้ยงร่างกายเริ่มตีบตันบางส่วน ยังดีที่มีค่ายกลที่คอยเสริมพลังลมปราณที่เข้าเสริมเป็ระยะ จึงส่งผลให้เส้นชีพจรเหล่านี้ยังไม่อาจตีบตันได้ทั้งหมดไปเสียทีเดียว เมื่อจิติญญาได้ดำดิ่งลงไปถึงจุดตันเถียรกลับได้พบว่ายามนี้ทะเลมหาสมุทรลมปราณของเฉิงรุ่ยผู้นี้ถูกปกคลุมด้วยไอหมอกสีเขียวม่วงประหลาด พิษชนิดนี้ได้ออกฤทธิ์สะกดข่มพลังปราณในร่างกาย ส่งผลให้ไม่อาจโคจรพลังปราณไปตามเส้นชีพจรได้ตามเท่าที่ควร
อีกทั้งยังขัดขวางทธิ์ของโอสถวิเศษและพลังปราณที่ถูกส่งถ่ายเข้ามาหล่อเลี้ยงในร่างกาย จากนั้นไอพิษอันพิศดารนี้ได้ค่อยแทรกซึมไปอย่างช้า ๆ สิ่งนี้ย่อมเป็อันตรายถึงชีวิตอย่างแท้จริง โชคยังดีที่กระแสพลังปราณบริสุทธิ์จากบ่อน้ำอมฤตอัคคีกาฬทมิฬที่ถูกชักนำเข้าสู่ร่างกายนั้นได้สะกดข่มความรวดเร็วของไอพิษจึงสามารถยืดเวลาออกมาได้จวบจนถึงทุกวันนี้ ใช้เวลาไม่นานนักสีหน้าของหนิงอ้ายได้เผยความเคร่งเครียดออกมาเล็กน้อย เห็นท่าทางดังกล่าวแล้วจึงสร้างความวิตกแก่ราชันัพสุธารัตนพิภพและผู้ที่อยู่โดยรอบได้อย่างไม่ยากนัก
“จากการคาดเดาของข้า พิษชนิดนี้คงเป็พิษของวาฬแมงมุมม่วงมรกตทมิฬ มีฤทธิ์สะกดข่มและกัดกินพลังลมปราณที่ส่งผลให้เส้นชีพจรตีบตันได้ในที่สุด อีกทั้งยังดูเหมือนว่ามารดาขององค์รัชทายาทจะเป็สัตว์อสูรเผ่าพันธ์อื่นที่ไม่ใช่ัพสุธารัตนพิภพและเป็สัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุน้ำใช่หรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายถามขึ้น
“เฮ้อ…ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว นี่เป็ความลับที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ มารดาของเฉิงเอ๋อร์หาใช่เป็ผู้ฝึกตนทั่วไปแต่อย่างใดไม่ ความจริงแล้วนางเป็อสูรแมงป่องเพลิงอัคคีที่มีสายเืผันแปรที่มีปราณธาตุน้ำแทรกซึมอยู่ในปราณธาตุไฟ อย่างที่เ้ารู้นี่เป็ดั่งอริธาตุที่ต้านรับกันไปมา เมื่อถูกพิษร้ายนั่นกระตุ้นแล้วจึงส่งผลให้สายเืที่ไหลเวียนอยู่ในกายของเขาไม่ยินยอมต่อกันจึงทำให้เป็เช่นนี้...” ราชันัพสุธารัตนพิภพกล่าวอธิบายถึงความเป็มาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
“หมายความว่าแต่เดิมร่างกายขององค์รัชทายาทก็มีความต่อต้านกันอยู่ภายใน ยิ่งเมื่อได้รับพิษที่เจือปนได้ดีกับปราณธาตุน้ำแล้วจึงส่งผลให้เป็เช่นนี้ได้ สายเืผันแปรที่ได้รับพิษเป็ตัวกระตุ้นอย่างนั้นรึ?” หนิงอ้ายเอ่ยสรุปขึ้นพร้อมกับพึมพำออกมากับตัวเองออกมาเบา ๆ
“สหายนักปรุงโอสถน้อยหนิงอ้าย เ้าพอมีหนทางรักษาบุตรชายของข้าหรือไม่?” ราชันัพสุธารัตนพิภพถามไปด้วยความเคร่งเครียด
“กล่าวตามตรงว่ายังพอมีวิธีหนทางอยู่บ้าง เพียงแต่…” หนิงอ้ายเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะหยุดชะงักเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถเอ่ยออกไปโดย สิ่งนี้อาจสร้างความขุ่นเคืองแก่อีกฝ่ายก็เป็ได้
“บอกข้ามาเสียเถอะ…”
“วิธีการที่สามารถกระทำได้และมีโอกาสสำเร็จมากที่สุดคือต้องให้องค์รัชทายาทปลุกพลังสายเืให้ตื่นขึ้นสำเร็จ...” หนิงอ้ายบอกกล่าวออกไปในที่สุด
“ให้ปลุกพลังสายเือย่างนั้นรึ? เ้ารู้หรือไม่ว่าหากกระทำผิดพลาดแล้ว บุตรขายของข้า…” ดวงตาสีดำสนิทของราชันัพสุธารัตนพิภพเบิกกว้างขึ้นด้วยความไม่พอใจ คราแรกยอมรับว่าได้ยินดังนั้นเขาดีใจมากที่ในที่สุดก็มีหนทางช่วยเหลือบุตรชายของเขาได้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็วิธีการนี้
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าการปลุกพลังของสายเืหาใช้สิ่งที่กระทำได้โดยง่าย กับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเตรียมตัวมาดียังอาจพลาดท่าตกตายได้หากประมาทเพียงนิด แล้วกับบุตรชายของเขาที่ร่างกายอ่อนแอถึงเพียงนี้ หากกระทำตามวิธีดังกล่าวแล้วเขาจะรอดพ้นมีชีวิตได้อย่างไรกัน นี่ไม่ใช่เป็การเร่งวันตายของเขาอย่างไรกัน
“ราชันัพสุธารัตนพิภพท่านได้โปรดสงบจิตใจลงเสียก่อน วิธีการนี้ถือเป็ทางรอดเดียวที่ปลอดภัยที่สุด หากกระทำการปลุกพลังสายเืให้ตื่นขึ้นได้สำเร็จ องค์รัชทายาทก็จะมีความแข็งแกร่งของร่างกายที่มากขึ้นหลายเท่า”
“เ้าจักให้ข้ายอมรับวิธีนี้ ก็ไม่ต่างจากการที่ข้ายินยอมให้เขาตายตกไปเ้าเข้าใจหรือไม่!!” ราชันัพสุธารัตนพิภพตวาดกร้าวกร้าวออกมาเสียงดังสนั่นคล้ายกับถูกแตะเกล็ดย้อนของัคงไม่เกินจริงไปนัก
กลิ่นอายอหังการของราชทินนามอัครพรหมยุทธ์ิญญาพลันปะทุขึ้นอย่างฉับพลันอีกครั้ง ได้ส่งผลให้ตำหนักหลังนี้รวมไปถึงพสุธาในเขตอาณาจักรล้วนสั่นะเือย่างรุนแรง ไม่ว่าใครในที่นี้ต่างทราบดีว่าราชันัพสุธารัตนพิภพผู้นี้นั้นรักบุตรขายของเขามากเพียงใด สิ่งนี้เป็ดั่งของขวัญที่ดีที่สุดที่คนรักของเขาได้ทิ้งไว้ให้ จะให้เขายอมให้อีกฝ่ายต้องเสียงอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร
“ท่านพ่อ แต่ข้าเห็นด้วยกับท่านนักปรุงโอสถน้อยนะขอรับ…” เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนถูกชะงักไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าจากคนบนเตียงที่ได้เรียกสติของราชันัพสุธารัตนพิภพกลับคืนมาได้ในที่สุด
“สหายน้อยหนิงอ้าย ท่านคิดเห็นว่าวิธีการนี้ดีที่สุดแล้วใช่หรือไม่ พวกเราผู้ฝึกตนทุกคนย่อมพึงทราบดีว่าความเสี่ยงในการปลุกพลังสายเืหากร่างกายไม่พร้อมนั้นจะเป็ราคาเช่นใด?” ผู้าุโเหลียงถามออกมาเพื่อเป็การยืนยันอีกครั้ง
“ข้าเข้าใจในความกังวลของราชันัพสุธารัตนพิภพรวมไปถึงพวกท่านทุกคนในที่นี้เป็อย่างดี อย่างไรแล้วตัวข้านั้นยังพอมีฝีมือ โอสถที่สามารถปลุกสายเืโดยไร้ซึ่งผลกระทบภายหลัง ในตำราบันทึกของท่านอาจารย์เสวี่ยจิงข้าเคยพบเห็นและได้ศึกษามาบ้างเช่นกัน หากองค์รัชทายาทได้รับโอสถเม็ดนี้เข้าไป ย่อมมีความสำเร็จมากกว่าแปดเก้าส่วนเลยทีเดียว...” หนิงอ้ายตอบกลับไปอย่างสงวนท่าทีอีกครั้ง
เดิมทีแล้วโอสถปลุกสายเื ไม่ว่าจะเป็ที่ดินแดนเดิมที่เขาเคยได้ศึกษาในก่อนหน้าหรือดินแดนระดับสูงที่แห่งนี้ สามารถกล่าวว่าเป็อีกหนึ่งในโอสถหายากอย่างแท้จริง ถึงแม้จะมีการสูตรโอสถนี้ในกลุ่มอิทธิพลนักปรุงโอสถอยู่บ้าง กล่าวตามตรงแล้วทุกสูตรโอสถย่อมมีความลี้ลับพิสดารที่ทิ้งผลกระทบภายหลังแตกต่างกันไปทั้งสิ้น ตัวของหนิงอ้ายเองที่ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางโอสถของเสวี่ยจิง จึงได้รับโอกาศศึกษาและจดจำสูตรโอสถที่เขาติดว่าจำเป็เอาไว้อยู่ไม่น้อย ยิ่งได้รับการสอนสั่งโดยตรงอย่างเข้มงวดมาตลอดระยะเวลาสามปีให้หลังนี้ กล่าวว่าทักษะฝีมือของเขาได้พัฒนาในด้านปรุงโอสถหลายเท่า หากครั้งนี้ต้องหลอมสร้างปรุงโอสถนิดนี้ขึ้นเขาเชื่อมั่นว่าคงเป็ได้ถึงโอสถระดับเจ็ดได้อย่างแน่นอน
“ข้าจะทำการสลายพิษนี้บางส่วนพร้อมกับลงอักขระเวทย์กำกับไว้ก่อนแล้วกัน” หนิงอ้ายบัญชาการิญญายุทธ์ปราณธาตุพิษของตนออกมาเป็ดอกเบญจมาศที่ลอยหมุนคว้างอยู่บนฝ่ามือที่เพียงปรากฎนั้นก็ได้แผ่ซ่านกลิ่นคาวเลี่ยนของพิษร้ายที่ไม่ธรรมดาสามัญ
สีหน้าของทุกคนในที่นี้ยกเว้นฟานหลิงล้วนตกตะลึงกันทั้งสิ้น ไม่คาดคิดว่านักปรุงโอสถน้อยท่านนี้ถึงกับปราณธาตุพิษที่ดูเหมือนว่ามีความกล้าแกร่งเป็สุดยอดพิษอย่างแท้จริง เพียงชั่วครู่ไอพิษจากร่างกายขององค์รัชทายาทเฉิงรุ่ยได้ถูกชักนำเข้าสู่ใจกลางของดอกเบญจมาศวิเศษนี้ก่อนจะถูกแผดเผาไปในที่สุด ร่างกายของชายหนุ่มนั้นถึงกับสั่นสะท้านไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งสงบเผยสีหน้าผ่อนคลายที่มีเืฝาดบนใบหน้าอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งนี้ก็เป็เพียงพิษส่วนน้อยที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเท่านั้น
จากนั้นหนิงอ้ายได้เรียกเปลวเพลิงสีแดงทองอันเกิดจากปราณสุริยะธาตุ สุดยอดเปลวเพลิงแห่งชีวิตออกมาพร้อมกับตวัดขีดเขียนอักขระเวทย์ชุดหนึ่ง กลิ่นอายที่ทุกคนััได้นั้นกล่าวว่านี่คือสุดยอดอักขระเวทย์ป้องกันชุดหนึ่งที่ไม่ธรรมดาสามัญ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะบัญชาการเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายเพื่อเข้าผนึกในจุดตันเถียร เพื่อชะลอการไหลเวียนของพิษร้ายนี้ให้ได้มากที่สุด...
**ั้แ่บทที่126 ถึงบทที่145 ไรท์ขออนุญาติติดเหรียญอ่านล่วงหน้า (2 เหรียญ) พร้อมแจ้งวันอ่านฟรีนะครับ **