ไม่คาดคิด
ความรู้สึกแรกของเซี่ยเจิง
ถึงแม้ว่าสาวผมยาวประบ่าคนนั้นจะพูดไม่ค่อยเข้าหูสักเท่าไหร่ แต่อย่างมากเขาก็ทำได้แค่เอาเขาและเซี่ยเจิงมาพูดหยอกล้อเท่านั้น เพราะถึงยังไงถ้าหากในโรงเรียนมีข่าวลือเื่ความรักของใครกับใครบางคนกุ๊กกิ๊กกันอะไรทำนองนี้ ก็มักจะหลีกเลี่ยงจากการโดนล้อไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งมันเป็สิ่งที่น่ารำคาญมาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดชวีเสี่ยวปอที่เป็เช่นนี้
ความรู้สึกที่ชวีเสี่ยวปอแสดงออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขาเป็เหมือนปืนใหญ่ที่พอจุดไฟก็พร้อมจะะเิออกไปได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อครู่สาวผมยาวประบ่าคนนั้นไม่ได้เล็งเป้ามายังเขา ดังนั้นกลิ่นดินปืนทั่วทั้งร่างกายของชวีเสี่ยวปอจึงโชยขึ้นมาอย่างประหลาด
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ไม่ต้องดื่มแล้ว” ภายในห้องเงียบไปอยู่หลายวินาที และเซี่ยเจิงก็เป็คนทำลายความกระอักกระอ่วนนี้เอง “นายสองคนจะดื่มน้ำผลไม้? หรือว่าน้ำอัดลมดี? ”
“ฉันดื่มแทนเขาเอง” เซี่ยเจิงหยิบแก้วที่ถูกเทเหล้าลงไปจนเต็มมาจากมือของชวีเสี่ยวปอ ในขณะนั้นทุกคนในห้องยังไม่ได้กลับมาครื้นเครงเหมือนเดิม เซี่ยเจิงเงยหน้ากระดกเหล้าเข้าไปจนหมดแก้ว จากนั้นก็เทแก้วใหม่ทันที และก็ดื่มหมดแก้วไปได้อย่างสบายๆ
“การทำโทษครั้งนี้จบลงแล้ว” เซี่ยเจิงยิ้ม พร้อมทั้งยกแก้วขึ้นมาคว่ำให้ทุกคนดู
“งั้นพวกเราก็อย่ามัวแต่นั่งอยู่เลย ไปกัน! ไปอวยพรวันเกิดเซี่ยเจิงกัน! ” มีคนะโขึ้นมาเสียงดัง เหล้าสองแก้วที่เซี่ยเจิงดื่มเข้าไปอย่างกล้าได้กล้าเสียนี้ส่งผลให้บรรยากาศถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทันใดนั้นภายในห้องอาหารก็กลับมาครึกครื้นเหมือนดังเดิม
เซี่ยเจิงใช้่เวลานี้รีบเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของชวีเสี่ยวปอประโยคหนึ่งว่า : “นายอวดเก่งอะไรเนี่ย? เพิ่งจะฉีดยากันบาดทะยักมาไม่ใช่เหรอ? ”
ชวีเสี่ยวปอกำตะเกียบไว้แน่น กัดฟันพูดออกมาว่า : “ฉันแค่ทนไม่ได้กับผู้หญิงบ้าบอคนนั้น”
เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา ไม่ได้ออกความเห็นอะไร
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าเหมือนศีรษะของเขากำลังจะะเิออกมาแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว และโดยปกติงานเลี้ยงสังสรรค์เช่นนี้เขาก็ไม่ค่อยจะมาสักเท่าไหร่ นั่นเป็เพราะว่าบางครั้งความครึกครื้นก็ทำให้เขารู้สึกรำคาญมากเลยทีเดียว และในตอนนี้เขาก็อยู่ในสภาพที่ได้ยินเสียง แต่กลับไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังพูดอะไรกันอยู่ ในระหว่างนั้นก็มีพนักงานเดินเข้ามาสองรอบ ครั้งแรกเข้ามาบอกให้พวกเขาเบาเสียงลงหน่อย ส่วนครั้งที่สองก็เข้ามากำชับพวกเขาว่าอย่าปาครีมเลอะเทอะไปทั่วห้อง
ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นยืน
“จะไปไหน? ” เซี่ยเจิงที่เมื่อครู่กำลังคุยอยู่กับใครบางคนรีบหันกลับมาถามเขาทันที
“ปล่อยน้ำ” ชวีเสี่ยวปอลูบที่ท้อง “ฉันดื่มน้ำผลไม้ไปตั้งสี่แก้ว ถ้าขืนยังไม่ไปเข้าห้องน้ำฉันอาจจะเปลี่ยนเป็น้ำพุให้นายดูแทน”
ห้องน้ำของร้านอาหารร้านนี้หายากอยู่พอสมควร ชวีเสี่ยวปอเดินวนทั้งชั้นมารอบหนึ่งแล้วก็ยังหาไม่เจอ และสุดท้ายแล้วก็ต้องถามพนักงานอยู่ดี ซึ่งห้องน้ำต้องเดินลงไปชั้นล่างถึงจะเจอ
หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ไม่อยากที่จะรีบขึ้นไปสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อได้ออกจากห้องนั้นมาหัวของเขาก็ปลอดโปร่งขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็หาโต๊ะว่างในห้องโถงนั้นแล้วนั่งลง พร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความหาเซี่ยเจิง
“ฉันนั่งอยู่ข้างล่างสักพักนะ ถ้างานใกล้จะเลิกแล้วนายบอกฉันด้วย เดี๋ยวฉันค่อยขึ้นไปใหม่”
หลังจากที่กดส่งไป ชวีเสี่ยวปอก็เปิดเกมขึ้นมา
แต่หลังจากถูกเพื่อนร่วมทีมสุดแปลกทำให้เขาแพ้ติดต่อกันถึงสองเกม ชวีเสี่ยวปอจึงรีบออกจากเกมทันที จากนั้นเขากำลังคิดอยู่ว่าจะเปิดเพลงบทสวดฟังให้ตัวเองใจร่มๆ ลงดีไหม และในขณะที่เขากำลังบิดี้เีอยู่นั้นเอง เขาก็เห็นสาวผมยาวประบ่าคนนั้นกับคนที่อยู่ในห้องอาหารอีกหลายคนเดินออกจากร้านอาหารไป
เลิกแล้วเหรอ?
ชวีเสี่ยวปอมองมือถือของเขาไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นข้อความตอบกลับของเซี่ยเจิง
น่าจะไม่เห็น
ชวีเสี่ยวปอจึงรีบขึ้นไปที่้าอีกครั้ง แต่พอเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องอาหารเขาก็หยุดลงทันที
การแอบฟังนี่เป็ยาเสพติดหรือไงเนี่ย?
ประตูเปิดแง้มเอาไว้อยู่ และในห้องอาหารส่วนตัวนี้ก็มีเหลือเพียงแค่เซี่ยเจิงทั้งสองคน จากมุมนี้ของชวีเสี่ยวปอมองเห็นได้แค่เพียงด้านหลังของเซี่ยเจิงเท่านั้น ส่วนเซี่ยเจิงอีกคนก็กำลังเดินมาที่ประตู เพียงแค่เขากวาดสายตามองมาทางนี้ เขาก็จะเห็นชวีเสี่ยวปอที่ยืนอยู่หน้าประตูทันที
ตื่นเต้น
“ฉันดีใจมากเลยที่นายมาได้” เซี่ยเจิงตัวสูงกว่าเธอมาก ดังนั้นตอนที่เซี่ยเจิงพูดเธอจึงต้องเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความยากลำบาก
“ต้องมาอยู่แล้วสิ” เซี่ยเจิงยิ้ม “ถึงยังไงวันเกิดก็เป็วันที่สำคัญที่สุดนี่”
“ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าความสัมพันธ์ของนายกับชวีเสี่ยวปอจะดีขึ้นมากขนาดนี้” น้ำเสียงของเซี่ยเจิงแฝงไปด้วยความสงสัย “ฉันจำได้ว่าตอนนั้นนายสองคนทะเลาะกันน่ากลัวมาก แต่พอเมื่อวานเห็นพวกนายออกจากห้องเรียนมาพร้อมกันมันก็ดูเลยแปลกๆ ”
“เื่มันยาวน่ะ” เซี่ยเจิงมองไปยังแววตาที่แฝงไปด้วยความสับสนของหญิงสาว เมื่อครู่เซี่ยเจิงดื่มเหล้าไปไม่น้อยทีเดียว และคิดว่าคงจะเป็เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เธอกล้ารั้งเซี่ยเจิงเอาไว้ให้อยู่คุยกับเธอเพียงสองต่อสอง “ฉันไปส่งเธอที่บ้านก็แล้วกันนะ? พวกเขาไปกันหมดแล้ว ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
“ไม่เป็ไร” เซี่ยเจิงโบกมือไปมา แล้วจึงใช้นิ้วชี้วางไปบนริมฝีปากพร้อมทั้งเสียงจุ๊ๆ ออกมา : “ฉันให้พวกเขากลับไปเองแหละ”
ครั้งนี้เซี่ยเจิงจึงยืนยันได้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ดื่มไปเยอะมากจริงๆ
“นี่” เซี่ยเจิงลูบไปที่หน้าผากของตัวเอง ราวกับว่าจะทำให้ตัวเองรู้สึกตัวขึ้นก่อนถึงค่อยพูดอีกครั้ง แต่จากที่เห็นนอกจากผมหน้าม้าของเธอจะยุ่งเหยิงขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้มีผลอย่างอื่นเกิดขึ้นเลย “นายไม่อยากรู้เหรอว่าทำไม? ”
“อืม เธอพูดมาเถอะ” เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ฉันฟังอยู่”
“ฉันน่ะ” เซี่ยเจิงชี้มาที่ตัวเอง “เหมือนว่าเื่กล้าหาญที่สุดที่ฉันเคยทำมาก็คือการสารภาพรักกับนาย แต่ว่า......” เซี่ยเจิงขยี้ตา “ผลลัพธ์มันไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”
หัวใจของเซี่ยเจิงเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง การกระทำอันเล็กน้อยนี้ของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า “เธอจะร้องไห้” และเขาก็รับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ไม่เก่งนัก แต่เซี่ยเจิงก็ยังไว้หน้าเขาอยู่ ทันใดนั้นเธอก็หยุดการกระทำเช่นนั้นลงทันที
เฮ้อ ไม่ร้องไห้ก็พอ เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา
“แต่ว่าฉันอยากจะลองดูอีกสักครั้ง” เมื่อครู่เซี่ยเจิงที่ยังรู้สึกสับสนอยู่แต่ตอนนี้จู่ๆ น้ำเสียงก็ดูหนักแน่นขึ้นมา “นายไม่ต้องรีบให้คำตอบฉันก็ได้ คือ นายไม่ต้องรีบปฏิเสธฉัน เซี่ยเจิง นายลองมาชอบฉันหน่อยจะได้ไหม เพราะฉันตัดใจจากนายไม่ได้จริงๆ”
เซี่ยเจิงรู้สึกว่าตัวเขาคงจะคิดอะไรง่ายๆ เกินไปหน่อยแล้ว สถานการณ์ที่เป็อยู่ในตอนนี้มันแทบจะหนักหนาสาหัสกว่าการที่เธอร้องไห้เสียอีก และถึงแม้ว่าก่อนที่หญิงสาวจะเปิดปากพูดออกมาเขาจะเดาเอาไว้คร่าวๆ แล้วบ้าง แต่ก็ยังไม่อาจที่จะรับมือได้ทันอยู่ดี
“ให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านนะ” เซี่ยเจิงพูด
“ไม่” เซี่ยเจิงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พร้อมทั้งพูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันไม่ไป”
“ฉัน......” เซี่ยเจิงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปแล้ว
“นายลองยอมรับฉันมาก็พอ ส่วนเื่อื่นเดี๋ยวฉันจัดการเอง” เซี่ยเจิงชี้นิ้วไปยังเขา จากนั้นก็ชี้มาที่ตัวเอง “ได้ไหม? ”
พูดตามตรง คำพูดของเซี่ยเจิงสามารถนิยามด้วยคำว่าต่ำต้อยได้เลย คงจะไม่มีใครเคยเห็นหญิงสาวคนหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ ใจแข็งราวกับก้อนหิน เซี่ยเจิงก็เป็เช่นนั้นเหมือนกัน แต่มันไม่ได้หมายความว่านี่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้
“ขอโทษนะ” เซี่ยเจิงลังเลอยู่สักพัก แต่แล้วก็พูดออกไป
เื่แบบนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว ต่อให้พูดวกไปวนมาสักกี่รอบก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา ถ้าไม่ปฏิเสธออกไปอย่าเด็ดขาดก็เหมือนกับกำลังเหลือภาพลวงตาให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า “ยังพอมีหวังอยู่” ซึ่งนั่นก็เป็อันตรายยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทำไมกัน” ดวงตาของเซี่ยเจิงเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาขึ้นมาทันที “ฉันรอได้นะ”
“อย่ารอเลยดีกว่า” เมื่อเซี่ยเจิงได้ยินทุกคำอย่างชัดเจนจึงพูดออกไป
“ฉันมีคนที่ชอบแล้ว”
ในตอนที่เซี่ยเจิงวิ่งตามหญิงสาวลงมาจากชั้นสอง ชวีเสี่ยวปอกำลังยืนอย่างล่องลอยอยู่ที่หน้าร้านอาหารแล้ว
เซี่ยเจิงรีบวิ่งออกไปอย่างเร็ว เธอขวางรถแท็กซี่เอาไว้จากนั้นก็นั่งออกไปทันที ส่วนชวีเสี่ยวปอก็ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าเธอร้องไห้จนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
เซี่ยเจิงวิ่งตามออกไปแต่ก็ตามไปไม่ทัน จึงทำได้เพียงยืนดูอยู่สักพัก จากนั้นก็หันกลับมามองชวีเสี่ยวปอพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา “ฉันรู้สึกว่าฉันเลวมากเลย”
ชวีเสี่ยวปอตบที่ไหล่ของเขา “ทั้งสองคนมีเื่อะไรกันเหรอ? ”
“นายเห็นทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือไง? ” ดวงตาของเซี่ยเจิงเป็ประกายแวบขึ้นมาครู่หนึ่ง “แสดง แสดงต่อไปสิ”