ขณะนั่งรถกลับ ทุกคนก็ล้วนเหนื่อยกันมาแล้ว ซือจวิ้นนอนหงายศีรษะขึ้นมาอย่างสบาย ทั้งเสียงหายใจยังหนักขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีคนหลับไปบ้างแล้ว คนขับรถจึงปิดเพลงไป ส่วนเซี่ยเจิงและชวีเสี่ยวปอที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังสุดก็มองออกไปยังนอกหน้าต่าง
ท้องฟ้ามืดสนิท จึงทำให้สิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างเห็นเป็เพียงเงารางๆ แวบผ่านไป แต่สิ่งที่ชัดเจนกลับเป็ใบหน้าของคนด้านข้างที่สะท้อนลงไปบนกระจก
ชวีเสี่ยวปอหยิบหูฟังยัดใส่เข้าไปในหู แล้วจึงหลับตาลง
รถเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างมั่นคง ในขณะที่เซี่ยเจิงกำลังจะพักผ่อน ทันใดนั้นไหล่ของเขาก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
ชวีเสี่ยวปอเอียงศีรษะพิงลงมา
แม้ว่าจะทุกคนจะอ่อนเพลีย แต่ตราบใดที่การเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้มากจนเกินไป ก็ไม่มีใครอาจที่จะสังเกตเห็นความสนิทสนมใกล้ชิดกันของทั้งคู่ใน่เวลานี้ได้ แต่เซี่งเจิงกลับยังคงรู้สึกกังวลจึงยืดตัวขึ้นดูเพื่อยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้พบความผิดปกติอะไร ในตอนนั้นเองเขาถึงได้ก้มลงมามองชวีเสี่ยวปอ
หลับสนิทแล้ว?
เซี่ยเจิงล้มล้างความคิดนี้ไปในทันที เนื่องจากชวีเสี่ยวปอกำลังหลับตา แต่มุมปากของเขากลับยกขึ้นอย่างไม่ได้ปกปิดเลยสักนิด
ตั้งใจ
ในตอนนั้นเซี่ยเจิงกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อชวีเสี่ยวปอยิ้มขึ้นมาเช่นนี้ หัวใจของเขาทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังอยู่กับเนื้อกับตัวแต่ในตอนนี้กลับตกไปอยู่ที่พื้นเป็ที่เรียบร้อย ความรู้สึกเช่นนี้มันเหมือนกับว่าในตอนเด็กที่ซุกซนจนเกิดเื่ แล้วมักจะรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ทั้งยังกลัวผู้ใหญ่มาเห็นเข้าแล้วจะโดนตี แต่ทันทีที่นึกได้ว่ามีคนคอยอยู่เคียงข้าง ความกล้าก็เพิ่มขึ้นมาเป็เท่าตัว ราวกับว่าถ้าหากโดนตีก็ไม่ได้กลัวเท่าไหร่แล้ว
“เหนื่อยแล้ว” ชวีเสี่ยวปอรู้ว่าโดนจับได้ แต่ก็ยังคงอยู่ท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน พร้อมทั้งพูดพึมพำออกมาเสียงเบา : “ให้ฉันพิงสักเดี๋ยว”
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวออกไปไหน
เมื่อมองจากในมุมนี้ทำให้สามารถเห็นหน้าอกของชวีเสี่ยวปอขยับขึ้นลงเล็กน้อยได้อย่างชัดเจน ความใกล้ชิดถึงเพียงนี้แทบจะเป็ความกล้าที่โจ่งแจ้งมากเสียเหลือเกิน
เป็ความรู้สึกที่โจมตีเข้ามาอย่างกะทันหัน : อันที่จริงความใกล้ชิดของเขาทั้งคู่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในบ้านหลังนั้น และในตอนนั้นเองเซี่ยเจิงก็คาดหวังอยากที่จะให้มี่เวลาแบบนี้มากขึ้นอีกหน่อย
เขายื่นมือออกไปจับที่ข้อมือของชวีเสี่ยวปอ และหลับตาลงในที่สุด
ซือจวิ้นตื่นขึ้นมากลางทาง
เนื่องจากศีรษะพิงอยู่กับกระจก เมื่อรถเคลื่อนผ่านเส้นทางที่ขรุขระเพียงครู่หนึ่ง จึงปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา บิดี้เี ขยี้ดวงตาที่บวมแดง จากนั้นเขาจึงสำรวจไปรอบๆ ว่ามีใครประสบเข้ากับเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับเขาบ้าง
จนกระทั่งสายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่เบาะที่นั่งด้านหลังสุด
แทนที่จะบอกว่าชวีเสี่ยวปอกำลังพิงเซี่ยเจิงอยู่ ไม่สู้บอกว่าเขาสองคนแอบอิงซบกันยังจะดีกว่า ในระยะการเดินทางอันแสนสั้นการกระทำเช่นนี้สามารถนับได้ว่าเป็ฝันดีของพวกเขาทั้งสองคน
เพียงแค่ดวงตายังใช้การได้ดี ก็สามารถดูออกได้ว่าเขาทั้งสองคนมีอะไรที่แตกต่างออกไป ซือจวิ้นมองอยู่สักพัก จากนั้นจึงบังคับให้ตัวเองให้ข่มอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดลงไป
ก่อนที่จะเข้าเขตเมือง ทุกคนก็ทยอยตื่นขึ้นมากันแล้ว คนขับรถพาหญิงสาวสองคนไปส่งที่บ้านก่อน จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็พูดขึ้นมาว่าส่วนพวกเขาไม่ต้องส่งทีละคนแล้วก็ได้ เพราะถึงยังในเขตเมื่อก็ใหญ่อยู่พอสมควร เดี๋ยวพวกเขาเรียกรถกลับกันเอง
หลังจากร่ำลาเจียงอี้หยางเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พวกเขาทั้งสามคนลงจากรถมาก็ดูสดชื่นขึ้นไม่น้อย
“หนาวขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะเนี่ย” ใบไม้ถูกลมพัดจนปลิวตกลงมาที่พื้น ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอรูดซิปเสื้อขึ้นมาจนถึงคาง แล้วจึงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า ทั้งยังเดินย่ำวนไปมา “จวิ้นเอ๋อร์ นายจะกลับบ้านหรือไปบ้านคุณยาย? ”
“เอ่อ ฉันได้หมดเลย” ซือจวิ้นตอบ
“อะไรคือได้หมดเลย” ชวีเสี่ยวปอใช้คางชี้ไปยังเซี่ยเจิงที่กำลังจุดบุหรี่อยู่ “ที่บ้านฉันไม่มีใครอยู่ ฉันเลยจะไปบ้านเขา ไปด้วยกันไหมล่ะ? ”
“ไม่ละๆ ไม่แล้วดีกว่า” ซือจวิ้นส่ายศีรษะขึ้นมาทันที “เดี๋ยวฉันกลับบ้านคุณยายก็ได้ เรียกรถเอา”
หลังจากที่ส่งซือจวิ้นขึ้นรถแท็กซี่ไปเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเจิงพ่นควันบุหรี่ออกมา มองไปยังหมอกขาวที่เคลื่อนไปมาอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนภายใต้แสงไฟ พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นมาว่า : “ทำไมซือจวิ้นถึงดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่เลย”
“เขาเหนื่อย” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมา “พอเขาเหนื่อยขึ้นมาก็เป็แบบนี้แหละ บางครั้งที่โค้ชให้พวกเขาฝึกอย่างโหด นายถามว่าเขาไปว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าไหร่เขายังไม่รู้เลย”
เซี่ยเจิงพยักหน้าตอบรับไป แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมาทำเพียงแค่สูบบุหรี่ต่อไปเงียบๆ แล้วทั้งสองคนก็เดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเซี่ยเจิงสูบบุหรี่จนหมดมวน เขาจึงได้พูดขึ้นมา :
“เดินกลับเหรอ? ”
“อืม” ชวีเสี่ยวปอจ้องมองไปบนก้อนอิฐสี่เหลี่ยมอยู่ใต้เท้า เพื่อหยุดความคิดอันไร้สาระที่คิดว่าในการก้าวออกไปครั้งหนึ่งสามารถก้าวข้ามอิฐไปได้กี่ก้อนถึงจะก้าวไปได้มากที่สุดเอาไว้ก่อนชั่วคราว “นายง่วงไหม? ”
“ไม่ง่วง” เซี่ยเจิงเหยียดแขนออกไป “เมื่อกี้นอนบนรถไปเต็มอิ่มแล้ว”
“ถ้างั้นก็เดินสักหน่อยก็แล้วกัน” สิ่งที่ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดออกมาก็คือ เขารู้สึกว่าการเดินไปเรื่อยๆ เช่นนี้มันเหมาะกับการคุยกันเป็อย่างมาก ทั้งยังทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างไม่ได้เป็เช่นนี้บ่อยๆ
แต่ทว่าในตอนนี้กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
อันที่จริงมีเื่มากมายที่อยากจะพูด แต่การเริ่มเกริ่นขึ้นมาช่างเป็เื่ยากพอสมควร ต้องไม่ดูกะทันหันจนเกินไป ทั้งยังต้องไม่ทำให้ระหว่างเขาทั้งสองคนรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
“นี่” ชวีเสี่ยวปอชะลอฝีเท้าให้ช้าลง จึงทำให้เขาเปลี่ยนมาเดินตามหลังของเซี่ยเจิงแทน ทุกฝีเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้าล้วนเหยียบลงไปบนเงาของเซี่ยเจิง “นายว่าเจียงอี้หยางกับเซวียอวี่จะจีบกันสำเร็จไหม? ”
“ใกล้แล้วละ” เซี่ยเจิงหันกลับไปมองการกระทำอันแสนจะเป็เด็กน้อยของชวีเสี่ยวปอ “นายเป็เด็กสามขวบหรือไง? ”
“แค่รู้สึกเบื่อๆ ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะ แล้วจึงรีบเดินตามขึ้นไปจนทำให้เงาของทั้งคู่ทับซ้อนเข้าด้วยกัน “ปกติเจียงอี้หยางดูเงียบๆ จะตายไป นึกไม่ถึงว่าตอนอยู่ต่อหน้าเซวียอวี่จะพูดเยอะขึ้นมาขนาดนี้”
“อืม ก็จริง” เซี่ยเจิงหรี่ตาลง ราวกับกำลังนึกย้อนไปถึงการกระทำแต่ละอย่างในวันนี้ของเจียงอี้หยางอย่างละเอียด “เขาดูแตกต่างไปจากปกติ”
“เฮ้” ชวีเสี่ยปอถอนหายใจ “เซี่ยเจิง นายว่าทำไมคนคนหนึ่งถึงจะต้องชอบใครอีกคนด้วย? ”
เซี่ยเจิงจึงหันหลังกลับมา ทั้งตัวของชวีเสี่ยวปอถูกปกคลุมไปด้วยเงาของเขา ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอจึงก้มหน้าลง คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับกำลังกังวลกับสิ่งที่ตัวเองถามออกไปเมื่อครู่
เซี่ยเจิงจึงไม่รู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
หลายครั้งเขเองก็รู้สึกเป็เหมือนกับในตอนนี้ ไม่อาจที่จะให้คำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำกับทุกคำถามได้
ราวกับว่าโลกใบนี้มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ายังมีสิ่งที่คุณไม่รู้อีกมากมายเท่าไหร่รอให้คุณไปสำรวจศึกษามัน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกอันซับซ้อนของมนุษย์แล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถตบหน้าอกเพื่อรับประกันความรู้สึกของคนอื่นได้พร้อมทั้งพูดออกมาว่า :
“เป็แบบนี้ เป็แบบนี้แน่นอน ฉันมั่นใจ”
ทว่าในใจของเขากลับมีอีกเสียงหนึ่งผลักดันให้เขาถามกลับไป
“แล้วนายล่ะ? นายคิดว่ายังไง? ”
ขณะที่ถามออกมาเซี่ยเจิงกำหมัดแน่น เขาจึงพบว่าฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เขามองดูชวีเสี่ยวปอที่ค่อยๆ เหยียดหลังตรงขึ้นมา ทั้งสองคนจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง จนเซี่ยเจิงได้ยินเสียงถอนหายใจที่อยู่ในใจของตัวเองดังขึ้น
รอได้ ไม่เป็ไร ค่อยเป็ค่อยไป
แล้วจู่ๆ คำเหล่านี้ก็ถูกแยกออกมาจากกันในหัวของเขา เพื่อย้ำเตือนเขาว่าคำเหล่านี้ที่แท้แล้วเป็เพียงแค่ข้ออ้างสำหรับเขาเท่านั้น
ล้วนเป็สิ่งที่ไร้สาระทั้งหมด
เป็เพียงการหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองสำหรับความล้มเหลวที่อาจจะเกิดขึ้น
เป็เพียงการหายาแก้ปวดเพื่อมาบรรเทาผลลัพธ์ที่อาจจะไม่ได้เป็อย่างที่ใจของเขาคาดหวังเอาไว้
และในตอนนี้เขาก็อาจจะอดทนรอคำตอบจากคนตรงหน้าไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
คำตอบที่เขาคาดหวัง ถูกต้อง และไม่ทำให้ผิดหวัง
เขา้าให้เสี่ยวปอพูดออกมาให้เขาฟัง
“เซี่ยเจิง ทำไมนายถึงได้ถามฉันว่ากลัวไหม? ” ชวีเสี่ยวปอพูด
“ฉัน...” เซี่ยเจิงอยากที่จะพูดออกมา แต่เสียงที่บีบรัดอยู่ในลำคอกลับไม่สามารถหยุดสั่นได้เลย เขาสูดลมหายใจเข้าไปอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับถูกชวีเสี่ยวปอพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่กลัวล่ะ? ”