ศีรษะของหลินชิงเวยกระแทกกับกำแพงหนักๆอย่างจัง นางสะบัดศีรษะด้วยความมึนงง เห็นเงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหวเบื้องหน้าได้ยินเสียงหมัวมัวผรุสวาทก่นด่าด้วยวาจาหยาบคายไม่หยุดปากดวงตาดำขลับทั้งคู่ปรากฏรังสีสังหารขึ้นลึกๆนางประคองหน้าผากของตนกล่าวเสียงต่ำว่า “เ้ากล้าแตะต้องนาง ก็ลองดู”
ฟู่ๆๆ
หมัวมัวราวกับไม่ได้ยินเสียงของนางยังคงเฆี่ยนตีซินหรูต่อไป ในสายตาของนางแล้ว คนอ่อนหัดราวกับแตงอ่อนเช่นแม่นางสองคนนี้จะก่อคลื่นลมอะไรได้?
ชิงหลันเลื้อยออกมาจากแขนเสื้อของนาง มันกำลังเลื้อยอยู่บนพื้นร่างสีเขียวและลวดลายบนร่างของมันสะท้อนแสงอยู่ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียงราวกับจะคั้นน้ำสีเขียวจากร่างของมันออกมาได้
หลินชิงเวยคลานขึ้นมาจากพื้นอย่างยากเย็นแล้วหันกายเดินกลับไปยังประตูของเรือนหลังเล็กหมัวมัวนางนั้นได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นจึงหันกลับมามองเมื่อเห็นข้างเท้าของตนมีงูตัวหนึ่งจึงตื่นตระหนกจนหน้าถอดสีล้มลงบนพื้นทันที
หมัวมัวร้องขึ้นอย่างหวาดหวั่น“ไฉนที่นี่จึงมีงูได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงหลินชิงเวยก็ยกยิ้มมุมปากรอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับเสียง กรึก ดังขึ้นมือที่เต็มไปด้วยเืสดๆ ลั่นดาลประตูของเรือนหลังเล็กอันมืดมนหลังนี้เพื่อปิดตาย
ในเมื่อไม่มีทางให้ล่าถอยเช่นนั้นเหตุใดนางยังต้องแสดงความอ่อนแออีกเล่าเหตุใดยังต้องอดทนให้ผู้อื่นมาข่มเหงรังแก? คนบางคน มักจะคิดว่าความอดทนอดกลั้นของผู้อื่นคือความอ่อนแอเหยียบย่ำลงบนความอดทนอดกลั้นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่นี่ไม่เหมือนยุคสมัยปัจจุบันไม่ใช่สังคมที่ใช้กฎหมายควบคุมสถานที่แห่งนี้เป็สถานที่ที่คนกินคนด้วยกันหากนางไม่ต่อต้านนางก็มีแต่ตายเท่านั้น
แผลที่ถูกแส้ตีบริเวณลำคอนั้นยังคงมีเืไหลซึมออกมาเืนั้นไหลลงมาตามลำคอขาวผ่องของนาง ทำให้รู้สึกว่านางมีพลังเร้นลับนางหันหน้ากลับมารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนริมฝีปากนั้นทำให้ซินหรูรู้สึกชาหนังศีรษะไปทั้งแถบแม้กระทั่งหมัวมัวที่พบเจอกับหญิงสาวมาทุกประเภทก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงหัวใจ
ชิงหลันค่อยๆ บีบคั้นเข้ามาทีละก้าวหมัวมัวถดกายหนีไปถึงมุมกำแพง ร่างของนางแนบชิดติดไปกับผนังกำแพง ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกต่อไปท่าทีหยิ่งผยอง โเี้เมื่อสักครู่นั้นมลายสิ้นทางหนึ่งจับจ้องงูที่อยู่ข้างเท้าของตน อีกทางหนึ่งไม่ลืมที่จะเงยหน้าไปมองหลินชิงเวย
หมัวมัวพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตน “นางคนต่ำช้ายังโง่งมอะไรอยู่อีก ยังไม่รีบเอางูตัวนี้ออกไปอีก!บางทีข้าอาจจะละเว้นชีวิตเ้าสักครั้งก็ได้”
หลินชิงเวยค่อยๆย่อกายลงกวักมือให้กับชิงหลัน หมัวมัวเบิกตากว้าง มองงูตัวนั้นเลื้อยไปหาหลินชิงเวยจากนั้นค่อยๆ พันร่างไปกับข้อมือของนาง นางเล่นกับหัวของงูตัวเล็กนั้นไปพร้อมกับให้ชิงหลันดื่มกินเืของนางที่ไหลลงมาตามลำคอ
หลินชิงเวยราวกับไม่ได้ยิน นางค่อยๆเลิกคิ้วกล่าวว่า “เ้าว่า ใครละเว้นใครนะ?”
หมัวมัวปากอ้าตาค้าง ที่แท้งูนี้...งูนี้ออกมาจากร่างของนาง...มิน่าเล่ามิน่าเล่าที่นี่จึงมีงูได้...
“เ้า เ้าคิดจะทำอะไร?”หมัวมัวรับรู้ได้ถึงอันตรายนางคิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยที่ดูไปแล้วอ่อนหัดเปราะบางนางนี้กลับเป็นางปีศาจที่มีความสามารถเลี้ยงงูได้!ลำพังเพียงแค่คิดขึ้นมาก็รู้สึกว่าน่าหวาดกลัวปานนั้น นางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกนางจำเป็ต้องออกไปจากที่นี่ก่อน รอให้ไทเฮากลับมา ค่อยสั่งการให้สังหารนางเสีย!
ไหนเลยจะให้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่ในวังหลวงต่อไปได้!
หลินชิงเวยเอียงคอมองหน้าหมัวมัวกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “เ้ากำลังหวาดกลัว เ้าคิดจะหนี?” ไม่รอให้หมัวมัวตอบคำนางกล่าวอีกว่า “เวลานี้เ้าน่าจะกำลังคิดว่า ออกไปจากที่นี่ก่อน รอให้ไทเฮากลับมาค่อยสั่งปะาข้า?”
หมัวมัวเบิกตาโตขึ้นถูกหลินชิงเวยหรี่ตามองอย่างจับความในใจได้ นางจึงหัวเราะออกมาและกล่าวว่า“ข้าเดาถูกแล้ว”
“เ้า เ้า...ไฉนเ้าจึง...”
หลินชิงเวยหยิบแส้ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาส่งให้ถึงมือของหมัวมัว พลางกล่าวว่า “มาเ้ามิใช่บอกว่าคิดจะตีพวกเราให้ตายหรอกหรือ เ้าลงมือต่อได้เลย”