ว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดเ่าั้สีหน้าของมู่เฟิงกลับมีความลังเลและสับสนปรากฏขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาได้มอบเคล็ดวิชาที่ไม่ธรรมดาให้กับสหายสนิททั้งสองได้ฝึกฝน แต่เขาไม่ได้มอบมันให้กับมู่หลิงเอ๋อร์และว่านเอ๋อร์
ไม่ใช่ว่าซีเยว่ไม่มีทักษะวิชาที่เหมาะกับสตรี เพราะหนึ่งในนั้นยังมีวิชาที่เรียกกันว่าเคล็ดวิชานารีไร้ใจอยู่ ซึ่งเคล็ดวิชานี้ก็เป็เคล็ดวิชาที่อยู่ในระดับโลกาเลยทีเดียว สามารถกล่าวได้ว่าทรงพลังเป็อย่างยิ่ง ในอดีตซีเยว่เคยสังหารผู้แข็งแกร่งนางหนึ่งจากสำนักนารี ทำให้นางได้รับเคล็ดวิชานี้มา
แม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะทรงพลังมาก แต่หลังจากฝึกฝนมันแล้วผู้ฝึกจะกลายเป็คนไร้ความรักไร้ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็ญาติมิตร สหายหรือคนรักก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดของคนผู้นั้นก็จะถูกตัดขาดจนกลายเป็คนที่เฉยชาต่อทุกสิ่ง
แล้วมู่เฟิงจะยอมให้สตรีทั้งสองที่เขารักที่สุดกลายเป็คนเช่นนั้นได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้มอบเคล็ดวิชานี้ให้อวิ๋นชิงว่านและมู่หลิงเอ๋อร์ได้ฝึกฝน
ว่านเอ๋อร์มีปราณกระดูกชั้นเลิศและมีพร์ที่ไม่ธรรมดา เวลานี้วรยุทธ์ของนางอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าแล้ว หากว่านางได้ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ นางย่อมสามารถพัฒนาไปได้แบบก้าวะโอย่างแน่นอน
มู่เฟิงเกิดความลังเลขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าควรจะให้ว่านเอ๋อร์ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ดีหรือไม่
มู่เฟิงกอดว่านเอ๋อร์ที่กำลังร้องไห้เอาไว้แน่ ในขณะเดียวกัน ภายในใจของเขาก็กำลังของคำชี้แนะจากซีเยว่
“เยว่เอ๋อร์ เ้าว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี?”
“เ้าตัดสินใจเื่นี้เองเถิด ข้าไม่้าจะก้าวก่ายมากนัก ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เลือกที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น หากว่าความรู้สึกที่มีต่ออีกคนลึกซึ้งพอ เพียงการฝึกเคล็ดวิชาจะสามารถตัดสายใยแห่งรักนั้นไปได้อย่างไร”
ซีเยว่ไม่ได้ชี้แนะสิ่งใดต่อมู่เฟิง แต่จากความนัยในคำพูดของนางก็เห็นได้ชัดแล้วว่านาง้าให้อวิ๋นชิงว่านฝึกฝนเคล็ดวิชานี้
มู่เฟิงเงียบไปชั่วขณะ แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบกลับไปว่า “เ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเพียงคิดถึงเื่ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับว่านเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงอนาคตของนางเลยแม้แต่น้อย การที่ข้าทำเช่นนี้เห็นแก่ตัวเกินไป”
“ว่านเอ๋อร์ เ้าจงจำเอาไว้ว่าข้ารักเ้า รักเ้ามาก เ้ารู้หรือไม่ว่าแม้โลกใบนี้จะเืเย็นและโหดร้ายมากเพียงใด แต่ในใจของข้านั้นไม่เคยสิ้นหวังเพราะข้ายังมีเ้าเสมอ”
มู่เฟิงยื่นมือออกไปกอบกุมใบหน้าของว่านเอ๋อร์ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ั์ตาสีโลหิตของเขาฉายประกายความรู้สึกอันลึกซึ้งที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ทั้งหมด
ว่านเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฟิงถึงกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อสบตาอีกฝ่าย จิตใจของนางก็ยิ่งมั่นคงและแน่วแน่มากขึ้น
“ข้ามีเคล็ดวิชาหนึ่ง เรียกว่านารีไร้ใจ เป็วิชาที่มีอานุภาพพลังที่สูงกว่าระดับโลกาเสียอีก สามารถกล่าวได้ว่าร้ายกาจมากเลยทีเดียว แต่มันก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน”
มู่เฟิงอธิบายถึงข้อเสียของการฝึกเคล็ดวิชานี้ให้ว่านเอ๋อร์เข้าใจ เพื่อให้นางได้เลือกด้วยตัวเองว่ายัง้าจะฝึกฝนมันอยู่หรือไม่
หลังจากทราบข้อเสียของมัน ว่านเอ๋อร์ก็รู้สึกใและเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย แต่เด็กสาวยังคงเชื่อมั่นว่าตัวนางจะไม่มีทางหลงลืมมู่เฟิงเพียงเพราะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ ดังนั้นว่านเอ๋อร์จึงตัดสินใจที่จะฝึกเคล็ดวิชานี้ในที่สุด
มู่เฟิงพยักหน้าก่อนจะนำแผ่นหยกที่บันทึกเนื้อหาของเคล็ดวิชานั้นออกมาจากหยกเทพชูร่าและมอบมันให้กับว่านเอ๋อร์
หลังจากใช้เวลากับว่านเอ๋อร์มาครึ่งวัน ในที่สุดมู่เฟิงก็กลับมายังเรือนพักของตัวเอง
่เวลาเย็นของวันนั้น ข่งย่วนได้จัดเตรียมเรือนพักสำหรับศิษย์สายให้กับมู่เฟิงเรียบร้อยแล้ว โดยเป็เรือนพักที่มีทั้งหมดสี่ห้อง ภายในเขตเรือนพักมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง นอกจากนี้บริเวณลานบ้านยังมีต้นท้อและดอกหลีฮวาประดับประดาอย่างสวยงาม
เมื่อมู่เฟิงย้ายเข้ามายังเขตพื้นที่ของเรือนพักของศิษย์สายใน วันนั้นมู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ รวมถึงศิษย์ตระกูลมู่ที่ใกล้ชิดกับเขาก็มาร่วมเฉลิมฉลองให้กับเด็กหนุ่มด้วย พวกเขาดื่มกินกันจนเมามาย
ระหว่างนั้นไป๋จื่อเยว่ก็ได้บอกเล่าเื่ที่พลังปราณของเขามีการเปลี่ยนแปลงต่อมู่เฟิง
แน่นอนว่าเื่ที่มีพิษปะปนอยู่ในพลังปราณทำให้มู่เฟิงประหลาดใจไม่น้อย! เขาไม่เคยได้ยินเื่เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไปถามเื่นี้กับซีเยว่อีกที
ซีเยว่คาดว่าอาจเป็เพราะปัญหาทางกายภาพของไป๋จื่อเยว่ เนื่องจากร่างกายของเขามีความสามารถในการดูดซับและผสมผสานกลมกลืน ดังนั้นหลังจากถูกพิษเป็เวลาหลายวัน ร่างกายของเขาจึงมีการดูดซับพิษและปรับตัวให้เข้ากับพิษ ส่งผลให้พลังปราณของเขามีพิษปะปนอยู่ในนั้น ซึ่งคำอธิบายนี้ก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล มู่เฟิงจึงบอกกล่าวกับไป๋จื่อเยว่ต่อ ทั้งยังบอกให้เขาไม่ต้องเป็กังวล
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของมู่เฟิง ในที่สุดไป๋จื่อเยว่ก็สามารถวางใจลงได้
ในเวลาต่อมา เหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษาเป๋ยโต้วก็ยังคงท้าประลองกับบัณฑิตของสำนักศึกษาเทียนอวิ๋นทุกวัน แต่มู่เฟิงไม่ได้สนใจจะเข้าร่วมอีก เขายังคงพากเพียรฝึกฝนอยู่ที่น้ำตกเทียนอวิ่นเพียงลำพัง นอกจากนี้เขายังฝึกฝนความสามารถในการควบคุมพลังปราณอย่างต่อเนื่อง
มู่เฟิงมีโอกาสได้ัักับประโยชน์ของการฝึกควบคุมพลังปราณแล้ว ในระหว่างการต่อสู้ เขาสามารถควบคุมการรับส่งพลังปราณได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้เขาไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังปราณมากเกินไป นอกจากนี้เมื่อเขาสามารถควบคุมพลังได้ดีขึ้น ความเร็วในการฝึกทักษะวิชาระดับนิลกาฬของเขาก็เร็วขึ้นด้วย
ภายใต้น้ำตกที่มีความสูงหลายสิบเมตร ร่างที่กำลังเปลือยท่อนบนของเด็กหนุ่มกำลังยืนอยู่บนช่อดอกเหมย ฝ่ามือของเขาส่งปราณดาบออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด การเคลื่อนไหวของปราณดาบเ่าั้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และเหมือนว่าความเร็วของมันจะไม่ได้รับผลกระทบจากแรงของน้ำตกเลยแม้แต่น้อย กลายเป็ธารน้ำตกที่ถูกแรงของปราณดาบแยกออกจากกันแทน เหลือไว้เพียงปราณดาบที่ถูกส่งออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากมู่เฟิงฝึกฝนอยู่เช่นนั้นนานกว่าครึ่งชั่วยามจนกระทั่งแขนขาของเขาเกิดอาการชาหนึบแทบไร้ความรู้สึก ในที่สุดเขาก็ทิ้งตัวลงนอนลงไปในสายน้ำ แต่มู่เฟิงกลับไม่ได้พักเลยสักนิด เขาว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งและเริ่มฝึกควบคุมพลังปราณต่อทันที
พลังกังหยวนสีโลหิตปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา จากนั้นมันก็ถูกแบ่งออกเป็เส้นสายจำนวนนับร้อยเส้น ก่อนจะเริ่มสอดผสานกันเป็กระบี่ลายเส้นสีโลหิตจำนวนสิบเล่มภายในเวลาเพียงสิบ่ลมหายใจ
การควบคุมกระบี่จำนวนสิบเล่มถือเป็ขีดจำกัดสำหรับวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นหนึ่งของมู่เฟิงแล้ว
มู่เฟิงโบกมือส่งกระบี่ลายเส้นทั้งสิบเล่มขึ้นไปกลางอากาศ ตอนนี้เขาสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระแล้ว
สำหรับเื่การสลักลายเส้น แน่นอนว่ามู่เฟิงเองก็ไม่ได้ละเลย เขายังคงใช้เวลาฝึกฝนมันอย่างสม่ำเสมอ
เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปถึงครึ่งเดือน
ในที่สุดบัณฑิตจากสำนักศึกษาเป๋ยโต้วที่เดินทางมาเพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนที่สำนักศึกษาเทียนอวิ่นก็เดินทางกลับไปยังสำนักศึกษาของตนแล้ว
ยามนี้ข่าวเื่การแข่งขันครั้งใหญ่ของหกสำนักศึกษาใหญ่ได้ถูกแพร่กระจายออกไปสู่เหล่าบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ส่งผลให้พวกบัณฑิตมีความกระตือรือร้นในการฝึกฝนอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
การต่อสู้บนแท่นสังเวียนโลหิตยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละวันจะมีบัณฑิตมาท้าชิงอันดับจากยอดฝีมือ แน่นอนว่าพวกเขา้าจะต่อสู้เพื่อให้ตนมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการแข่งขันของหกสำนักศึกษาใหญ่ ทำให้อันดับของยอดฝีมือในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังปรากฏม้ามืดโผล่ออกมาในอันดับรายชื่อของยอดฝีมืออีกด้วย
แต่ส่วนใหญ่แล้วอันดับที่มีการเปลี่ยนแปลงมักจะเป็เพียงห้าสิบอันดับท้ายเท่านั้น และสิบอันดับที่รั้งท้ายที่สุดมักจะมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุด
หากจะกล่าวถึงผู้ที่มีวรยุทธ์ต่ำที่สุดในบรรดารายชื่อทั้งหมด ย่อมต้องเป็มู่เฟิงที่มีวรยุทธ์เพียงระดับหนิงกังขั้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเขาก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นหนึ่งเพียงคนเดียวที่มีชื่อติดอยู่ในอันดับยอดฝีมือ ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมาก้าจะท้าชิงตำแหน่งกับเขา
แต่ทางด้านมู่เฟิงกลับอุทิศตนให้กับการฝึกอย่างเต็มที่ เขาไม่สนใจการท้าชิงของบัณฑิตอื่นเลยแม้แต่น้อย และตามกฎแล้ว หากยอดฝีมือไม่ตอบรับคำท้าภายในสิบวันหลังจากมีการท้าทายกันเกิดขึ้น อันดับของยอดฝีมือผู้นั้นก็จะตกเป็ของอีกฝ่าย
ดังนั้นอันดับที่เก้าสิบสี่ของมู่เฟิงจึงถูกแทนที่โดยผู้ท้าชิงไปโดยปริยายแล้ว