เสียงตื่นตะลึงของซีเยว่ดังก้องในห้วงความคิดของมู่เฟิง ดวงตาคู่สวยของนางมีร่องรอยของความเหลือเชื่อปรากฏให้เห็น
“หมื่นกระบี่หงส์เพลิง ร้อยกระบี่หวนคืน...ข้าเข้าใจแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็ลายเส้นของเขา!”
ซีเยว่พึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนว่านางเพิ่งจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างได้
“เยว่เอ๋อร์ แผนภาพของลายเส้นศักดิ์สิทธิ์นี้เรียกว่าหมื่นกระบี่หงส์เพลิงอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความสนใจ
ซีเยว่พยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเ้าเคยถามข้าเกี่ยวกับท่านลั่วหรอกหรือ ลายเส้นศักดิ์สิทธิ์นี้มีความเกี่ยวข้องกับท่านลั่ว”
“ท่านลั่ว ลั่วอวี่หรือ? นี่มันเื่อะไรกันแน่?”
มู่เฟิงถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง
“ท่านลั่วคือผู้เป็ใหญ่ใต้หล้า เขาคือผู้ปกครอง์และเป็หนึ่งในบุรุษที่ทรงอำนาจมากที่สุดในโลกนี้ เขามีสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่อยู่วิชาหนึ่งเรียกว่าเก้ากระบี่หงส์!
“เพียงเก้ากระบี่หงส์ปรากฏย่อมสามารถทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้ในพริบตา อำนาจพลังในการทำลายล้างของมันนั้นร้ายกาจเป็อย่างมาก มีปรมาจารย์ลายเส้นศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งนามว่ากู่เหยียน เขาได้สร้างลายเส้นการต่อสู้ที่ทรงพลังขึ้นมาโดยอ้างอิงจากกระบวนท่าเก้ากระบี่หงส์ของท่านลั่ว เรียกว่าหมื่นกระบี่หงส์เพลิง! ในเวลานั้นกระทั่ง์ยังสั่นะเื และมันก็คือแผนภาพลายเส้นที่เ้ากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้”
เสียงของซีเยว่ดังก้องในห้วงความคิดของมู่เฟิง
“เก้ากระบี่หงส์ หมื่นกระบี่หงส์เพลิง...”
แววตาของมู่เฟิงเต็มไปด้วยความใ
“เด็กน้อย เ้าจะต้องเก็บรวบรวมหยกเทวะทมิฬทั้งหมดมาให้ได้นะ!”
ทันใดนั้นซีเยว่ก็กล่าวกับมู่เฟิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากเ้าสามารถฝึกฝนลายเส้นการต่อสู้โบราณนี้ได้สำเร็จ ในอนาคตการจะไปช่วยเหลือมารดาของเ้าย่อมไม่ใช่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของมู่เฟิงก็เป็ประกายขึ้นมาทันที เขาพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น หากเป็เื่ที่เกี่ยวกับมารดาของเขา มู่เฟิงย่อมต้องตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน
จากนั้นมู่เฟิงก็ถอนพลังิญญากลับคืนมา
“จากความคิดของข้า หมื่นกระบี่หงส์เพลิงเองก็มีลายเส้นกระบี่เป็องค์ประกอบเหมือนกัน ดังนั้นร้อยกระบี่หวนคืนก็มีความเป็ไปได้มากว่าอาจจะเป็ลายเส้นของกู่เหยียนเช่นกัน ลายเส้นการต่อสู้โบราณของหมื่นกระบี่หงส์เพลิงนั้นประกอบด้วยลายเส้นกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน บางทีไม่แน่ว่าร้อยกระบี่หวนคืนอาจจะเป็พื้นฐานของหมื่นกระบี่หงส์เพลิงก็ได้ หากสามารถฝึกฝนร้อยกระบี่หวนคืนจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้แล้ว บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ต่อการฝึกหมื่นกระบี่หงส์เพลิงของเ้าในอนาคต”
ซีเยว่มีดวงตาที่เฉียบแหลมไม่ธรรมดา นางจึงสามารถมองออกถึงความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองเคล็ดวิชาได้อย่างรวดเร็ว
มู่เฟิงพยักหน้า ทันใดนั้นสายพลังปราณก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา มันสอดประสานกันและก่อตัวขึ้นเป็กระบี่ลายเส้นสีขาวสองเล่ม และพลังกระบี่ที่แผ่ออกมานั้นก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
หลังจากเรียนรู้กระบี่เล่มแรกสำเร็จ การเรียนรู้กระบี่เล่มถัดไปจึงเป็ไปอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้เขาสามารถสร้างกระบี่ขึ้นมาได้สองเล่มในเวลาสาม่ลมหายใจแล้ว
“สักวันข้าจะถือหอกเหยียบกระบี่ไปช่วยท่านแม่ของข้า และสังหารเ้าสุนัขหนานห่าวให้ได้!”
มู่เฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น ความคิดที่จะไปช่วยเหลือมารดาไม่เคยสั่นคลอนหรือเลือนหายไปจากใจของเขาเลย
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกหนึ่งวัน ่เช้าตรู่ของวันถัดมา มู่เฟิงลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะไปอาบน้ำ เตรียมตัวออกไปยังโรงอสูรพร้อมกับขงเซวียนเอ๋อร์ ข่งย่วนและคนอื่นๆ เพื่อเดินทางไปยังวังโบราณจิ่วซาน
บริเวณหน้าโรงอสูรในเวลานี้มีเว่ยอี้อวิ๋น หยางฉาน ซือถูคง โจวเหวินเฉวียนและศิษย์สายในคนอื่นๆ ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นมารวมตัวกันอยู่
“เอาละ ในเมื่อทุกคนมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็เดินทางไปยังวังโบราณจิ่วซานกันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนมารวมตัวกันครบแล้ว ข่งย่วนก็พยักหน้าพร้อมประกาศออกเดินทาง
แต่ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าของคนจำนวนมากที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาจากระยะไกลก็ปรากฏขึ้น โดยแต่ละคนนั้นต่างก็สวมชุดคลุมสีดำและมีโลงศพสีดำสะพายอยู่บนหลัง มองจากสายตาคาดว่าน่าจะมีจำนวนสี่สิบถึงห้าสิบคน พวกเขาควบม้าเข้ามาปิดล้อมกลุ่มศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
สีหน้าของบัณฑิตทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที พวกเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำปักลายหัวกะโหลกผู้หนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า ใบหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงถมึงทึงว่า “พวกเ้าคิดจะไปที่ใดกัน?”
“เ้าเป็ใคร? เหตุใดต้องมาขวางทางพวกเราด้วย?”
ข่งย่วนตวาดเสียงถาม
“ข้าผู้เฒ่ามีนามว่าอินเหมี่ยน เป็ผู้าุโของตระกูลอิน พวกเ้าเป็บัณฑิตของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าถมึงทึงเช่นเดิม
“ในเมื่อทราบอยู่ก่อนแล้ว เหตุใดยังมาขวางทางพวกเราอีก”
ดวงตาของเว่ยอี้อวิ๋นเปลี่ยนเป็เ็า เขาตวาดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์
“หึ หลานชายของข้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกหนึ่งในพวกเ้าลงมือสังหาร ดังนั้นข้าจึงหวังว่าพวกเ้าจะให้คำอธิบายแก่ข้าได้ ต่อให้พวกเ้าจะเป็ศิษย์ชั้นเลิศของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น แต่ตระกูลอินของเราก็ไม่ใช่ว่าใครจะมารังแกได้ง่ายๆ เช่นกัน พวกเ้าต้องมีคำอธิบายให้กับตระกูลอินของเรา!”
อินเหมี่ยนตะเบ็งเสียงกร้าว ในขณะที่สายตาก็กวาดมองกลุ่มบัณฑิตตรงหน้า
เหล่าบัณฑิตต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึง คนส่วนใหญ่ล้วนงุนงงกับเื่นี้ มีเพียงกลุ่มของข่งย่วนเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร
แต่ดวงตาของซือถูคงกลับทอประกายเย็นะเื เขาส่งสัญญาณให้บัณฑิตอีกสองคนในกลุ่ม จากนั้นคนทั้งสามก็จงใจมองไปทางมู่เฟิง
สีหน้าของมู่เฟิงยังคงเรียบเฉยราวกับไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น
เนื่องจากอินเหมี่ยนกำลังเฝ้าสังเกตพวกเขา ดังนั้นอีกฝ่ายจึงได้เห็นท่าทีผิดปกติของพวกซือถูคงที่หันมองไปทางเด็กหนุ่มผมขาวได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านลุงเหมี่ยน วันนั้นเ้าเด็กนั่นเป็คนทำร้ายพี่หู่จนาเ็ ข้าคิดว่าคนที่สังหารพี่หู่จะต้องเป็เขาแน่”
สตรีผู้หนึ่งจากตระกูลอินกล่าวขึ้น
“เ้าหนุ่ม เ้าเป็คนสังหารอินหู่หลานชายของข้าใช่หรือไม่?”
อินเหมี่ยนจ้องมองมู่เฟิงอย่างอาฆาตแค้น พร้อมกับตวาดเสียงถามอย่างเ็า
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
เหล่าศิษย์ตระกูลอินคนอื่นต่างชักดาบออกมาทันที มู่เฟิงเลิกคิ้วมอง ขณะหรี่ตาลงเด็กหนุ่มก็ได้รวบรวมพลังปราณภายในร่างเอาไว้ด้วย
“ช้าก่อนทุกท่าน ข้าคิดว่าอาจเป็เื่เข้าใจผิด แม้ว่าวันนั้นพวกเราจะมีเื่ขัดแย้งกันก็จริง แต่ก็เป็เพียงแค่เื่เล็กน้อยเท่านั้น ฆาตกรผู้ลงมืออาจจะไม่ใช่เราก็ได้”
ทันใดนั้นข่งย่วนก็ก้าวออกมาพูดแก้ต่างให้มู่เฟิงเป็คนแรก
“ไม่ใช่พวกเ้า? เหอะ ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างก็พูดตรงกันว่าผู้ลงมือเป็เด็กหนุ่มผมขาวผู้หนึ่ง แบบนี้แล้วยังจะเป็ใครไปได้อีก?”
สตรีคนเดิมตวาดเสียงแย้งออกมา
“คนที่มีเส้นผมสีขาวมีมากมาย ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวเสียหน่อย”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ะโอย่างฉุนเฉียว เป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ
“จะเป็พวกเ้าหรือไม่ เพียงพาตัวไปเค้นถามเดี๋ยวก็รู้เอง”
อินเหมี่ยนกล่าวอย่างเ็า บรรยากาศทางฝั่งศิษย์ตระกูลอินเป็ไปอย่างตึงเครียด
“เช่นนั้นพวกเ้าก็ลองดู”
ข่งย่วนะเิพลังออกมา คลื่นพลังระดับหนิงกังขั้นเก้าแผ่กระจายออกมาทันที
เนื่องจากเห็นแก่หน้าข่งย่วน เหล่าบัณฑิตคนอื่นจึงะเิพลังความแข็งแกร่งของตนเองออกมาเช่นกัน เมื่อเหล่ายอดฝีมือระดับหนิงกังจำนวนมากกว่าสิบคนะเิพลังออกมา รวมกับคนห้าคนในบรรดาพวกเขาที่มีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้า พลังที่แผ่ออกมาจากทางฝั่งพวกเขานั้นจึงเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานคนหนึ่ง
สีหน้าของกลุ่มศิษย์ตระกูลอินพลันเปลี่ยนไปทันที พวกเขาถูกแรงสะกดข่มอันทรงพลังนี้บีบให้ต้องถอยออกไป
วรยุทธ์ของอินเหมี่ยนอยู่ในระดับหนิงกังขั้นเก้าเท่านั้น ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้ขึ้น แม้พวกเขาจะมีจำนวนคนสี่สิบถึงห้าสิบคนก็ยังไม่อาจเทียบกับคนกลุ่มนี้ได้
สีหน้าของอินเหมี่ยนเปลี่ยนเป็ไม่น่ามอง ไหนเลยเขาจะทราบว่าคนกลุ่มนี้จะทรงพลังมากถึงเพียงนี้ เกรงว่าอีกฝ่ายคงเป็ศิษย์สายในที่ทางสำนักศึกษาเทียนอวิ่นส่งมาเพื่อให้เข้าร่วมการสำรวจวังโบราณจิ่วซาน
“พวกเ้าคิดจะเป็ศัตรูกับตระกูลอินของข้าจริงหรือ ไม่สู้มอบตัวฆาตกรออกมาจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้น ยอดฝีมือระดับหยวนตานของตระกูลอินจะต้องลงมือด้วยตัวเองแน่ ถึงเวลานั้นคงไม่เป็ผลดีต่อพวกเ้าทุกคน”
อินเหมี่ยนกล่าวออกมาอย่างเหนือกว่า
เมื่อเหล่าบัณฑิตได้ยินดังนั้นต่างก็มีท่าทีลังเลขึ้นมาทันที ถูกต้องแล้ว สถานที่แห่งนี้คือถิ่นของตระกูลอิน หากพวกเขาลงมือ เป็ไปได้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานของตระกูลอินก็อาจจะยื่นมือออกมาช่วยเหลือเช่นกัน
พวกเขาเหลือบมองไปทางมู่เฟิง เื่นี้มู่เฟิงเป็คนก่อเื่ขึ้นมาเอง การลงมือเพื่อบัณฑิตใหม่ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มันคุ้มค่าแล้วหรือ?
สีหน้าของมู่เฟิงพลันเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารับรู้ได้ถึงสายตาอันลังเลของผู้คนรอบข้าง เกรงว่าคนเหล่านี้คงไม่คิดจะปกป้องเขา
เว่ยอี้อวิ๋นชำเลืองมองไปทางมู่เฟิง จากนั้นเขาก็ดึงพลังกังหยวนกลับมาและถอยออกไปหนึ่งก้าวพลางถือกระบี่เอาไว้โดยไม่พูดอะไร ท่าทีของเขาแสดงออกชัดเจนว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้
ซือถูคงแสยะยิ้มก่อนจะดึงพลังกังหยวนกลับคืนเช่นกัน จากนั้นก็ก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าว