“หนิงเอ๋อร์มาแล้วก็รีบนั่งลงเถิด”
ั้แ่ลู่เป๋าเหยาตายไป ไป๋หว่านหนิงก็ขังตนเองอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน นี่เป็ครั้งแรกที่ไป๋เสียนอันได้พบหน้านาง
เขาทั้งรู้สึกเหนือความคาดหมายและประหลาดใจเล็กน้อย โชคดีที่บุตรสาวไม่ได้ผูกใจเจ็บกับเขาเพราะเื่นี้
ไป๋หว่านหนิงเดินผ่านไป๋เซี่ยเหอพลางเหลือบมองอย่างยั่วยุ จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ ไป๋เสียนอัน
“ท่านพ่อ ได้ยินว่าน้องสามเป็ไข้หวัด ลูกเป็กังวลจริงๆ สถานที่ยากไร้เช่นนั้นย่อมไม่มีหมอดีๆ หากป่วยหนักจะทำอย่างไรเ้าคะ?”
ใบหน้าของไป๋หว่านหนิงดูเป็กังวล ทำตัวสมกับเป็พี่สาวแสนดี
ไป๋เสียนอันมองไป๋หว่านหนิงด้วยสายตาชื่นชม ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกว่าไป๋เซี่ยเหอเป็คนเ็าและไร้หัวใจ
“ข้าจึงบอกให้พี่สาวของเ้าไปดูแลอย่างไรเล่า ประการแรกคือพี่สาวของเ้ารักษาคนป่วยเป็ ประการที่สองคือเป็พี่น้องกัน การดูแลรักษาย่อมทำได้สะดวก”
“ท่านพ่อ ให้ข้าไปด้วยเถิดเ้าค่ะ พี่สาวต้องรักษาน้องสาม ทั้งยังต้องดูแลนางอีก ข้าเกรงว่าพี่สาวจะเหนื่อย ข้าไปด้วยจะได้ช่วยแบ่งเบาสักหน่อยเ้าค่ะ”
นางพูดด้วยเจตนาดีราวกับลืมเลือนบุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ไปจนสิ้นแล้ว
หากไม่มีการเปรียบเทียบระหว่างพี่น้องสองคน ก็ไม่ทำให้เ็ป
ไป๋เสียนอันแค่นเสียงเ็าใส่ไป๋เซี่ยเหอ “เ้าต้องเรียนรู้จากน้องสาวของเ้าให้มาก”
กินของของเขา ดื่มของของเขา นึกไม่ถึงว่าจะกล้าต่อต้านเขาอีก ช่างเป็เด็กอกตัญญูไม่รู้คุณบิดามารดา ไม่มีไมตรีจิตกับพี่น้องเสียจริงๆ
“เรียนรู้อะไรจากนางหรือ? ดอกบัวขาวหรือว่านางชาเขียว[1]?”
“ไป๋เซี่ยเหอ!”
“ไป๋เสียนอัน!” ไป๋เซี่ยเหอเลียนแบบคำพูดของอีกฝ่าย ก็แค่บิดาที่ให้กำเนิดโดยไม่เคยเลี้ยงดูและไม่คู่ควรที่จะเป็บิดาเท่านั้น เมื่อดูจากอายุอานามของเขาแล้ว นางก็คร้านที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเขา
ทว่าไม่ได้หมายความว่านางจะปล่อยให้ผู้ใดเหยียบจมูกนาง!
บรรยากาศเปลี่ยนเป็การประจันหน้ากันในชั่วพริบตา
แววตาของไป๋หว่านหนิงฉายแววกังวล นางรีบขัดจังหวะทันที “พี่สาวรีบขอโทษท่านพ่อเร็วเข้า เกิดเป็บุตรีจะตำหนิบิดาได้อย่างไร? ไม่ว่าท่านพ่อจะทำอะไรล้วนแล้วแต่หวังดีกับพวกเราทั้งนั้น”
ประโยคนี้ทำให้หนามแหลมในใจของไป๋เสียนอันที่เกี่ยวข้องกับลู่เป๋าเหยาถูกถอนออกไปทั้งอย่างนี้
“เฮอะ”
ท้ายที่สุดแล้ววันนี้เขาก็สั่งไป๋เซี่ยเหอได้ อันที่จริงเขาไม่คิดที่จะขัดแย้งกับนาง เมื่อไป๋หว่านหนิงให้ทางลงกับเขา เขาก็ยินยอมตามนั้น
เมื่อเปรียบเทียบไป๋หว่านหนิงกับไป๋เซี่ยเหอแล้ว ไป๋เสียนอันก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาควรจะบีบคอไป๋เซี่ยเหอให้ตายั้แ่ตอนที่นางเกิดมา!
ต่อมาไป๋หว่านหนิงก็ถือโอกาสลากไป๋เซี่ยเหอขึ้นรถม้า
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากจวนสกุลไป๋
ไป๋หว่านหนิงแสร้งเอ่ยอย่างสนิทสนม “ครั้งนี้ต้องลำบากพี่สาวแล้ว”
ไป๋เซี่ยเหอไม่ทราบว่าควรเย้ยหยันทักษะการแสดงที่ดูโง่เง่าของไป๋หว่านหนิงอย่างไรดี
ทว่าในเมื่อไป๋หว่านหนิง้าเสแสร้ง นางก็จะร่วมด้วย
“เป็พี่น้องกันทั้งนั้น ไม่ลำบากหรอก”
การทำตัวเป็นางเอกเ้าน้ำตาน่ะ มีผู้ใดทำไม่ได้บ้าง?
“น้องรอง ผ้าผูกผมที่ข้อมือของเ้าดูดียิ่งนัก”
ความจริงแล้วั้แ่ที่ไป๋หว่านหนิงโผล่หน้ามา สายตาของไป๋เซี่ยเหอก็จับจ้องอยู่ที่ผ้าผูกผมบนข้อมือของนางแล้ว
ผ้าผูกผมสีแดงเส้นหนึ่งดูเด่นชัดบนข้อมือหยกขาวนวล
แววตาของไป๋หว่านหนิงฉายแววไม่เป็ธรรมชาติ นางพยายามดึงแขนเสื้อขึ้นมาปิด “เพียงติดมือมาเท่านั้น”
“เช่นนั้นหรือ?”
ไป๋เซี่ยเหอคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางมองไป๋หว่านหนิงอย่างสงบนิ่ง สายตานั้นราวกับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งเห็นส่วนที่เท็จจริงที่สุดในใจของไป๋หว่านหนิงอย่างชัดเจน
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ไป๋หว่านหนิงรู้สึกกระวนกระวายอย่างยิ่ง
“มารดาผู้ให้กำเนิดของเ้าเพิ่งตาย เ้ากลับสวมผ้าผูกผมสีแดงที่ข้อมือ หากไม่รู้เื่ย่อมคิดว่าเ้ากำลังเฉลิมฉลองอะไรเสียอีก”
“ผายลม!” เมื่อถูกแทงใจดำ ความเสแสร้งของไป๋หว่านหนิงก็มลายหายไปทันที
“หากไม่ใช่เพราะเ้า แม่ของข้าจะตายหรือ? เ้ามันตัวซวยสมควรตาย เ้ามันสมควรตาย เ้าต่างหากที่สมควรตาย!”
ไป๋เซี่ยเหอยิ้มหยันอย่างรู้อยู่แก่ใจ
รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เบื้องนอกมีหิมะโปรยปรายปกคลุมพื้นดิน ทว่าภายในรถม้ามีหั่วหลงกับเตาอุ่นมือ จึงรู้สึกอบอุ่นดั่งวสันตฤดู
กลิ่นเผาไหม้ของอิ๋นทั่น[2]ทำให้รู้สึกง่วงงุน
ภายในรถม้าเงียบเชียบไร้ซึ่งสรรพเสียง
มีเพียงเสียงประกายไฟเป็ครั้งคราวเท่านั้น
ไป๋เซี่ยเหอไม่ทราบว่าตอนนี้ตนเองนั่งอยู่บนรถม้ามานานเพียงใดแล้ว
รถม้าโคลงเคลงขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วในการหมุนกำไลหยกของไป๋หว่านหนิงก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน นางเลิกม่านขึ้นมองออกไปด้านนอกเป็ครั้งคราว
ไป๋เซี่ยเหอดูเหมือนกำลังงีบหลับ ทว่าจิตใจกลับแจ่มชัดดั่งกระจกใส อีกทั้งความสามารถในการฟังของนางยังน่าทึ่ง ทุกการกระทำของไป๋หว่านหนิงจึงไม่อาจเล็ดลอดสายตาของนางไปได้
“ใกล้ถึงแล้วกระมัง”
เมื่อไป๋หว่านหนิงที่กำลังเลิกม่านขึ้นมองออกไปด้านนอกได้ยินน้ำเสียงอันแจ่มชัดของไป๋เซี่ยเหอ ก็ใจนขวัญหนี
“เพิ่งออกจากเมือง ใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยหนึ่งวัน”
ไป๋หว่านหนิงไม่ได้สังเกตเลยว่าน้ำเสียงของตนเองเจือความสั่นเครือเล็กน้อย
“เ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้พูดถึงเื่นี้”
หัวใจของไป๋หว่านหนิงเต้นโครมครามอย่างกะทันหัน รู้สึกเหนียวเหนอะหนะที่ฝ่ามือ
ทว่าต่อมานางก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือศัตรูที่สังหารมารดาของนาง!
ความกระวนกระวายและความตื่นตระหนกจึงอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา
“ข้าไม่รู้ว่าเ้ากำลังพูดอะไร”
เมื่อเห็นแววตาที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็แน่วแน่และเด็ดขาดของไป๋หว่านหนิง ไป๋เซี่ยเหอก็ยิ้มเยาะ “เ้ารู้หรือไม่ว่าคนโง่มักตายอย่างไร?”
ไป๋หว่านหนิงไม่ตอบ ทว่าท่าทีอันสับสนของนางได้เผยให้เห็นถึงความคิดของนางเสียแล้ว
“ล้วนแล้วแต่ตายเพราะทำตนเองอย่างไรเล่า!” ไป๋เซี่ยเหอกล่าว
หลังถ้อยคำนี้จบลง เสียงเกือกม้าก็ดังขึ้นอย่างกะทันหันในวินาทีต่อมา
ร้ายกาจยิ่งนัก
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้าเอ่ยคำพูดน่ากลัวน้อยลงหน่อย ทำเอาข้าใหมด ถึงอย่างไรวันนี้ก็คือวันตายของเ้า ข้า้าให้เ้าถูกฝังไปพร้อมกับแม่ของข้า!”
ไป๋เซี่ยเหอยักไหล่ นางไม่แม้แต่จะชายตามองอีกฝ่าย
“ข้าไม่ได้เป็คนสั่งให้ทุบตีแม่ของเ้าจนตาย”
“เ้าคิดว่าไป๋เสียนอันจะหนีรอดไปได้หรือ?” แววตาของไป๋หว่านหนิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างเข้มข้น นางไร้สติอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“พี่สาวที่แสนดีของข้า เ้าจากไปอย่างสงบเถิด ท่านพ่อจะไปอยู่กับพวกเ้าในไม่ช้า ส่วนข้าจะตบแต่งให้ไท่จื่อ และกลายเป็ฮองเฮาที่สูงศักดิ์ที่สุด! ฮ่าๆๆๆๆ”
ไป๋เซี่ยเหอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในสายตาของนางยังคงเป็ตำแหน่งฮองเฮา
ทั้งที่ลู่เป๋าเหยาพยายามคิดหาวิธีปกป้องบุตรสาวคนนี้จวบจนวินาทีสุดท้าย
“อย่าได้ด่วนสรุปเร็วเกินไปนัก!”
“เส้นทางนี้เป็ข้าที่บุกเบิก ต้นไม้นี้ก็เป็ข้าที่ปลูก หากคิดจะผ่านเส้นทางนี้ละก็ ทิ้งสตรีที่จะมาเป็ฮูหยินของบิดาไว้สิ! ฮ่าๆๆๆๆ”
น้ำเสียงที่หยาบคายและลามกดังมาจากด้านนอก ตอนนี้รถม้าถูกล้อมจนไม่เหลือช่องว่างให้เคลื่อนที่แล้ว ม้ายกขาหน้าขึ้นสูงก่อนจะหยุดยืนอย่างมั่นคงด้วยความยากลำบาก
ภายในรถม้า
เมื่อเปรียบเทียบกับไป๋เซี่ยเหอที่สงบเยือกเย็นแล้ว
ไป๋หว่านหนิงกลับกลิ้งไปมาเจ็ดแปดตลบ ปิ่นปักผมบนศีรษะเล่มหนึ่งหล่นลงไปที่พื้นด้านนอก
“โอ้โห ข้างในมีสาวๆ นั่งอยู่ด้วย ดูปิ่นปักผมเล่มนี้สิ ประณีตงดงามนัก ย่อมต้องเป็บุตรสาวจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยเป็แน่”
จากนั้นก็มีน้ำเสียงลามกดังขึ้น “ได้ยินว่าคุณหนูผู้ร่ำรวยมีผิวพรรณละเอียดลออกันทุกคน ข้ายังไม่เคยััมาก่อนเลย”
ไป๋หว่านหนิงทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห ปิ่นปักผมของตนเองดันไปตกอยู่ในมือของคนพวกนี้ ทั้งยังถูกพวกเขากล่าวดูิ่อีก ทำให้นางโมโหเสียจนใบหน้าบิดเบี้ยว
นางะโด้วยความขุ่นเคืองโดยไม่สนใจอะไร
“เ้าพวกคนชั้นต่ำสมควรตาย พวกเ้าคู่ควรที่จะถือสิ่งของของคุณหนูผู้นี้ด้วยหรือ? รีบคืนมาให้ข้าเร็วข้า บิดาของข้าคือแม่ทัพใหญ่สกุลไป๋ หากพวกเ้ากล้าพูดหยาบคายอีกละก็ ข้าจะให้บิดาของข้าจัดการพวกเ้าเสีย!”
------------------------
[1] นางชาเขียว หมายถึง ผู้หญิงที่แสร้งทำตัวใสซื่อ
[2] อิ๋นทั่น หมายถึง วัสดุที่ประกอบด้วยเงินและคาร์บอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้