อวี๋ฉี่เจ๋อที่ตอนแรกออกมาจากเรือนฝั่งตะวันออกเพื่อเตรียมจะไปห้องอาบน้ำได้ยินประโยคนี้ของอวี๋เจียวเข้าพอดีท่ามกลางความมืดสลัว หัวคิ้วและดวงตาคู่งามของเขานิ่งขรึมภายในดวงตาฉายแววเย็นะเื ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวไม่เข้ากับวัย
อวี๋จือโจวเผยสีหน้าร้อนรนเมื่อได้ยินอวี๋เจียวเอ่ยประโยคนี้เอ่ยทั้งรอยยิ้มแข็งค้างว่า “แม่นางเมิ่งไม่ต้องพูดจาหยอกล้อแล้วจือโจวรู้ว่าตนไม่คู่ควร น้องห้ามีพร์ยากพานพบ น้องสี่ก็โดดเด่นเหนือผู้คนมีเพียงข้าที่ไม่มีอะไรควรค่าน่าชื่นชม แม่นางเมิ่งหน้าตางามจิตใจดีคู่ควรจะเป็หงส์คู่ั ข้าไม่คู่ควรเลยจริงๆ ”
อวี๋เจียวลอบหัวเราะเย้ยหยันหลังจากได้ฟังฝีปากของอวี๋จือโจวก็เก่งกาจทีเดียว เมิ่งอวี๋เจียวคงถูกเขาหลอกล่อเช่นนี้ถึงได้ทำเื่เช่นนั้นกระมังแต่น่าเสียดายที่แม่นางน้อยอายุสิบสี่ผู้นั้นไม่เจนโลกไม่อาจมองทะลุความคิดของเขาในคราเดียว
อวี๋ฉี่เจ๋อที่ยืนอยู่ข้างประตูทนฟังต่อไปไม่ไหวเขาหันกายเดินกลับห้องคนทั้งสองที่กำลังสนทนากันในลานเรือนไม่สังเกตเห็นเขาแม้แต่นิด
“พี่สามพูดอะไรกัน? เหตุใดต้องดูถูกตนเองถึงเพียงนี้ เ้าเอ่ยวาจาสง่าผ่าเผยเช่นนี้ออกมาก็เพราะไม่อยากแต่งกับข้าเท่านั้น”อวี๋เจียวเอ่ยวาจาเย้ยหยัน
อวี๋จือโจวนิ่งงันเล็กน้อยด้วยนิสัยโง่เขลาและหลอกล่อง่ายของอวี๋เจียว เหตุใดนางถึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา?
เขารีบแก้ต่างทันใด “แม่นางเมิ่งคิดผิดแล้ว ข้าล้วนแต่พูดจากใจจริงทั้งสิ้น...”
อวี๋เจียวขัดจังหวะเขาเพราะคร้านจะทนขายผ้าเอาหน้ารอดต่อไปเอ่ยออกไปตามตรงว่า “ข้ารู้ว่าเ้ากังวลอะไรแค่กลัวว่าข้าจะพูดเื่ที่เ้ายั่วยุให้ข้าไปข้องเกี่ยวกับอวี๋จิ่นเหยียนออกไปในเมื่อก่อนหน้านี้ข้าไม่พูด ภายหน้าย่อมไม่มีทางพูดจาซี้ซั้ว เพียงแต่...”
นางจดจ้องดวงตาของอวี๋จือโจว เอ่ยเตือนเสียงเย็น“เ้าก็อย่าได้ทำเหมือนข้าเป็คนโง่อีก ภายหน้าจงเลิกใช้แผนการอะไรกับข้าไม่เช่นนั้นหากเ้าคิดจะเอาตัวรอดเพียงคนเดียวอีกเช่นนี้คงจะไม่มีทางง่ายดายเหมือนครั้งนี้แล้ว”
บนใบหน้าของอวี๋จือโจวฉายแววละอาย ยังนึกคำกล่าวไม่ทันออกอวี๋เจียวก็หันหลังเดินกลับห้องไปเสียแล้ว
เช้าตรู่วันต่อมา คนสกุลมู่มาเยือนถึงจวนโชคดีที่สตรีแซ่ซ่งลุกขึ้นมาทำกับข้าวเอาไว้ั้แ่ย่ำรุ่งหลังคนสกุลอวี๋พึ่งจะกินข้าวเสร็จอวี๋หรูไห่จึงไปต้อนรับรถม้าจากสกุลมู่ให้เข้ามาในจวนด้วยตนเอง
คนสกุลมู่มาด้วยกันทั้งหมดเจ็ดถึงแปดคน อวี๋จิ่นซูกับอวี๋จิ่นเหยียนรออยู่ในลานเรือนเพื่อทักทายมู่เนี่ยนจิ่วเสียก่อน
“ท่านอา พวกเราถึงแล้วขอรับ”มู่เนี่ยนจิ่วเอ่ยเข้าไปในรถม้าอย่างนอบน้อม
มีข้ารับใช้เลิกม่านรถม้าแล้วประคองท่านอาของมู่เนี่ยนจิ่วลงจากรถม้าอวี๋หรูไห่รีบเดินเข้าไปต้อนรับ “เร็วเข้า เชิญข้างในห้อง”
ท่านอาของมู่เนี่ยนจิ่วแต่งกายโอ่อ่า ถึงแม้จะอายุประมาณสี่สิบแล้วแต่ท่าทางยังคงสง่างาม ไม่มีกลิ่นอายหยาบคายเช่นคหบดีร่ำรวยในชนบททว่าบนใบหน้าฉายแววเหน็ดเหนื่อย เขาพยักหน้าไปทางอวี๋หรูไห่เล็กน้อยจากนั้นปล่อยให้ข้ารับใช้ประคองเข้าไปในห้องโถง
หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ อวี๋หรูไห่สั่งให้คนไปเรียกอวี๋เจียวเข้ามาส่วนเขารีบเอ่ยวาจาถามไถ่กระชับมิตรกับท่านอาของมู่เนี่ยนจิ่ว
“ได้ยินมู่เนี่ยนจิ่วเอ่ยถึงท่านอาของเขาอยู่บ่อยครั้งบอกว่าเป็ผู้มีใจเมตตาในตำบล ครั้นได้มาพบคือผู้สุภาพอ่อนโยนเช่นที่คิดเอาไว้จริงๆ” อวี๋หรูไห่เอ่ยพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “พวกท่านกินข้าวเช้าแล้วหรือไม่? หากยังไม่กิน ข้าจะให้บรรดาแม่บ้านไปทำกับข้าวจำนวนหนึ่ง”
มู่เหยี่ยนรู้สึกไม่สบายตัว แผลพุพองบนแผ่นหลังเจ็บแสบเขาจึงฉีกยิ้มมุมปากอย่างขอไปที “กินมาแล้ว ท่านหมออวี๋ไม่ต้องเกรงใจ”
อวี๋หรูไห่ยังอยากจะทักทายอีกไม่กี่ประโยคทว่ามู่เหยี่ยนไม่มีน้ำอดน้ำทน เขาถูกโรคแผลพุพองทรมานมานานนิสัยอารมณ์ดีแต่เดิมกลับกลายเป็ขี้หงุดหงิด เคยตระเวนหาหมอทั่วทั้งอำเภอฉางขุยกระทั่งท่านหมอในเมืองชิงโจวก็ยังเคยไปพบเช่นกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจรักษาแผลพุพองบนหลังให้หายดี
แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ไม่เชื่อว่าสกุลอวี๋ที่อยู่ในหมู่บ้านกันดารจะสามารถรักษาแผลพุพองบนหลังได้มู่เนี่ยนจิ่วเปลืองวาจาไปมากมาย เพราะเห็นแก่หน้าสหายร่วมเรียนของหลานชายมู่เหยี่ยนถึงได้ยอมลำบากนั่งรถม้ามาสักหน
“ได้ยินเนี่ยนจิ่วบอกว่าท่านหมออวี๋สามารถรักษาโรคแผลพุพองบนหลังของข้าเช่นนั้นก็เชิญท่านหมออวี๋ตรวจอาการแล้วจัดเทียบยาเถิด” มู่เหยี่ยนเร่งเร้า