พอได้ยินเสียงฝีเท้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโเี้ก็หันมา คนคนนั้นคือซูเอ้อร์
โทสะพลันปะทุขึ้นในใจ ซูิเยว่หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาแล้ววิ่งพุ่งเข้าไป
ไม้ซักผ้าขนาดใหญ่กว่าหน้าถูกฟาดลงไป นางตีซูเอ้อร์จนเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะเอาคืน ได้แต่คำนับก้มหัวร้องขอชีวิตไม่หยุด
ดวงตาของซูิเยว่ในตอนนี้แดงก่ำ เหลือก็แต่นางยังไม่ได้ตีคนผู้นี้ให้ตาย สุดท้ายเป็อาเหนียนที่ร้องเรียกเสียงอ่อนแรง “ท่านพี่ ปล่อยเขาไปเถิด ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต มาเอาชีวิตไปแลกกับเดรัจฉานเช่นนี้มันไม่คุ้มหรอก”
ซูิเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง สติค่อยๆ กลับมา ซูเอ้อร์อาศัยจังหวะนี้กระโจนตัวขึ้นมาแล้วผลักนางออกก่อนจะหนีไปด้วยสภาพสะบักสะบอม
พอเห็นซูเอ้อร์วิ่งหนีไปไกลแล้ว ซูิเยว่ก็โยนไม้ในมือทิ้ง ขานางสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปหาและกอดศีรษะของอาเหนียนแน่นพร้อมพูดเสียงสั่น “น้องชายอย่ากลัวนะ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เกิดเื่กับเ้าอีก”
“ท่านพี่....” อาเหนียนประดักประเดิดอยู่ครู่หนึ่ง ในหัวว่างเปล่าไปหมด รู้สึกว่าอ้อมกอดของพี่สาวทำให้เขาไม่เป็ตัวของตัวเอง ตอนก่อนที่ครอบครัวยังไม่เกิดเื่อะไร ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น
แววตาของซูิเยว่พลันเปล่งประกายแสงเฉียบคม
หลู่ซื่อ สตรีชั่วช้าผู้นี้ ตนกับนางไม่มีทางอยู่ฝั่งเดียวกันได้!
ขณะเดียวกัน หลู่ซื่อกำลังนอนเหยียดยาว เ็ปที่สูญเสียไก่หลายสิบตัวกับไข่ไก่ไป นางก็เห็นลูกชายคนที่สองวิ่งไวๆ เข้ามา ตอนที่วิ่งมาถึงหน้าประตูเขาก็สะดุดแล้วถลันพุ่งไปข้างเตียงนาง
หลู่ซื่อบ่นอย่างรำคาญ “ทำอะไรน่ะ ไม่รู้เื่รู้ราว เดินระวังๆ ไม่ได้หรือไง?”
ซูเอ้อร์อ้าปากส่งเสียง “อาอา” อย่างคนเป็ใบ้ออกมา สองมือพยายามทำไม้ทำมือเขียนอักษร
“เ้าพูดอะไรน่ะ?” จากสีหน้ารังเกียจท่าทางประหลาดก็เปลี่ยนมาตกตะลึง หลู่ซื่อลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็วก่อนพูดด้วยความใ “เ้าบอกว่าสองพี่น้องนั่นยังไม่ตายอย่างนั้นหรือ!”
เมื่อรู้ว่ามารดาเข้าใจแล้ว ซูเอ้อร์ก็พยักหน้าหนักๆ หนึ่งที
“าแบนตัวเ้าก็ถูกนางตีมาหรือ?” หลู่ซื่อเห็นใบหน้าของลูกชายบวมแดงจึงเอ่ยถาม
แม้ซูเอ้อร์จะเป็ใบ้แต่ก็รู้จักอับอาย เขาพยักหน้าอย่างโมโห
“ไร้ประโยชน์จริงๆ แค่เด็กสองคนก็จัดการไม่ได้”
แต่เพียงครู่เดียวหลู่ซื่อก็กลั้วหัวเราะด้วยสีหน้าชั่วร้าย “แบบนั้นก็ดี เ้าเป๋ที่ตีนเขานั่นยังรอให้นางไปเป็ภรรยาอยู่ ข้าเสียไก่สิบตัวไปแล้ว จะอย่างไรก็ต้องหาเงินกลับมาไม่ใช่หรือ?”
เสี่ยวหลินภรรยาของซูเอ้อร์เดินเข้ามาพร้อมกับซูต้า พอเห็นาแของสามีก็พูดออกมาเสียงดัง “ใช่เ้าค่ะ ไก่สิบตัวตายไปหมดแล้ว ตอนนี้จะฉลองปีใหม่ก็ทำไม่ได้แล้ว จะอย่างไรก็ต้องเอาเด็กคนนั้นไปแลกเงินกลับมา แล้วก็าแของสามีข้าอีก จะให้เขาเจ็บตัวเปล่าๆ ไม่ได้ ท่านแม่ หากท่านขายนางไปแล้วก็อย่าลืมให้ค่ายากับสามีข้าด้วยนะเ้าคะ”
หลู่ซื่อมองลูกสะใภ้คนนี้ก็นึกรำคาญ ช่างโลภมากเหลือเกิน วันๆ เอาแต่คิดหาวิธีหลอกเอาเงินจากนาง
ซูต้าไม่เห็นด้วย เขายกมือขึ้นมาดึงแขนเสื้อหลู่ซื่อแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ข้าจะเอาภรรยา หาภรรยาให้ข้าสักคนเถิด”
“เฮ้อ เ้าอย่างอแงนักเลย” หลู่ซื่อโบกใส่เขาไปหนึ่งทีอย่างรำคาญ ต่อมาดวงตาของนางก็เปล่งประกายขึ้น
จริงด้วย เหตุใดนางถึงคิดไม่ได้กันนะ เ้าลูกโง่ของนางยังหาภรรยาไม่ได้นี่ สู้ให้แม่หนูนั่นมามีลูกให้เขาไม่ดีกว่าหรือ? รอจนเด็กเกิดมาแล้วค่อยขายนางทิ้งไปก็ไม่สาย
ความคิดชั่วร้ายแบบนี้มีแค่หลู่ซื่อเท่านั้นที่คิดได้
“ท่านพี่ พวกเราหนีกันเถิด” อาเหนียนเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ก็รีบคว้ามือของซูิเยว่มาจับด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“น้องชาย เหตุใดถึงต้องหนีด้วย?” ซูิเยว่กำลังจะตรวจาแของเขา พอได้ยินคำพูดนี้ก็เงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ
“หลู่ซื่อไม่มีทางปล่อยพวกเรา”
พอได้ยินน้องชายพูด ซูิเยว่ก็ยิ้มพร้อมใช้สมุนไพรมาถูตรงคอที่มีรอยแดงอยู่รอบๆ “พวกเราไม่ใช่ไม่มีบ้านอยู่ที่นี่เสียหน่อย พวกลุงๆ ป้าๆ ในหมู่บ้านนี้ต่างก็เห็นพวกเราั้แ่เกิด หลู่ซื่อคิดว่าจะยึดไว้ได้อย่างนั้นหรือ?”
แต่หลู่ซื่อก็ยึดเอาไว้แล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้คงไม่ทำกับพวกเขาเช่นนี้
อาเหนียนคิดว่าซูิเยว่จำเื่แต่ก่อนไม่ได้ ตอนที่เขากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ซูิเยว่ก็พูดเสียงเข้มออกมา “อาเหนียน เ้าวางใจเถิด นางเป็แค่สาวชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้ข้าสติเลอะเลือนไป แถมเ้าก็ยังเด็ก ไม่มีกำลังจะทำอะไร แต่ตอนนี้พี่ไม่ได้เลอะเลือนแล้ว หากนางอยากรังแกข้าก็ต้องดูด้วยว่าจะอดทนได้สักแค่ไหนกันเชียว”
“ท่านพี่ แต่ว่า....” อาเหนียนยังคงกลัว ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความร้อนใจ
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน [1] พวกเราหนีมาจากเมืองหลวงแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว”
อาเหนียนชะงักค้างไป เนิ่นนานกว่าใบหน้านั้นจะเปลี่ยนมาเศร้าซึม
ตอนนี้เองที่ด้านนอกมีเสียงร้องไห้ดังลั่นขัดการสนทนาของสองพี่น้อง ซูิเยว่ร้องเอ๋ก่อนจะหันไปมองทางประตูอย่างประหลาดใจ
นางเดินไปหน้าประตูก็ได้ยินเสียงอาเหนียนไล่หลังมา “ลูกชายของหวังต้าหลี่ที่อยู่บ้านข้างๆ ถูกงูกัดตายไปเมื่อสองวันก่อน วันนี้จึงเอาไปฝัง”
“แอ๊ด” ซูิเยว่เปิดประตูก็เห็นกลุ่มขบวนส่งศพกำลังเดินผ่านหน้าตัวเองไป
คนในหมู่บ้านไม่ได้พิธีรีตองอะไรมาก ใช้เพียงเสื่อใหม่ห่อศพเอาไว้และให้หวังต้าลี่ผู้เป็พ่ออุ้มไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับเดินไป ส่วนหลิวซื่อผู้เป็ภรรยาของหวังต้าลี่ก็วิ่งไปพลางจับมือลูกชายที่ตายไปแล้วแน่น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาตลอดทาง สองสามีภรรยาคู่นี้มีลูกซึ่งเลี้ยงดูมาอย่างดีตลอดสิบปีเพียงคนเดียว แต่ลูกกลับด่วนจากไปเสียแล้ว
อาจเพราะร้องไห้เสียใจมากเกินไป หลิวซื่อจึงเป็ลมล้มลงไปกับพื้นทันที
เพียงครู่เดียวคณะส่งศพก็ออเข้ามารวมตัวกัน สตรีวัยกลางคนหลายคนล้อมหลิวซื่อเอาไว้ มือก็พัดไล่ความร้อนให้นาง ทั้งยังพูดปลอบใจว่าคนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก...และอื่นๆ อีกมากมาย
สายตาของซูิเยว่กลับถูกมือเล็กของศพเด็กที่อยู่ในเสื่อดึงดูด
“รอเดี๋ยว” รอจนกระทั่งหลิวซื่อได้สติถูกคนพยุงไป ในที่สุดซูิเยว่ถึงได้เอ่ยออกมา
เสียงของนางอ่อนหวานไพเราะ ทั้งยังแฝงไปด้วยทำนองน่าฟัง ยากที่จะไม่ให้คนหันมาสนใจ
ซูิเยว่สาวเท้าเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่มองมาทางนางทีละก้าว ตอนที่เดินมาถึงหน้าหวังต้าลี่ก็เอ่ยปากพูด “วางเขาลง ข้าช่วยเขาได้”
คำพูดนี้ทำเอาผู้คนตกตะลึงนิ่งค้างเหมือนถูกฟ้าผ่า
“ที่แท้ก็คนสติเลอะเลือนนี่เอง เด็กคนนี้ตายไปสองวันแล้ว จะบอกว่าช่วยชีวิตเขาได้หรือ?”
“ไป ไป อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระเลย”
“ต้าลี่เอ๋ย ไปเถิด เมื่อครู่ก็เสียเวลาไปครู่หนึ่งแล้ว หากพลาดเวลานี้ไปจะเอาฝังลงดินก็คงไม่ดีแล้ว”
กลุ่มคนพูดกันเสียงจอแจ เดิมหวังต้าลี่นั้นใกับประโยคที่ซูิเยว่บอกว่า “ข้าช่วยเขาได้” พอได้ยินคำพูดของชาวบ้านถึงได้สติกลับมา
ใช่แล้ว นางผู้นี้เป็คนสติเลอะเลือนนี่นา เขาจะไปคาดหวังอะไรได้?
ความหวังลุกโชนในแววตาของหวังต้าลี่มอดลง แต่ภรรยาของเขากลับคิดเป็จริงเป็จัง นางจับมือซูิเยว่แล้วพูดอย่างร้อนใจ “เ้าพูดจริงหรือ? เ้าช่วยชีวิตลูกชายข้าได้จริงหรือ?”
ซูิเยว่พยักหน้า “ใช่ ข้าช่วยเขาได้”
หวังต้าลี่ขมวดคิ้ว หลิวซื่อไม่สนใจว่าในประโยคนี้จะมีความจริงอยู่เท่าไร นางรีบไปแย่งลูกชายมาส่งให้ซูิเยว่
“ฮุ่ยหยิง แม่นี่เป็แค่คนสติเลอะเลือน เ้าอย่าได้คิดเป็จริงเป็จังไปเลย” หวังต้าลี่พูดอย่างร้อนใจ หนึ่งคือไม่อยากให้เวลาฝังศพลูกชายล่าช้า สองคือไม่อยากให้ภรรยาถูกผู้คนเอาไปพูดนินทา
เชิงอรรถ
[1] 兵来将挡水来土掩 ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินกลบ หมายถึง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้พลิกแพลงรับมือไปตามสถานการณ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้