ทั้งสามคนคุกเข่าลงกับพื้นทันที เสี่ยวอวี่ร้องไห้พร้อมพูด “หนูปีเองก็ไม่ทราบเ้าค่ะ คืนนี้จู่ๆ ก็มีคนชุดดำบุกเข้ามา คุณหนูจึงพาพวกเราหนีออกมานอกจวน แต่กลับเจอโจรดักซุ่มรออยู่นอกจวนอีก บังเอิญคนติดตามขององค์ชายสามผ่านมาทางนี้พอดีจึงช่วยพวกเราเอาไว้ คุณหนูจึงบอกว่านางจะเข้าไปขอบคุณองค์ชายสามด้วยตัวเองเ้าค่ะ อีกเดี๋ยวก็กลับแล้ว“
หลินโม่พอฟังจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง แววตายากจะเข้าใจ เขาสะบัดแขนเสื้อหนักๆ หนึ่งที “อี้จูไปตรวจสอบที่มาที่ไปของนักฆ่าพวกนี้ แล้วก็ครั้งนี้พวกเ้าสี่คนทำงานพลาด ไปรับโทษโบยหนึ่งร้อยทีที่หอรับโทษ”
“ขอรับ”
“เมื่อคุณหนูกลับมาก็ให้นางไปหาข้าที่ห้องตำรา”
“เ้าค่ะ” เสี่ยวอวี่รับคำ
หลินโม่พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไป เื่ราวฆ่าฟันชวนขวัญผวาก็ได้จบลง ‘เช่นนี้’
อีกด้านหนึ่ง เพียงเวลาไม่นานจิ่งฉือกับิจิ่วก็พาซูิเยว่มาถึงจวนองค์ชายสาม
จวนองค์ชายสามอยู่ใกล้กับชานเมือง พื้นที่กว้างมาก การคุ้มกันภายในจวนก็แ่า พอเข้าไปก็รู้สึกถึงความกดดันพุ่งเข้ามา ทุกสิบก้าวจะมีองครักษ์หนึ่งคนคอยเฝ้าไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองครักษ์เงาที่ไม่รู้ว่ามีอยู่อีกเท่าไร
ซูิเยว่ตามอยู่ด้านหลังจิ่งฉือกับิจิ่ว ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไรกว่าจะถึงเรือนหลังที่จี๋โม่หานอยู่ ถึงแม้ภายในจวนจะเงียบเชียบ แต่ทิวทัศน์ก็ถือว่าไม่เลว มีศาลาให้พักผ่อน เสาแกะสลักก็สวยงาม
เรือนหลังแทบจะปลูกต้นไผ่เอาไว้เต็มไปหมด เวลาถูกลมพัดก็จะเกิดเสียงดังแซ่กๆ ทำให้รู้สึกถึงความลึกลับที่ปล่อยออกมา
ซูิเยว่พิจารณาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ในใจอดที่จะร้องจุ๊ๆ ไม่ได้
“ถึงแล้วเ้าค่ะ” ิจิ่วกับหลิงชวนหยุดอยู่หน้าประตู จากนั้นก็หันกลับไปมองซูิเยว่ “รบกวนคุณหนูรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานเ้านายด้านในเสียก่อน”
“ได้สิ” ซูิเยว่พยักหน้า อย่างไรตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไม่แน่เขาคงจะพักผ่อนไปแล้ว
หลิงชวนผลักประตูเข้าไป แต่เพียงครู่เดียวก็ออกมา “เ้านายมีรับสั่งให้เชิญเข้าไปขอรับ”
ซูิเยว่เดินไปด้านใน แต่พวกหลิงชวนไม่ได้ตามมาด้วย จากนั้นประตูที่อยู่ด้านหลังก็ปิดลงทันที
ฝีเท้าของซูิเยว่ชะงักไปเล็กน้อย ห้องของจี๋โม่หานให้ความรู้สึกเยือกเย็น พอเข้ามาก็มีความกดดันพุ่งเข้าหา
หลังผ้าม่านภายในห้องมีเงาลางๆ ของคนคนหนึ่งนั่งอยู่ ซูิเยว่เดินเข้าไปเปิดผ้าม่านออกแล้วเข้าไปด้านในห้อง
จี๋โม่หานสวมชุดตัวกลางสีขาวปลอด บนตัวคลุมด้วยเสื้อคลุมสีเข้ม เขานั่งหลับตาเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ ผมไม่ได้ถูกกวานมัดเอาไว้ แต่ปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ดูจากท่าทางคงกำลังจะพักผ่อนแล้ว
ในตอนนั้นซูิเยว่ก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมา นางจึงเดินไปยืนตรงหน้าของจี๋โม่หานแล้วพูดเสียงเบา “หม่อมฉันซูิเยว่ถวายบังคมเพคะ องค์ชายสาม”
จี๋โม่หานขยับตัวหันหน้ามองซูิเยว่น้อยๆ แล้วพยักหน้า “ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก นั่งเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ องค์ชายสาม” ซูิเยว่เดินไปนั่งตรงข้ามจี๋โม่หาน “ดึกขนาดนี้แล้วยังมารบกวนองค์ชายสาม ขอองค์ชายสามโปรดอภัยด้วยเพคะ”
จี๋โม่หานไม่ได้พูดอะไร
ซูิเยว่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ที่หม่อมฉันมาหาดึกขนาดนี้ก็เพื่อมาขอบคุณองค์ชายสามที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้เพคะ หม่อมฉันรอดปลอดภัยได้อีกครั้งก็เพราะองค์ชายสามยื่นมือเข้ามาช่วย”
ความจริงแล้วนางยังมีปัญหาอยู่เล็กน้อย เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหน
ริมฝีปากจี๋โม่หานยกยิ้มขึ้นแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “ก็แค่ยื่นมือเข้าไปช่วยเท่านั้น คุณหนูซูไม่ต้องเก็บเอาไปใส่ใจหรอก”
ซูิเยว่เกือบถูกรอยยิ้มของจี๋โม่หานทำให้จิตใจสั่นไหว นางกัดฟันแล้วพูดต่อ “ที่จริงแล้วหม่อมฉันยังมีปัญหาบางอย่างอยากจะถามองค์ชายสามสักหน่อยเพคะ”
“คุณหนูซูว่ามาเถิด” จี๋โม่หานเลิกคิ้ว ั้แ่ต้นจนจบสีหน้าเขาก็เรียบนิ่งมาก เหมือนกับไม่ได้อยากรู้เป้าหมายที่ซูิเยว่มาในครั้งนี้เลยสักนิด
“หม่อมฉันอยากจะถาม” ซูิเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจให้มั่นคง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์ชายสามรู้เื่มากน้อยแค่ไหนกันแน่เพคะ?”
จี๋โม่หานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงเบาออกมา “ที่คุณหนูซูว่ามานั้นหมายถึงเื่ไหนหรือ?”
ซูิเยว่กำหมัดแน่น ในใจเริ่มระมัดระวังขึ้นมา “องค์ชายสามรู้ความหมายที่หม่อมฉันจะสื่อเพคะ ลูกน้องขององค์ชายสามช่วยหม่อมฉันมาแล้วสองครั้ง หม่อมฉันไม่เชื่อว่ามันเป็แค่เื่บังเอิญเพคะ”
ในใจของซูิเยว่ตอนนี้ยุ่งเหยิงไปหมด นางกับจี๋โม่หานนับๆ ดูแล้วก็เคยเจอกันแค่สองสามครั้งเท่านั้น ทั้งยังเป็การพูดคุยกันแค่ผิวเผินอีก
จี๋โม่หานสงสัยในตัวนางั้แ่เมื่อไหร่ เขารู้เื่ของนางมากน้อยแค่ไหนกันแน่ หรือว่าเขาจะเริ่มสะกดรอยตามตนั้แ่ต้น เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ในตอนนี้คำถามมากมายเหล่านี้ก็เหมือนกับเมฆหมอกมาปกคลุมตรงหน้านาง
ความจริงแล้วที่ซูิเยว่มาหาจี๋โม่หานในคืนนี้เพื่อขอบคุณนั้นเป็เื่รอง เื่หลักก็คืออยากรู้ว่าจี๋โม่หานมีเป้าหมายอะไรกันแน่
จี๋โม่หานไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่ซูิเยว่ถามคำถามพวกนี้ออกมา เขาผ่อนคลายร่างกายแล้วเอนพิงเก้าอี้ จากนั้นก็ถามกลับด้วยท่าทางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เช่นนั้น คุณหนูซูอยากรู้อะไรจากเปิ่นหวังอย่างนั้นหรือ?”
ซูิเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง นางไม่เข้าใจคำพูดของจี๋โม่หาน ภายในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศก็แข็งค้างขึ้นมาทันที
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ซูิเยว่ถึงได้รวมคำถามทั้งหมดเป็คำถามเดียว “เช่นนั้น หม่อมฉันจะถามคำถามสุดท้ายกับองค์ชายสาม พระองค์กับหม่อมฉันเป็มิตรหรือศัตรูเพคะ?”
ถ้าจี๋โม่หานไม่ได้เป็พวกเดียวกันกับนาง เช่นนั้นบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้สองครั้งนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
ใบหน้าของจี๋โม่หานเองก็ปรากฏอาการตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จู่ๆ พอเจอคำถามนี้ของซูิเยว่เข้าไปก็ทำให้ใเหมือนกัน จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “ข้าไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องกับคุณหนูซูได้ แต่ข้าบอกเ้าได้ว่า พวกเราไม่มีทางเป็ศัตรูกัน”
ซูิเยว่จับสังเกตได้แล้ว ประโยคที่จี๋โม่หานพูดไปนั้นใช้คำว่าข้าไม่ใช่เปิ่นหวัง
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น” ซูิเยว่ยกยิ้ม จี๋โม่หานคนนี้เป็คนที่มีความคิดลึกล้ำมาก หากคิดจะเป็ศัตรูกับเขาคงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดมากนัก
จี๋โม่หานเลิกคิ้ว “เช่นนั้นคุณหนูยังมีคำถามอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้ว” ในใจของซูิเยว่เบาลงอย่างประหลาด คืนนี้นางใจนขวัญหายไปหมดแล้ว
แต่ถึงตอนนี้จะทำความเข้าใจกับจี๋โม่หานแล้ว นางก็ยังไม่มีทางเชื่อบุรุษตรงข้ามทั้งหมดอยู่ดี “แล้วก็ต่อไปองค์ชายสามสั่งไม่ให้ลูกน้องสะกดรอยตามหม่อมฉันอีกได้หรือไม่เพคะ?”
ซูิเยว่ไม่เชื่อว่าสองครั้งนี้จะเป็ความบังเอิญ เช่นนั้นก็มีความเป็ไปได้อย่างเดียวคือจี๋โม่หานสงสัยนางมานานแล้ว
จี๋โม่หานฟังจบแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ น้ำเสียงที่ซูิเยว่พูดกับเขาเมื่อครู่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง
ตอนนี้คำพูดก็เริ่มสบายๆ ไม่คิดมาก “ได้สิ แต่เปิ่นหวังก็ไม่ถือว่าสะกดรอยตามนะ อย่างไรชีวิตของเ้าสองครั้งนี้ก็เป็เปิ่นหวังที่ช่วยเอาไว้”
ซูิเยว่มองจี๋โม่หานด้วยความสงสัย ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขาเท่าไร
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้ใกล้ชิดกับจี๋โม่หาน นางรู้สึกแค่ว่าคนคนนี้เ็าและห่างเหินเข้าใกล้ยาก อีกทั้งยังมีข่าวลือออกมาว่าองค์ชายสามนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่เหมือนกับข่าวลือที่ว่ามาเลย
“องค์ชายสาม ท่านสงสัยข้าั้แ่เมื่อไหร่เพคะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้