สยฺงไป่เหยียนและจี้เจียงหยวน อันที่จริงไม่มีใครชนะโจวเฉิงได้อย่างแท้จริง
แต่พวกเขาเลือกแข่งขันในด้านที่โจวเฉิงถนัด มันยากยิ่งนักที่จะบรรลุผลลัพธ์เช่นนี้ได้
โจวเฉิงเองก็ค่อนข้างเสียเปรียบ วิ่ง 10 กิโลเมตรเสร็จก็แข่งยิงปืนต่อทันที กำลังกายยังไม่ได้รับการฟื้นฟูแม้แต่น้อย ทว่าการแข่งยิงปืนนั้นเป็การยิงเป้านิ่ง ระยะทางยิงเท่ากัน อาวุธปืนแบบเดียวกัน วงแหวนสิบคะแนนก็คือคะแนนที่ดีที่สุด ไม่ว่าระดับความสามารถสูงสุดของจี้เจียงหยวนจะเป็เช่นไร อย่างไรเสียเขาถึงระดับที่สามารถยิงเข้าใจกลางเป้าแล้วน่ะสิ
ในด้านการยิงปืนนี้ จี้เจียงหยวนมีระดับความสามารถของนักกีฬาเลยทีเดียว
เมื่อพิจารณาจากจุดนี้ โจวเฉิงคิดว่าตัวเขานั้นแพ้
ตอนแข่งขันวิ่ง 10 กิโลเมตรเขาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อคู่แข่ง แม้สุดท้ายจะชนะอย่างฉิวเฉียด ทว่านี่คือความทะนงตนของเขา
นึกไม่ถึงว่าท่ามกลางนักศึกษาใหม่หัวชิงจะมีคนที่มีทักษะการยิงปืนน่าชื่นชมเช่นนี้ จี้เจียงหยวนเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้โจวเฉิงย้อนกลับมาพิจารณาตนแล้ว ตอนผู้บังคับบัญชาหลี่สั่งให้เขามาคุมการฝึกทหาร โจวเฉิงยังยินดีมากด้วยซ้ำ เขาคิดว่า ‘การลงโทษ’ เช่นนี้คือการให้รางวัลอย่างแอบแฝงดีๆ เสียอีก
โดยปกติหัวหน้าคณะครูฝึกวิชาทหารจะไม่รับผิดชอบโดยเ้าหน้าที่ระดับโจวเฉิง ดังนั้นการถูกลดขั้นลงมานำนักศึกษาทหารกลุ่มหนึ่งย่อมเป็การลงโทษที่มีต่อเขา
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานผู้เป็คนรักเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยหัวชิง โจวเฉิงจึงยินยอมพร้อมใจที่จะมานำการฝึกทหารในครั้งนี้
ตอนนี้โจวเฉิงดูเหมือนเข้าใจนัยยะที่ผู้บังคับบัญชาหลี่้าสื่อ “เรียนรู้จากกันและกัน ก้าวหน้าไปพร้อมกัน” ผู้บังคับบัญชาหลี่ใช้นักศึกษาหัวชิงปลุกเขาให้ตื่นสินะ?
ยังมีการตอบสนองจากคนในครอบครัว จดหมายจากเสี่ยวหลานฉบับนั้น หลายๆ อย่างรวมเข้าด้วยกัน ทำให้โจวเฉิงจมดิ่งลงสู่การไตร่ตรอง ในสายตาของเซี่ยเสี่ยวหลาน โจวเฉิงราวกับกำลังหลงทาง
และใช่ โจวเฉิงคือชายหนุ่มที่แม้แต่ปลายผมยังเจือไปด้วยความทะนงตน ท่ามกลางนักศึกษาหัวชิงมากมายเช่นนี้ หัวหน้าครูฝึกอย่างเขาไม่ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น สำหรับโจวเฉิงถือว่าพ่ายแพ้แล้ว?
เซี่ยเสี่ยวหลานเริ่มสังเกตการเคลื่อนไหวของโจวเฉิง
ในที่สุดก็พบโจวเฉิงอยู่คนเดียวในตอนหัวค่ำ
“เดินเล่นหรือ?”
โจวเฉิงมองเธอ “นักศึกษาเซี่ย มื้อเย็นทุกวันคุณกินไม่อิ่มไม่ใช่รึ ตอนนี้คุณเคลื่อนไหวเยอะ ก็ต้องเผาเผลาญเยอะนะ”
ไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจหลบหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่เขายังคิดไม่ออกว่าจะตอบคำถามของเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างไรดี และเมื่ออยู่ใกล้เซี่ยเสี่ยวหลานมากเกินไปก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ที่นี่คือสถานที่ฝึกวิชาทหารในมณฑลจี้เป่ย มีนักศึกษาหัวชิงกว่า 2000 คนเข้าร่วมการฝึก ดังนั้นโจวเฉิงไม่้าให้มีคนวิพากษ์วิจารณ์เซี่ยเสี่ยวหลานลับหลัง ในเมื่อควบคุมไม่ได้ ก็เว้นระยะห่างที่ปลอดภัยไว้เสีย เพราะยามอยู่ต่อหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน เจตจำนงของโจวเฉิงมักจะอ่อนไหวอยู่ร่ำไป
เซี่ยเสี่ยวหลานเอาแต่มองเขาอย่างนั้น โจวเฉิงจึงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ถ้าเธออยากปลอบใจฉัน ไม่จำเป็หรอก ฉันไม่ได้เก็บเื่แข่งขันเมื่อตอนบ่ายมาใส่ใจ”
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายหน้า “ฉันไม่ได้มาปลอบเธอเสียหน่อย พวกเขาคนหนึ่งเป็นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านกีฬา อีกคนเป็แชมป์ระดับภูมิภาคของการแข่งยิงปืนรณยุทธนานาชาติ จริงอยู่ที่ความแข็งแรงกับทักษะยิงปืนคือสิ่งพื้นฐานที่เธอควรมี แต่ไม่มีการกำหนดว่าคนอื่นเขาจะเชี่ยวชาญสองอย่างนี้ไม่ได้ไม่ใช่รึ? ถ้าต้องสู้กันอย่างเอาเป็เอาตาย พวกเขาสองคนอาจต้านเธอได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ... เื่นี้ไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือเื่คราวก่อนของเธอ”
สมกับเป็คนใจร้อน กระทั่งการฝึกทหารยังทนรอให้ผ่านไปไม่ได้
โจวเฉิงหมดหนทางรับมือเธอแล้ว
“อืม ฉันจะฟัง เธอพูดเถอะ”
“บอกมาก่อนดีกว่าว่าทำไมเธอไม่ตอบจดหมายฉัน! คำถามในจดหมายของฉัน ทำให้เธอลำบากใจหรือ?”
เป็อย่างที่คาด ไม่พ้นเื่จดหมายนี่จริงๆ
โจวเฉิงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “มันทำให้ฉันลำบากใจจริงๆ ปัญหาที่เราเคยคุยกันครั้งก่อน เธอพูดถึงมันอีกครั้งอย่างชัดเจนมาก... เสี่ยวหลาน คำถามของเธอทำให้ฉันรู้สึกสับสน”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เขียนจดหมายส่งไปเพื่อแจ้งสถานการณ์ และไม่ได้เขียนจดหมายส่งไปเพื่อขอเลิกรา
เื่ที่กวนฮุ่ยเอ๋อมาหาเธอ หากเป็เื่ที่กระทบถึงอนาคตของโจวเฉิง เธอย่อมเข้าใจได้ที่กวนฮุ่ยเอ๋อจะโกรธ มันคงไม่ต่างจากการที่โจวเฉิงทำให้เธอเสียเวลาในการเรียนไปสามปี เพราะหากเป็เช่นนั้นหลิวเฟินก็คงโมโหจนขอให้เลิกกัน คนตระกูลโจวไม่มีมุมมองที่คำนึงถึงเธอ คนที่พวกเขาจะคำนึงถึงเสมอคือโจวเฉิง นี่เป็สัจธรรมอันแน่นอน ลูกของใครคนนั้นก็รัก!
เซี่ยเสี่ยวหลานแถลงประเด็นหนึ่งในจดหมาย ชีวิตวัยรุ่นล้ำค่ายากจะหาสิ่งใดเปรียบ เธอกับโจวเฉิงสามารถคบกันได้ แต่ไม่เหมาะจะเดินเข้าประตูวิวาห์เร็วเกินไป
อย่างน้อยระหว่างการเรียนปริญญาตรีห้าปีนี้ เธอจะไม่แต่งงาน และหวังว่าโจวเฉิงจะเตรียมใจไว้
หลังจากจบปริญญาตรี จะศึกษาต่อหรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ยังไม่ได้ขบคิด
สิ่งที่เธอให้โจวเฉิงได้ในตอนนี้ มีเพียงคำสัญญาแห่งรักเท่านั้น
“การคบกันน่ะ ตราบใดที่พวกเราชอบกันและกันมันก็เพียงพอแล้ว มีความสุขเวลาที่มองอีกคน นี่ก็คือความชอบ! แต่การแต่งงานคือการมัดคนคนหนึ่งติดกับอีกคนหนึ่งไว้อย่างแ่า จากนิสัยของเธอ ถ้าตัดสินใจเลือกแล้วก็คือตลอดชีวิต ใขณะที่ฉันแม้เชื่อมั่นว่าตัวเองจะไม่ทรยศต่อคำสาบาน แต่ไม่รู้ว่าตัวฉันจะเป็ ‘ภรรยาที่ดี’ ได้หรือเปล่า! ในระหว่างที่พวกเราคบกัน พวกเราค่อยๆ คิดเื่พวกนี้เถอะ เธอลองไม่ต้องหวั่นใจว่าฉันจะหนีไป ส่วนฉันจะลองเชื่อมั่นในตัวเธอทั้งหัวใจ เป็คนรักที่ดีพร้อม ฉันย้อนกลับไปคิดถึงการกระทำบางอย่างของฉัน ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเธอเท่าที่ควรสินะ พวกเราทั้งคู่เป็มือใหม่ในด้านความรัก พวกเรามีเวลาในการเรียนรู้ไปพร้อมกัน...แต่โจวเฉิง พวกเราใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่ได้มีแค่ความรักเพียงอย่างเดียว ยังมีเื่อื่นที่สำคัญมากเหมือนกัน ฉันอยากให้เธอคิดดีๆ ว่าตัวเธอเอง้าเป็คนแบบไหน”
อาชีพนี้คือสิ่งที่โจวเฉิงชอบหรือ?
สิ่งที่คนคนหนึ่งชอบตอนอายุสิบกว่าปี เมื่อถึงตอนอายุยี่สิบกว่าปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้เวลามาทั้งสองชีวิต ยังไม่กล้าพูดเลยว่าสิ่งที่ตนเอง้าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง และยิ่งไม่กล้าพูดว่านิสัยของเธอนั้นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เนื่องจากชาติก่อนเธอได้กลายเป็เด็กกำพร้าั้แ่ยังเล็ก มี่เวลาหนึ่งที่ต้องอาศัยใต้ชายคาบ้านคนอื่น ภายหลังก็สู้งานด้วยตัวคนเดียวจากระดับล่าง เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าตนเอง ‘อิสระ’ มาก การที่กวนฮุ่ยเอ๋อถามเธอว่าชอบอะไรในตัวโจวเฉิง ก็เพราะคิดว่าเธอไม่ได้รวมโจวเฉิงลงในแผนชีวิตหรอกหรือ?
ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานบอกโจวเฉิงอย่างชัดเจน เมื่อเธอจบปริญญาตรี ไม่ว่าจะศึกษาต่อหรือไม่ ตราบเท่าที่ความรู้สึกของทั้งสองยังคงมั่นคงดังเดิม เธอจะแต่งงานกับโจวเฉิง เธอไม่ได้ใช้การเลิกรามาข่มขู่โจวเฉิง และจะให้โจวเฉิงเป็คนโอนอ่อนเสมอไม่ได้เช่นกัน เธออยากให้โจวเฉิงใคร่ครวญจนแน่ใจว่า้าสิ่งใดมากที่สุด
้าให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดไป สุขสันต์สำราญใจ?
หรือแค่้าแต่งงานไวๆ มีภรรยาและลูกพร้อมหน้าพร้อมตา ขอแค่ได้แต่งงาน ต่อให้คนที่จะเป็ภรรยาไม่ใช่เซี่ยเสี่ยวหลานก็ยอมรับได้?
เธอบอกการวางแผนชีวิตของตัวเองแก่โจวเฉิง เพราะ้าเป็ส่วนหนึ่งกับแผนชีวิตของโจวเฉิง
โจวเฉิงก้มหน้าลงมอง เขามองเห็นความจริงจังในดวงตาของเซี่ยเสี่ยวหลาน
เธอต้องไตร่ตรองมานานมากอย่างแน่นอน ถึงตัดสินใจจะแต่งงานหลังเรียนจบปริญญาตรี
ครั้งหนึ่งโจวเฉิงเคยถึงขั้นสงสัยด้วยซ้ำว่าเสี่ยวหลานไม่อยากแต่งงานโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ไม่อยากแต่งงานกับเขา แต่ไม่อยากแต่งงานกับใครทั้งนั้น! นั่นคือความมีสติอันเฉียบแหลมของโจวเฉิง และเขาก็เคยหลบหลีกวิกฤตการณ์ในสนามรบมากมายโดยอาศัยความมีสตินี้
ทว่าเสี่ยวหลานกำลังเปลี่ยนแปลง
เพราะการใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน หรือการคัดค้านจากมารดาของเขากัน ที่ทำให้เสี่ยวหลานเปลี่ยน?
เขายังนึกว่าหลังจากแม่ของเขาไปพบเสี่ยวหลาน เสี่ยวหลานน่าจะขอเลิกมากกว่าเสียอีก ใครจะรู้ว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เสี่ยวหลานกลับแสดงออกต่อเขาไม่เหมือนกับที่คาดไว้แม้แต่น้อย
เขาแค่มองเธออยู่อย่างนั้น มองเสี่ยวหลานที่พยายามคิดอย่างหนัก เป็ห่วงความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขา ทั้งที่เห็นได้ชัดว่ากำลังปลอบใจ แต่กลับพูดอ่อนโยนและอ้อมค้อมเหลือเกิน “ความผิดความชอบชั่วขณะหนึ่งตัดสินอะไรไม่ได้ เื่นี้ฉันเองก็มีส่วนที่ทำผิด ถ้าไม่ทำตัวอวดโอ้ขนาดนั้นในหน่วยงานของเธอ คงไม่เกิดเื่แบบนั้นตามมา... อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอเลื่อนขั้นไม่ได้เพราะเหตุนี้ พวกเราผ่านมันไปด้วยกันได้นะ ฉันเชื่อเธอ โจวเฉิง ไม่มีอะไรทำให้เธอล้มเหลวได้แน่!”
แววตาของเธอสุกสกาวเหลือเกิน โจวเฉิงอยากจูบเธอเหลือเกิน
และเขาก็ประทับจูบบนดวงตาเธอจริงๆ ขนตาของเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังกระพือ กระทบริมฝีปากของเขาจนรู้สึกจั๊กจี้ เปลือกตาเธอเย็นนิดๆ ทำให้รู้สึกว่าริมฝีปากของเขานั้นร้อนผ่าวอย่างชัดเจน
จูบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความใคร่ เป็เพียงความหวั่นไหวในใจที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย
เซี่ยเสี่ยวหลานชาวาบไปทั่วเปลือกตา เธอััได้ว่าริมฝีปากของโจวเฉิงผละออกไปแล้ว และได้ยินถ้อยคำรำพันจากโจวเฉิง
“เสี่ยวหลาน ฉัน้าเป็คนที่ให้เธอได้พึ่งพิง ทำให้ครอบครัวสบายใจ ทำให้องค์กรไว้วางใจ... ฉันอยากเป็ความภาคภูมิใจของทุกคน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้