หรงหว่านซีบรรจงอ่านจดหมายในมือครั้นอ่านจนจบจึงส่งไปให้ชูเซี่ย “เอาไปเก็บไว้เถอะ”
ชูเซี่ยได้ยินดังนั้นจึงไปหยิบกล่องเครื่องประดับขนาดเล็กจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อเปิดออก ข้างในกลับไม่ใช่เครื่องประดับเพราะล้วนแต่เป็จดหมายเช่นเดียวกับจดหมายฉบับนี้
ตลอดสามปี ทุกหนึ่งเดือนจะมีจดหมายจากเขามิเคยขาด
เขาคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบคำนึงถึงนางที่เป็สตรียังไม่ออกเรือน หากมีผู้ใดรู้ว่านางลอบส่งจดหมายให้บุรุษคงจะถูกผู้คนครหาเอาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ให้นางตอบจดหมายนางรู้ว่าภายในใจของเขาเฝ้ารอรับจดหมายจากนาง ในเมื่อไม่อาจพบหน้าหากมีสิ่งไว้ดูต่างหน้าย่อมเป็เื่ดี ทว่าทุกๆ ครั้งเขากลับเขียนทิ้งท้ายเอาไว้ว่า“ไม่ต้องคิดถึง ไม่ต้องตอบกลับ”
ไม่ต้องตอบกลับ นางสามารถทำได้ แต่ไม่ให้คิดถึง จะให้นางทำได้อย่างไร?
“คุณหนู กล่องนี้...จะเผาทิ้งดีไหมเ้าคะ?” ชูเซี่ยเอ่ย
“เก็บเอาไว้ให้ดี เอาไปรวมกับสิ่งของที่จะนำไปจวนเฉินอ๋องด้วย”หรงหว่านซีเอ่ย
“หือ? เอาไปจวนเฉินอ๋อง...นี่ไม่ได้นะเ้าคะคุณหนู? เสี่ยงเกินไปนะเ้าคะ”
“ไม่เป็อะไร เฉินอ๋องไม่มีทางตรวจค้นสิ่งของของข้าและต่อให้ค้นเจอก็ไม่มีทางใส่ใจ”
หากจดหมายเหล่านี้ยังอยู่ในจวนวันหนึ่งถูกใครมาพบเข้าย่อมหมายถึงหายนะ แต่หากให้ทำลาย... สายใยยังตัดไม่ขาดเหตุใดนางต้องทำลาย? นั่นคือของสำคัญของนางนางจะหักใจทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
หรงหว่านซีไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็อย่างไรไม่รู้ว่าความรักของพวกเขาจะยังคงอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีวันได้ก้าวออกจากความมืดมิดเพื่อพบแสงสว่างหรือไม่ไม่ว่าจะต้องร้างราหรือยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์ต่างเป็เื่ของอนาคตไม่อาจรีบร้อนตัดสินในตอนนี้
บนโลกใบนี้ นอกจากเื่ที่ต้องทำในวินาทีถัดไปก็ไม่มีสิ่งใดแน่นอนสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนผันทุกวินาทีวันนี้ไม่อาจล่วงรู้เื่ราวของวันพรุ่งนี้ หากยามนี้ยังไม่ถึงบทสรุปไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจบุ่มบ่ามตัดสินอะไรทั้งนั้น
จวนองค์รัชทายาท ณ เรือนหลังเล็กหลังสวนดอกไม้
“กูเหนียง* กูเหนียง...ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยกำลังเสด็จมาทางนี้แล้วเ้าค่ะจากที่หนูปี้ดูแล้ว น่าจะมาทางพวกเราเ้าค่ะ...” หญิงรับใช้นามเสี่ยวเถาวิ่งมาให้ห้อง
“เสด็จมาแล้วหรือ เสด็จมาจริงๆ แล้วหรือ...” ฉินอิ่งเยว่เอ่ยด้วยความดีใจ
“ใช่แล้วเ้าค่ะ หนูปี้ได้ยินบทสนทนาของเตี้ยนเซี่ยกับเสียวไห่เพคะต้องไม่ผิดอย่างแน่นอน ตรัสว่า...”เสี่ยวเถายังไม่ทันได้สาธยายถึงสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัส ทันใดนั้นเอ่ยว่า“กูเหนียงรีบแต่งหน้าแต่งตัวเถิดเ้าค่ะประเดี๋ยวองค์รัชทายาทก็จะเสด็จมาถึงแล้วเ้าค่ะ!”
เพราะองค์รัชทายาทตรัสว่า— หากไม่ใช่เพราะเ้าสาม้าแย่งผู้หญิงคนเดียวกันกับเปิ่นกงเปิ่นกงก็คงจะลืมฉินอิ่งเยว่ผู้นั้น เ้าสามจะจิตใจคับแคบเกินไปแล้ว!
ฉินอิ่งเยว่หันไปสั่ง “ไปเอาชุดกระโปรงสีขาวตัวนั้นออกมาเร็วหน่อย”
ส่วนนางรีบไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ถอดปิ่นหยกบนศีรษะเพื่อปล่อยให้เส้นผมสีดำสยายลงมาดุจน้ำตกทอดมองตนเองในกระจกและค่อยๆ ระงับสติอารมณ์...ภาพสะท้อนในกระจกคือหญิงงามบอบบางแววตาโศกเศร้า ช่างแลดูน่าสงสารยิ่งนัก
หลังรีบผลัดอาภรณ์เรียบร้อยนางสั่งให้เสี่ยวเถาเอาอาภรณ์ที่พึ่งเปลี่ยนไปเก็บ ส่วนตนเก็บปิ่นปักผมและสิ่งของบนโต๊ะเครื่องแป้งให้เรียบร้อยบนโต๊ะเครื่องแป้งจึงสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาเป็อย่างยิ่ง
“เยว่กูเหนียง... ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเสด็จมาแล้ว...”จางฝูไห่ผู้เป็ข้ารับใช้ข้างพระวรกายขององค์รัชทายาทร้องะโเข้ามาในเรือน
ขณะกล่าว องค์รัชทายาทได้เสด็จมาถึงหน้าประตูแล้ว
ฉินอิ่งเยว่เยื้องย่างฝีเท้าประดุจดอกบัวอย่างเชื่องช้าเพื่อออกไปต้อนรับที่หน้าประตูด้านนอกนางถอนสายบัวทำความเคารพและเอ่ย “หม่อมฉันถวายบังคมเตี้ยนเซี่ยเพคะ”
“อืม”เตี้ยนเซี่ยตอบกลับเพียงคำเดียวและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะกลมแค่ฟังจากน้ำเสียงก็สามารถรับรู้ได้ถึงความขุ่นเคือง
ฉินอิ่งเยว่ส่งสัญญาณบอกให้เสี่ยวเถาออกไปและปิดประตูห้อง
องค์รัชทายาทไม่พอใจแต่ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาฉินอิ่งเยว่ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดเช่นกันนางเพียงแต่เดินอ้อมไปทางด้านหลังขององค์รัชทายาทและบีบไหล่ให้เขา
“พอได้แล้ว...” ผ่านไปครู่หนึ่ง องค์รัชทายาทแตะมือนางและเอ่ย“ไม่ต้องบีบแล้ว”
“หม่อมฉันเห็นเตี้ยนเซี่ยแลดูไม่สบายพระทัยหม่อมฉันไม่เข้าใจเื่ในราชสำนัก สามารถทำได้เพียงเื่เล็กน้อยเหล่านี้เพื่อช่วยขจัดความกลัดกลุ้มให้เตี้ยนเซี่ยเพคะ”ฉินอิ่งเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
น้ำเสียงของนางแ่เบาแฝงความเ็ปเมื่อองค์รัชทายาทได้ยินจึงค่อนข้างแปลกใจ
หากจำไม่ผิด ฉินอิ่งเยว่มิใช่คนอ่อนแอและอมทุกข์เช่นนี้ แต่เป็ผู้ที่มักเอาแต่ใจยิ่งนัก
ครั้งนี้จึงหันกลับไปมองนาง
พบว่านางสวมอาภรณ์สีขาว เส้นผมดำเงางามสยายดุจน้ำตกเมื่อใบหน้าเอาแต่ใจที่งามล้ำตรึงใจผู้คนถูกแต่งแต้มเพียงเล็กน้อยกลับยิ่งแลดูโดดเด่นให้ความรู้สึกว่า “แม้ข้ามิคิดจะล่มบ้านล่มเมือง ทว่าใต้หล้ากลับยอมสยบอยู่ใต้ชายอาภรณ์”
หากสตรีอยากงามควรสวมอาภรณ์สีขาว คำกล่าวเช่นนี้ไม่ผิดสักนิดเมื่อเห็นสตรีเ่าั้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีสันฉูดฉาดจนชินตา เมื่อมาพบสตรีเช่นนี้จึงรู้สึกราวกับพบเห็นแสงสว่างโดยพลัน
“เ้าเป็อะไรไป? สีหน้าไม่สู้ดีนัก ไม่สบายอย่างนั้นรึ?” องค์รัชทายาทตรัสถาม
ฉินอิ่งเยว่ก้มหน้าพลางส่ายหน้าไปมา “ไม่เพคะ”
“ในเมื่อไม่ได้ป่วยแต่เหตุใดเปิ่นกงถึงรู้สึกว่าเ้าไม่เหมือนกับที่ผ่านมา?”
“ที่ผ่านมาของเตี้ยนเซี่ยคือเื่เมื่อนานเพียงใดเพคะ”ฉินอิ่งเยว่กล่าวอย่างเศร้าสลด “เตี้ยนเซี่ยไม่ได้เสด็จมาหาหม่อมฉันเป็เวลาหลายสิบวันแล้วเพคะ”
องค์รัชทายาทยกยิ้มเพราะรู้ว่าเหตุใดนางถึงแต่งกายเช่นนี้และเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้คงเป็เพราะไม่ได้พบเขามานาน เมื่ออาศัยอยู่ในจวนขนาดใหญ่นานวันเข้าจึงรู้สึกเบื่อหน่ายและคับข้องใจไม่น้อยกระมัง
“เตี้ยนเซี่ยทรงมีหญิงงามมากมายถึงเพียงนี้ทว่าหม่อมฉันกลับมีเพียงเตี้ยนเซี่ยผู้เดียว...”ฉินอิ่งเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นยิ่งกว่าเดิม นางค่อยๆซับหางตาและก้มหน้าลงเพื่อให้แลดูกล้ำกลืนมากกว่าเดิม
แท้จริงแล้วนางรู้ดีว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงเสด็จมาภายในจวนต่างเล่าลือกันว่าบ่ายวันนี้ พระพันปีทรงมอบหรงหว่านซีให้กับเฉินอ๋องเดิมที่องค์รัชทายาทคิดจะหรงหว่านซีให้ได้แค่นึกไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงวันเดียวจะเกิดเื่ผิดพลาดเช่นนี้
นางรู้ว่าเฉินอ๋องแย่งหรงหว่านซีก็เพราะนาง ด้วยเหตุที่เฉินอ๋อง้าแก้แค้นองค์รัชทายาท
นอกจากนั้นนางยังรู้มาโดยตลอดว่าเฉินอ๋องชอบนาง
หากองค์รัชทายาทรู้ถึงความเชื่อมโยงของเื่นี้มีความเป็ไปได้อย่างมากที่จะขุ่นเคืองนางคิดว่านางเป็ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องสูญเสียหรงหว่านซี แต่แล้วอย่างไรเล่า? องค์รัชทายาทจะทำการสับเปลี่ยนผู้หญิงกับเฉินอ๋องอย่างนั้นหรือ?แต่เขาผู้นี้เป็คนไม่ยอมขายหน้าเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกรุ่นโกรธนางมากเพียงใดก็ไม่อาจทำอะไรอย่างมากก็แค่ใช้วาจาระบายอารมณ์
แต่ด้วยความสามารถของนาง ขอเพียงนางได้พบองค์รัชทายาทนางย่อมสามารถทำให้องค์รัชทายาทไม่อาจระบายโทสะออกมา ไม่เพียงแต่ไม่อาจระบายโทสะนางยังสามารถทำให้องค์รัชทายาทรู้สึกลำพองใจ
ยามนี้หญิงในดวงใจของเขาถูกเฉินอ๋องแย่งไป ทว่าก่อนหน้านั้นหญิงในดวงใจของเฉินอ๋องก็ถูกเขาแย่งไปเช่นกันมิใช่หรือ?
เมื่อเห็นสตรีที่เฉินอ๋องปรารถนาแต่มิอาจหมดอาลัยตายอยากเพราะไม่ได้รับความรักจากเขาหากเป็บุรุษผู้มีความเชื่อมั่นในตนเองทั่วไป จะไม่นึกลำพองใจได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อนางยิ่งแสดงออกว่าตนโศกเศร้ามากเท่าใดองค์รัชทายาทก็จะยิ่งลำพองใจมากขึ้นเท่านั้น
ผลคือองค์รัชทายาทมองนางครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปจับจูงมือของนาง “มีงานราชกิจมากมาย เปิ่นกงไม่อาจปลีกตัวออกมาจึงหมางเมินเ้าเสียแล้ว”
ฉินอิ่งเยว่รับฟังอย่างว่าง่าย ทว่าภายในใจกลับยกยิ้มเย็นมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านเอาแต่ไปเสาะแสวงหาหญิงงาม?ท่านไม่ได้ไม่อาจปลีกตัวออกจากงานราชกิจแต่ท่านมัวหลงใหลเหล่าหญิงงามจนไม่อาจปลีกตัวออกมาเสียมากกว่ากระมัง?
ทว่าใบหน้าของนางกลับเผยสีหน้าว่านอนสอนง่ายยิ่งนัก นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับองค์รัชทายาทและเอ่ยอย่างออดอ้อน“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย... ไม่ได้หลงลืมหม่อมฉันไปแล้วจริงๆ ใช่ไหมเพคะ?”
*กูเหนียง เป็คำใช้เรียกหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานหรืออายุราว20 ต้น