บทที่ 13 เป้าหมายการลงทุนใหม่ กับความรู้สึกปลอดภัยอันน่าพิศวง
“หมัดหกประสาน เน้นการรวมพลังทั่วทั้งหกทิศ ความคิดแผ่ซ่านไปทั่วแปดด้าน พลังกำเนิดจากพื้นดิน เมื่อฝึกสำเร็จ สายตาไปถึง มือก็ไปถึง”
เซียวฉินฝึกกระบวนท่าหมัดอย่างละเอียด พร้อมทั้งอธิบายหลักการของวิชาอย่างลึกซึ้ง เข้าใจง่าย หลิงโม่ที่กำลังเฝ้าสังเกต ก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ ศิษย์พี่ผู้นี้ วิชา 'หมัดหกประสาน'ไม่ธรรมดา ไม่เหมือนศิษย์ชั้นนอกทั่วไปเลย
ไม่นานนัก หลิงโม่ก็จดจำได้คร่าวๆ อย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ท่านนี้ แซ่ว่าอะไรนะขอรับ”
“ข้าแซ่เซียว เซียวฉิน”
เซียวฉินหยุดการเคลื่อนไหว
แซ่เซียวหรือ? หลิงโม่พลันเชื่อมโยงอย่างน่าประหลาด แซ่นี้ราวกับเขียนคำว่า "ไม่ธรรมดา" ไว้บนใบหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะเปิด 'เนตรทิพย์ลิขิตฟ้า' เพื่อสำรวจอีกฝ่าย
【นาม: เซียวฉิน】
【อายุ: 18】
【รากฐานกระดูก: ไม่มี】
【ขอบเขต: เพิ่งเข้าสู่ ขั้นพลังปราณโลหิต】
【ลิขิตฟ้า: สีม่วง】
【การประเมิน: แม้รากฐานกระดูกจะธรรมดา แต่ความเข้าใจยอดเยี่ยม อุปนิสัยแน่วแน่ ภายนอกเหมือนก้อนหิน แต่ภายในซ่อนหยกงาม อนาคตจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่】
【เหตุการณ์ล่าสุด: สมบัติวิเศษ“หยกโบราณเจ็ดดารา”สมบัตินี้อายุเก่าแก่ ต้องดูดซับพลังปราณโลหิตเป็จำนวนมากเพื่อกระตุ้น ทำให้ขอบเขตของเซียวฉินจาก พลังปราโลหิตขั้นสิบ ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง】
...
หลังจากอ่านจบ หลิงโม่ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ศิษย์พี่เซียวฉิน มีลิขิตฟ้า‘สีม่วง’หรือนี่! หลิงโม่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เพราะอีกฝ่ายเป็เพียงศิษย์ชั้นนอก ที่ดูแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ หากไม่ใช่เพราะวิชาหมัดที่ยอดเยี่ยม และแซ่ที่ดึงดูดความสนใจ เขาคงมองข้ามไปแล้ว
เยี่ยม! ต่อไปจะค้นหาเป้าหมายการลงทุนตามแซ่ดีกว่า โดยเริ่มจากพวกแซ่เซียว แซ่เยว่ เพื่อโอกาสที่มากขึ้น(?)
อีกเื่หนึ่ง 'ลิขิตฟ้า' ที่ยอดเยี่ยม ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะราบรื่นเสมอไป อาจพบเจออุปสรรคและภัยพิบัติต่างๆ หากผ่านพ้นไปได้ ลิขิตฟ้าอาจแข็งแกร่งขึ้น หากผ่านไปไม่ได้ ลิขิตฟ้าก็อาจอ่อนแอลง หรือกระทั่งหายไป
ขณะที่ความคิดของหลิงโม่กำลังผุดขึ้นมา คิ้วของเซียวฉินก็ขมวดเข้าหากันอย่างกะทันหัน เขาเหลือบมองหวังหู่ที่อยู่ไม่ไกล แล้วกล่าวว่า
“ศิษย์น้องหลิงโม่ หากเ้ามีปัญหากับหวังหู่ ก็รีบจากไปเสียเถอะ”
“โอ้? หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
หลิงโม่ไม่เข้าใจ
“หอฝึกยุทธ์ของสำนักมีกฎอยู่อย่างหนึ่ง ศิษย์สามารถท้าประลองกันได้ และผู้ที่ถูกท้าประลองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้”
สีหน้าของเซียวฉินดูไม่ค่อยดีนัก
“นี่มันกฎอะไรกัน ไม่กลัวว่าจะทำร้ายคนหรือ”หลิงโม่เลิกคิ้ว
หมายความว่าหวังหู่จะจงใจมาหาเื่ท้าประลองกับเขาเป็แน่
“มีผู้าุโคอยดูแลอยู่ จึงไม่ถึงกับทำให้เกิดผลร้ายแรงนัก อย่างมากก็าเ็เล็กน้อย หรือได้รับบทเรียน”
เซียวฉินส่ายหน้าถอนหายใจ ฟังจากน้ำเสียงของเขา คงเคยได้รับบทเรียนเช่นนี้มาไม่น้อย
หลิงโม่ครุ่นคิด
มีกฎเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เื่ที่เข้าใจไม่ได้ สำนักไม่้าศิษย์ที่เก่งแต่ทฤษฎี หากต้องไปเสียเปรียบหรือกระทั่งเสียชีวิตภายนอก ก็สู้มาสั่งสมประสบการณ์กับคนในสำนักก่อนดีกว่า ดังนั้น การส่งเสริมการประลองจึงเป็เื่ที่เข้าใจได้ ตราบใดที่ไม่พิการหรือเสียชีวิต ก็ไม่ถือเป็เื่ใหญ่
“อืม หากเ้าอยากเรียนวิชาหมัด พรุ่งนี้ค่อยมาหาข้าอีกก็ได้ วันนี้กลับไปก่อนเถอะ”
“ไม่เป็ไรขอรับ กลัวอะไรกัน”
หลิงโม่ยังคงยิ้มบางๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจเื่นี้เลย
เซียวฉินขมวดคิ้ว
ศิษย์น้องหลิงโม่ผู้นี้ หรือว่าถือตนเป็ศิษย์สายตรง คิดว่าหวังหู่ไม่กล้าลงมือหรือ?
ในตอนนี้เอง ไม่ไกลออกไป
“เ้า มานี่ มาสู้กับข้า”
หวังหู่ถูมือไปมา แล้วเดินเข้าไปผลักศิษย์ชั้นนอกคนหนึ่ง ศิษย์ชั้นนอกผู้นั้นกัดฟันรับคำท้า
ทว่า เพิ่งจะเรียนวิชาหมัดเป็วันแรก จึงเรียนรู้แค่กระบวนท่าคร่าวๆ เท่านั้น เมื่อชกหมัดออกไป ก็แทบไม่ต่างจากหมัดมั่วๆ
“อ่อนปวกเปียก เ้าไม่ได้กินข้าวมาหรือไง!”
หวังหู่เย้ยหยัน เขาปัดหมัดของอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นเท้าเตะไปที่ข้อพับขา ทำให้กระบวนท่าที่ไม่มั่นคงของอีกฝ่ายพังลงทันที
ตุ้บ—
ศิษย์ชั้นนอกผู้นั้นโซเซ ถูกเตะจนคุกเข่าลงบนพื้น
เหอหงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ประลองก็คือประลอง เพื่อชัยชนะก็สามารถใช้วิธีการบางอย่างได้ แต่ 'วิชาหมัด' ของหวังหู่นั้นเหนือกว่าคู่ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนจะจงใจดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่าย
เขาเหลือบมองหวังฮ่าว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไร
“เ้า...”
“อืม? เ้าไม่พอใจหรือ? ไม่พอใจก็มาต่อสิ!”
“ชิ... ข้าพอแล้ว...”
“อ่อนแอ ก็ไปฝึกให้มากหน่อย ไสหัวไป!”
หวังหู่หมุนคอ กระดูกส่งเสียงดังกรอบแกรบ เขาหันกลับมา
“โอ้ ลืมไปเลยว่ายังมีศิษย์สายตรงผู้สูงศักดิ์อยู่ตรงนี้”
“มาๆๆ ให้ข้าดูหน่อยว่าศิษย์สายตรงแข็งแกร่งแค่ไหน”
เขาเดินเข้ามาอย่างฮึกเหิม ระหว่างทางเดินชนศิษย์ชั้นนอกหลายคนกระเด็นไป
หลิงโม่: “...”
เขากลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็สามารถเพิ่ม 'ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์' ให้กับ 'หมัดหกประสาน' ได้ตลอดเวลา
จะเพิ่มกี่ปีดีนะ?
ถ้าทุ่มทั้งหมด 20 ปีไปเลย จะควบคุมไม่อยู่จนเผลอต่อยคนตายไหม?
ในตอนนี้เอง
ฉัวะ—
กิ่งไม้เย็นะเืตัดผ่านอากาศ
หวังหู่พลันสีหน้าเปลี่ยน เขาไม่รอช้า รีบหลบเลี่ยงในทันที
ทว่า…ก็ยังหลบไม่ทัน ถูกกิ่งไม้กรีดเข้าที่ลำคอ เืไหลอาบในพริบตา!
นี่ไม่ใช่กิ่งไม้ แต่ราวกับเป็ดาบคมกริบ!
ทุกคนกลืนน้ำลายเอื้อม มองจากที่ไกลๆ ก็ยังรู้สึกเหมือนมีคมมีดจ่อคอหอย พวกเขาทั้งหมดต่างมองไปยังประตู
ที่ประตู อิ๋งปิงสีหน้าเ็าดุจน้ำค้างแข็ง แววตาเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าดาบเมื่อครู่นั้นออกมาจากมือของนาง
เพียงดาบเดียว ที่นางใช้กิ่งไม้ข้างทางขว้างออกไป ก็ทำเอาหวังหู่าเ็ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
หลิงโม่: “!”
ความรู้สึกประหลาดนี้คือสิ่งใดกัน?
“นาง... นางจะฆ่าข้า”
หวังหู่หน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเทา
หวังฮ่าวใจสั่นสะท้าน มองร่างงามสง่าผู้นั้น ดวงตาเผยแววปรารถนาจะวูบหนึ่ง พลางคิดในใจว่า
'เพิ่งวันแรก ก็สามารถฝึกวิชาดาบชั้นสูงจนถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้วหรือ? พร์สูง ความเข้าใจดี รูปโฉมงดงามไร้ที่ติ แม้แต่นิสัยก็ยังน่าหลงใหล' แต่หวังหู่ก็ยังคงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช เขาจึงถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ศิษย์น้องอิ๋งปิง เหตุใดศิษย์ร่วมสำนักจึงจะได้ลงมือสังหารกันง่ายดายเพียงนี้! เ้าควรจะให้คำอธิบายแก่ข้า”
แล้วเขาก็ถูกเมินเฉย
“เ้ามาได้อย่างไร” หลิงโม่ถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ไปหอคัมภีร์ บังเอิญผ่านมาพอดี”
คิ้วเรียวของอิ๋งปิงขมวดแน่นชั่วขณะ ก่อนจะคลายออก คงจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิงโม่ถึงมาปรากฏตัวที่ 'หอฝึกยุทธ์'
“เปิดเส้นชีพจรแล้วหรือ”
“อืม แต่ยังน้อยกว่าเ้า ได้เรียนวิชาดาบด้วย”
หลิงโม่รู้สึกประหลาดใจ ดาบเมื่อครู่นั้น ไม่ใช่ระดับคนที่เพิ่งเข้าสำนักแน่ และไม่ใช่ระดับที่เพิ่งจะ'เปิดเส้นชีพจร'ด้วย ยัยก้อนน้ำแข็งนั่น อย่างน้อยก็เปิดเส้นชีพจรไปมากกว่าหนึ่งเส้นแน่
คุณพระช่วย 'ลิขิตฟ้า' สีแดงนี่น่ากลัวจริงๆ
ตามทันระดับตนเองที่โกงได้เลย
“กลับศาลาชิวสุ่ย”
ริมฝีปากสีชาดของอิ๋งปิงขยับเบาๆ ยังไม่ทันที่หลิงโม่จะเอ่ยตอบ นางก็หันหลังเดินออกจากประตูไป
“อืม”
หลิงโม่เหลือบมองเซียวฉินที่ยังคงงุนงงอยู่ ก็คิดว่าไม่จำเป็ต้องรีบร้อนในตอนนี้ อย่างไรเสียคนก็ไม่ได้หนีไปไหน พรุ่งนี้ค่อยลงทุนก็ยังได้
ทั้งสองพูดคุยกันราวกับโลกนี้มีเพียงเราสอง
ไม่ไกลออกไป ใบหน้าของหวังฮ่าวถึงกับมืดครึ้ม
“ศิษย์น้องอิ๋งปิง เมื่อครู่เ้าเกือบจะฆ่าลูกพี่ลูกน้องของข้า!”
“แม้เ้าจะเป็ศิษย์สายตรง ก็ไม่ควรจะทำตามอำเภอใจถึงเพียงนี้”
อิ๋งปิงหยุดเท้าลงชั่วครู่ ดูเหมือนจะรู้สึกรำคาญแมลงตัวนี้เต็มทน
นางหันศีรษะเล็กน้อย แล้วน้ำเสียงที่ไพเราะดุจหยกหล่นกระทบพื้นว่า
“ข้าจะฆ่าใคร ไม่เคยมีคำว่าเกือบ”
กล่าวจบนางก็เดินออกไปนอกประตู เหล่าศิษย์ชั้นนอกที่อยู่ตามทาง ไม่มีใครกล้าสบตากับนางเลยแม้แต่คนเดียว
หลิงโม่: “!”
ใช่เลย ใช่เลย! นี่แหละที่้า
“เ้า...”
หวังฮ่าวถึงกับพูดไม่ออกในทันที สีหน้ามืดครึ้มของเขาเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง คำพูดที่ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งของอีกฝ่าย กลับทำให้ใจของเขายอมรับโดยสิ้นเชิง
“ศิษย์พี่เหอ ท่านได้แต่ยืนมองเช่นนั้นหรือ”
“ศิษย์น้องอิ๋งไม่ได้ฝ่าฝืนกฎอันใดนี่ ลูกพี่ลูกน้องของเ้ายังโหยหวนเสียงดังฟังชัด ดูยังไงก็ไม่เหมือนาเ็สาหัส”
“อีกอย่าง เขาก็เป็คนบอกเองว่าจะท้าศิษย์สายตรงประลอง ศิษย์สายตรงก็มาแล้วนี่”
เหอหงเฟิงหัวเราะฮ่าๆ คิดว่าเขาโง่หรืออย่างไร ต่อให้ศิษย์น้องอิ๋งจะรื้อ 'หอฝึกยุทธ์' เขาก็ต้องช่วยปกป้องนางไว้
“เลิกโหยหวนได้แล้ว คนเขาไปกันหมดแล้ว” หวังฮ่าวอารมณ์เสียอย่างไม่มีเหตุผล เขาเตะก้นหวังหู่ไปหนึ่งที
หวังหู่เพิ่งจะรู้ตัวว่า เขาแค่ถูกกรีดเป็แผลเืออกที่คอ ดูน่ากลัวก็จริง แต่ไม่ได้เป็อะไรมาก
ทว่าเมื่อครู่เขารู้สึกได้จริงๆ ว่าศีรษะกำลังจะแยกออกจากร่าง ราวกับเฉียดตาย!
“หลิงโม่ ไอ้สารเลว! ยังต้องให้ผู้หญิงมาคุ้มกัน!”
“หากเ้ากล้ามาที่ 'หอฝึกยุทธ์' อีก ข้าจะต้องทำให้เ้าเห็นดีให้ได้! นางจะมาคุ้มกันเ้าได้ทุกวันเชียวหรือ!”หวังหู่ะโใส่อย่างหัวเสีย
ทันใดนั้น เขาก็พบว่าเซียวฉินที่อยู่มุมห้อง กำลังส่ายหน้าหัวเราะอย่างอดไม่ได้
“ไอ้สารเลวอย่างเ้ากล้าหัวเราะข้าหรือ? เมื่อครู่เ้าเป็คนสอนหลิงโม่ฝึกวิชาใช่หรือไม่?”
หวังหู่พลันะเิอารมณ์
“ถ้าเ้าเก่งนักในการสอน มาๆๆ ข้าก็อยากจะขอคำแนะนำจากเ้าบ้าง”
เซียวฉินหรี่ตาลง เตรียมพร้อมเผชิญหน้า
เขาไม่มีโชคดีเท่าศิษย์น้องหลิงโม่ ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้