เยว่เฟิงเกอยังคงถามเฉิงจื่อเลี่ยงต่อ “เขาจะบุกมาเมื่อใด? ”
เฉิงจื่อเลี่ยงมองม่อหลิงหานไปทีหนึ่งก็เห็นคนพยักหน้าเบาๆ เป็การตอบกลับ ถึงได้ตอบคำถามของเยว่เฟิงเกอ “จากข่าวที่กระหม่อมได้รับมา คาดว่าจะโจมตีในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินว่ายังมีเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าทัพเสวี่ยอวี้จะบุกเข้ามา คิดว่าตอนนั้นนางคงจะกลับมาจากแคว้นเฟิงหลันแล้ว
คิดถึงตรงนี้ นางก็กล่าวขึ้นทันทีว่า “ได้ รอให้ข้าเสร็จภารกิจจากทางแคว้นเฟิงหลันก่อน ข้าจะต้องไปจัดการองค์ชายใหญ่คนนี้แน่”
“ข้าอยากจะรู้เหมือนกัน ตอนนั้นเสด็จพ่อข้าตาบอดเอาคนเช่นนี้มาเป็รัชทายาทได้อย่างไร”
เฉิงจื่อเลี่ยง “...”
พระชายา แม้เมื่อครู่ท่านจะสบถด่าองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ของท่านก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้กระทั่งเสด็จพ่อของท่านก็ยังถูกท่านด่าไปด้วย ท่านคิดว่าการทำเช่นนี้นับว่าดีและเหมาะสมแล้วจริงหรือ?
อย่างไรก็ตาม เยว่เฟิงเกอไม่มีทางสนใจเื่เหล่านี้แน่ เพราะนางไม่ใช่เ้าของร่างเดิมเสียหน่อย แน่นอนว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับทั้งเสด็จพ่อและองค์ชายใหญ่คนนั้นสักนิด
แค่รับรู้เื่ราวที่เขาเคยทำมาและกำลังจะทำต่อจากนี้ นางก็โกรธจัดแล้ว
ดวงตาของบิดาของเ้าของร่างเดิมงอกอยู่ที่เท้าหรือไร เหตุใดถึงได้ให้คนเช่นนี้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทอยู่ได้ตั้งสามปี
แล้วองค์ชายรองคนนั้นไม่ดีหรือไร คนเหน็ดเหนื่อยเพื่อบ้านเมืองอยู่ทุกวัน
ตอนนั้นเพื่อความสงบสุขของแคว้นเสวี่ยอวี้ เขาถึงกับอาสานำทัพขับไล่กลุ่มอนารยชนด้วยตนเอง ซึ่งนับเป็ผลงานใหญ่ของเขา
แค่เื่นี้ ฮ่องเต้แห่งแคว้นเสวี่ยอวี้คนนั้นมองไม่เห็นหรืออย่างไร?
ไม่โปรดปรานองค์ชายรองยังไม่เท่าไร แต่กลับไปโปรดปรานองค์ชายใหญ่ที่ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียนนี่สิ
สุดท้ายคนที่ฮ่องเต้รักนักรักหนากลับเอาแต่รอให้คนตอยู่ทุกวี่วันเพื่อจะได้สืบราชบัลลังก์ต่อ
ไม่ได้ รอให้นางกลับมาจากแคว้นเฟิงหลันก่อนเถอะ นางต้องไปสั่งสอนเ้าองค์ชายใหญ่คนนั้นให้ได้
ม่อหลิงหานโบกมือให้เฉิงจื่อเลี่ยง กล่าวขึ้น “เื่นี้เปิ่นหวางรู้แล้ว เ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” เฉิงจื่อเลี่ยงประสานมือคารวะม่อหลิงหานแล้วเหลียวมองไปทางเยว่เฟิงเกออีกทีหนึ่ง ถึงได้ะโขึ้นหลังม้า กระตุกบังเหียนแล้วบังคับม้าให้หันหลังกลับ ก่อนจะมุ่งหน้าจากไป
ตลอดการสนทนาม่อหลิงหานไม่ได้ปล่อยมือเยว่เฟิงเกอเลย ในตอนนี้ก็ยังยิ่งกุมไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม
ม่อหลิงหานจูงมือเยว่เฟิงเกอกลับจวนอ๋อง ระหว่างทางยังได้กล่าวกับนางไปด้วยว่า “ชายารักคิดจะพบเสด็จพี่คนนั้นของเ้าจริงๆ หรือ? ”
เยว่เฟิงเกอแค่นเสียงเ็า “หึ คนที่ไม่รู้จักร่ำเรียน ไม่เอาการเอางาน วันๆ เอาแต่สำมะเลเทเมาเช่นนั้น ไม่คู่ควรเป็เสด็จพี่ของข้า”
“มิหนำซ้ำตอนนี้ยังไม่รู้ชั่วดี จะมาโจมตีเป่ยชวน ข้าว่า วันเวลาของเขามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”
เยว่เฟิงเกอไม่รู้สึกอะไรกับองค์ชายใหญ่คนนั้น กอปรกับในความทรงจำของเ้าของร่างเดิม ลึกๆ แล้วคนก็ดูแคลนองค์ชายใหญ่คนนี้มากเช่นกัน จึงยิ่งทำให้เยว่เฟิงเกอไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
หากเขาไม่มายุ่งกับนางก็แล้วไป แต่หากเขากล้ามาล้ำเส้นกับนาง นางไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่
เขากล้าคิดโจมตีเป่ยชวน ทำให้ม่อหลิงหานที่ได้หยุดพักจากาต้องเริ่มเตรียมตัวกลับไปรบทัพจับศึกที่ชายแดนอีก
หากเป็เมื่อก่อนเยว่เฟิงเกอคงไม่สนใจเื่พรรค์นี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างต่างออกไปแล้ว นางไม่อยากเห็นม่อหลิงหานต้องไปรบราฆ่าฟันในศึกาน้อยใหญ่อีกแล้ว
โดยเฉพาะหากต้องไปสู้กับเ้าโง่เช่นองค์ชายใหญ่คนนั้น นางคิดว่านั่นจะเป็การทำให้มือของม่อหลิงหานต้องแปดเปื้อนเสียเปล่าๆ
เมื่อคนทั้งสองกลับมาถึงจวน ม่อหลิงหานก็ให้เยว่เฟิงเกอกลับไปพักผ่อนที่เรือนเยว่เหยาก่อน ส่วนตัวเขามุ่งหน้าไปยังหอแปดทิศ
เมื่อมาถึงหอแปดทิศแล้ว ม่อหลิงหานก็ให้ถานอี้ไปเชิญกงซุนหนานเสียนมา
เพียงไม่นานประตูลับก็ถูกเปิดออก
กงซุนหนานเสียนเดินถือพัดออกมา โดยมีถานอี้ตามติดอยู่เื้ั ก่อนจะไปหลบยืนอีกด้าน
“ดึกเพียงนี้แล้ว จั้นอ๋องเรียกข้ามามีเื่ใดหรือ? ” กงซุนหนานเสียนโบกพัดไปมา นั่งลงตรงข้ามม่อหลิงหาน
ม่อหลิงหานรินชาให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเสวี่ยอวี้จะยกทัพมาตีเป่ยชวน”
“อ้อ? ” กงซุนหนานเสียนเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นความหมายของจั้นอ๋องคือ? ”
เื่นี้เกี่ยวพันถึงชายาจั้นอ๋อง จะอย่างไรนางก็เป็องค์หญิงแคว้นเสวี่ยอวี้
กงซุนหนานเสียนจ้องม่อหลิงหานตาไม่กะพริบ ใบหน้ายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
ม่อหลิงหานดื่มชาแล้วค่อยๆ เล่าความคิดของเยว่เฟิงเกอออกมาคร่าวๆ
กงซุนหนานเสียนคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะถึงขั้นคิดกำจัดพี่น้องเพื่อผดุงคุณธรรม หากมองนางแต่เพียงภายนอก คนไม่ต่างจากสตรีอ่อนแอทั่วไป แต่พอโกรธขึ้นมากลับน่ากลัวเพียงนี้
ด้วยเื่นี้ ทำให้กงซุนหนานเสียนยิ่งสนใจในตัวเยว่เฟิงเกอมากขึ้น ทั้งยังอยากดูให้เห็นกับตาว่า เมื่อถึงตอนนั้นเยว่เฟิงเกอจะจัดการกับพี่ใหญ่ของตนอย่างไร
ม่อหลิงหานกล่าวว่า “เปิ่นหวางเรียกเ้ามาในยามนี้ก็เพราะมีเื่หนึ่งที่อยากให้เ้าไปจัดการ”
กงซุนหนานเสียนรวบเก็บพัด หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมากระดกดื่ม “ชาที่ต้มด้วยน้ำแรู่เาช่างแตกต่างไปจากชาทั่วไปจริงๆ ”
ม่อหลิงหานรู้จักกงซุนหนานเสียนดี แม้ภายนอกอีกฝ่ายจะดูเป็คนไม่สนใจโลก แต่หากไหว้วานให้ทำเื่ใดก็ล้วนทำให้อย่างเต็มที่ด้วยใจ
ม่อหลิงหานไม่สนใจกงซุนหนานเสียนที่เพิ่งเอ่ยชมรสชาติชาของเขา ก็พูดต่อไปว่า “เปิ่นหวางอยากให้เ้าเดินทางไปแคว้นหัวเทียนสักรอบ ให้ช่างตีเหล็กหลิวทำกรงอันหนึ่งขึ้นมา เ้าแค่นำความนี้ไปบอกเขา เขาก็จะรู้แล้วว่าคือกรงเช่นไร”
กงซุนหนานเสียนวางถ้วยชาในมือลง ยืนขึ้น “ได้ ข้าจะไปจัดการให้ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าไม่รั้งอยู่ที่นี่แล้ว เพราะยังต้องไปหาเมิ่งซีหลันของข้าที่หอชมบุปผาอีก”
กงซุนหนานเสียนพูดจบก็เดินกลับออกไปผ่านช่องทางลับ แต่ยังคงได้ยินเสียงของม่อหลิงหานดังไล่หลัง “เ้าก็อย่าได้อยู่ใกล้เมิ่งซีหลันคนนั้นให้มากนักเลย นางไม่ใช่คนดีอะไร”
กงซุนหนานเสียนโบกๆ พัดอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินหายเข้าไปในทางลับ และยังคงเป็ถานอี้ที่ติดตามไปคุ้มครองส่งคนถึงที่
เมื่อถานอี้กลับมา เขาก็เอาแต่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าม่อหลิงหานด้วยสีหน้าท่าทางคล้ายมีสิ่งใดอยากจะเอื้อนเอ่ย
“เ้าคิดจะถามอะไร? ” ม่อหลิงหานมองถานอี้ด้วยรู้ว่าที่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะมีเื่อยากจะถาม
ถานอี้ขบคิดแล้วเอ่ยออกไปตามตรง “กระหม่อมไม่เข้าใจ เหตุใดต้องให้คุณชายกงซุนไปหาช่างตีเหล็กหลิวที่แคว้นหัวเทียนด้วยพ่ะย่ะค่ะ? ”
“ที่แคว้นของเราก็มีช่างตีเหล็กมากมาย แค่ให้สร้างกรงอันเดียว กระหม่อมคิดว่าช่างตีเหล็กในแคว้นเราก็ทำได้”
ม่อหลิงหานหรี่ตามองถานอี้ไปทีหนึ่ง กล่าวว่า “กรงที่เปิ่นหวาง้านั้นมีแต่ช่างตีเหล็กหลิวแห่งแคว้นหัวเทียนเท่านั้นที่สร้างได้”
“มันไม่ใช่กรงธรรมดา ด้านในยังมีกลไกอาวุธลับซ่อนอยู่”
“หากดูจากภายนอก เหล็กที่ใช้สร้างกรงนี้หาได้มีความแตกต่างไปจากกรงอื่นๆ ไม่”
“แต่ประโยชน์ใช้สอยของมันไม่ได้มีแค่นั้น ไม่เพียงใช้กักขังคน แต่ยังเป็อาวุธสำหรับสังหารคนได้อีกด้วย มันสามารถสับคนเป็ชิ้นๆ นับไม่ถ้วนได้ในเวลาอันสั้น”
“นอกจากนี้ เมื่อใดที่เหล็กของกรงนี้ปิดสนิท มันก็จะกลายเป็โล่ขนาดั์”
“และในโล่ขนาดั์นั้นก็ยังมีอาวุธลับอยู่อีกนับพันนับหมื่น เพียงแค่กดลงไปตรงกลไกของมัน มันก็จะปล่อยอาวุธลับพวกนั้นออกมา”
“เ้าลองไปถามไถ่ช่างตีเหล็กในแคว้นเป่ยชวนนี้ดูเถอะ ยังจะมีผู้ใดสามารถสร้างกรงเช่นนี้ได้? ”
ถานอี้ฟังแล้วยังอ้าปากค้าง เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับกรงเช่นนี้มาก่อน
ดูท่าช่างตีเหล็กหลิวคนนั้นจะเป็ผู้มากทั้งอายุและประสบการณ์เป็แน่
และยังต้องเป็คนที่รู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ รู้ว่าจะสร้างอาวุธพิเศษที่เป็หนึ่งไม่มีสองขึ้นมาได้อย่างไร
ถานอี้ขบคิด เอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านอ๋องทรงรู้จักช่างตีเหล็กหลิวผู้นั้นได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
เขาติดตามท่านอ๋องมาหลายปี กลับไม่เคยรู้ว่าท่านอ๋องรู้จักคนเช่นนี้ด้วย
ม่อหลิงหานไม่คิดปิดบัง เขาดื่มชาไปหนึ่งอึก เงยหน้ามองแสงจันทร์เหนือศีรษะ “ก่อนนี้ช่างตีเหล็กหลิวเคยเป็สหายสนิทคนหนึ่งของเปิ่นหวาง เราเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในศึกา”
“ตอนหลังเขาเบื่อชีวิตที่มีแต่การฆ่าฟัน จึงได้ปิดบังชื่อแซ่แล้วย้ายไปอยู่แคว้นหัวเทียน ไปเป็ช่างตีเหล็ก”
“อาวุธในหอแปดทิศแห่งนี้ เกือบทั้งหมดเป็อาวุธที่เขาสรรค์สร้างขึ้น”
“ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบแปด แต่เพราะาครั้งนั้น เป็เขาที่ช่วยเปิ่นหวางไว้จึงถูกธนูปักเข้าที่ขา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจรักษาให้หายขาดได้”
“ตามที่เขาเคยบอก จนป่านนี้แล้วในกระดูกของเขาก็ยังมีเศษลูกธนูฝังอยู่เลย”
ม่อหลิงหานพูดถึงตรงนี้ก็ถอนใจเบาๆ
าในครั้งนั้นสามารถใช้คำว่าน่าสลดหดหู่มาบรรยายได้อย่างไม่เกินจริง
เนื่องจากเขาเป็จั้นอ๋อง ทั้งยังมีศักดิ์เป็ถึงองค์ชาย แม้ครั้งนั้นจะได้รับาเ็เช่นกัน แต่ก็ได้รับการรักษาจากหมอหลวงอย่างทันท่วงที
ขณะที่ช่างตีเหล็กหลิวไม่ได้โชคดีเช่นเขา คนได้รับการรักษาแบบธรรมดาทั่วไป
ดังนั้น ขาข้างนั้นจึงพิการไปเช่นนี้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการไม่ได้รับการรักษาที่ดีพอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้