สามวันผ่านไป
การข้ามมิติเข้ามาอยู่ในนิยายเื่หนึ่งยังคงดำเนินไปอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นจุดจบ เพราะว่านี่เป็เพียงบทเริ่มตนของเื่ราวอันแสนวุ่นวายเท่านั้น จางจื่ออี๋บันทึกเื่ราวและแผนการต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาร้อยแปดพันเื่เอาไว้อ่านเล่นๆ ยามที่สมองเข้าสู่ทางตัน แน่นอนว่าบันทึกของนางนั้นเป็ความลับสูงสุด ภาษาที่ใช้จึงเป็ภาษาอังกฤษที่คนในโลกนี้ไม่มีวันอ่านเข้าใจ
“ท่านพี่กำลังเขียนสิ่งใดอยู่หรือ?”จางจื่อเหยามองการกระทำอันแปลกประหลาดของผู้เป็พี่สาวมาได้สักพัก แม้เ้าตัวจะมองซ้ายมองขวาเพ่งแล้วเพ่งอีกก็ไม่สามารถทำความเข้าใจอักษรประหลาดที่พี่สาวกำลังเขียน อักขระยึกยือนี่หรือว่าจะเป็มนต์ดำคำสาป ไม่น่าจะเป็ไปได้เพราะว่านี่คือเื่ต้องห้าม ไสยศาสตร์มนดำอันชั่วร้ายทั้งปวงจะมิได้รับการยกเว้น จางจื่อเหยาสะบัดศีรษะเล็กๆ ไปมาเพื่อไล่ความคิดเลื่อนเปื้อนของตน
“เื่ไร้สาระน่ะ ไม่มีสิ่งใดเ้าวางใจได้”จางจื่ออี๋เหลือบมองเนื้อหาบนหน้ากระดาษอีกครั้งแล้วพยักหน้าเบาๆ กับตนเองว่าไม่มีอะไรจริงๆ แค่วิธีการร้อยแปดที่ลิสต์ขึ้นมาเพื่อใช้มันกับเื่นี้โดยเฉพาะ แต่ก่อนจะเดินหน้าทำเื่เ่าั้ จะต้องทำเื่ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้เสียก่อน
การหาเงิน
ใช่แล้ว เงิน คือสิ่งจำเป็สำหรับนางและน้องๆ มากที่สุด ลำพังเงินเก้าตำลึงที่มีอยู่ในมือยามนี้ไม่สามารถนำไปทำสิ่งใดได้ ทั้งเสบียงที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในระยะยาว การตามหาฆาตกรมีใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีกำลังกายและกำลังทรัพย์
“อาเหยาอยากไปเรียนที่สำนักศึกษาหรือไม่”หญิงสาวปิดสมุดบันทึกแล้วโยนไปกองไว้มุมหนึ่งบนเตียงเตา หลักการเบี่ยงเบนความสนใจให้ตรงจุด การตีจุดนั้นให้แตกกระจายในประโยคเดียวคือจุดมุ่งหมายสูงสุด และนั่นก็ใช้ได้ผลกับน้องชายตัวน้อยของนางได้อย่างไม่น่าเชื่อ เื่การเรียนคือจุดอ่อนไหวของจางจื่อเหยา นั่นคือความปรารถนาที่ยากจะได้มายิ่งยามนี้สูญเสียบิดามารดาความหวังนั้นยิ่งริบหรี่ ยากที่จะเป็จริง
“ท่านพี่ ข้า...”ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นเด็กน้อยขบเม้มมันจนปริแตก เขารับรู้ถึงรสชาติเค็มของเืที่หลั่งออกมา จางจื่อเหยาเดิมก็เฉลียวฉลาดเป็ทุนเดิมจะไม่เข้าใจความหมายที่พี่สาว้าจะบอกได้เช่นไร เด็กน้อยต่อสู้กับความคิดของตนจนจิตใจยุ่งเหยิงหากว่าเขาออกไปร่ำเรียนนั่นจะเป็การเพิ่มภาระอันใหญ่หลวงให้ท่านพี่ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร นี่เป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ จางจื่อเหยาเลิกคิดเพ้อฝันได้แล้ว
“เป็อันใด หากมีโอกาสต้อง่ชิงให้ได้มา จางจื่อเหยา จางจื่อหนิง พวกเ้าทั้งสองยังเล็กถึงเพียงนี้พี่สาวเช่นข้าย่อมยืนอยู่เบื้องหน้าคอยกันลมฝน ขอเพียงพวกเ้าเติบโตอย่างดีก็เพียงพอแล้ว จงเชื่อมั่นในตัวข้าเถิด เชื่อว่าข้าจะสามารถทำเพื่อพวกเ้าทั้งสองได้ เด็กน้อยเอ๋ย…โปรดจำไว้ว่าข้าคิดและทำทุกสิ่งเพื่อให้พวกเ้ามีชีวิตที่ดี”จางจื่ออี๋รั้งร่างเล็กที่ผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูกเข้ามาใกล้ บรรจงเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลรินอย่างแ่เบา ทุกััของนางเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
“ฮึก...ฮื่อๆ”
จางจื่ออี๋รู้อยู่แล้วว่าน้องชายของนางผู้นี้เป็เด็กดีและกตัญญูรู้คุณมากเพียงใด จิตใจของเขาบริสุทธิ์ดั่งน้ำใสที่มองเห็นก้นบ่อ เป็ผู้ที่พร้อมน้อมรับการขัดเกลา เื่การส่งจางจื่อเหยาเข้าสำนักศึกษาจึงต้องรีบดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว
“เอาล่ะๆ ไม่ร้องแล้ว ลูกผู้ชายเอะอะก็หลั่งน้ำตาเป็เผาเต่า ความสง่างามของบัณฑิตตัวน้อยลอยหายไปหมดแล้ว”หญิงสาวบีบจมูกเล็กที่แดงก่ำด้วย้าหยอกเย้าให้เ้าตัวเล็กอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลนิดหน่อย เ้าหนุ่มน้อยของนางถึงกับหน้างอปากยื่นเพราะถูกยอกเย้าราวกับเป็เด็กน้อยสามขวบ
“ท่านพี่ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะขอรับ”
“เอ๋ ที่แท้อาเหยาของเราก็โตเป็หนุ่มแล้วนี่เอง อีกไม่นานข้าต้องมองหาว่าที่น้องสะใภ้เอาไว้แล้วสินะ”
“ท่านพี่! ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว ข้าจะไปทำกับข้าว”ว่าแล้วเด็กชายก็วิ่งฉิวออกไปทันที คล้ายว่าหากอยู่ต่ออีกแม้แต่อึดใจเดียวคงจะถูกพี่สาวหยอกเย้าไม่จบไม่สิ้น
“หูแดงเถือกหมดแล้วน้องพี่ ฮ่าๆ”จางจื่ออี๋ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ จนร่างเล็กที่วิ่งออกไปจากห้องถึงกับเซแถ่ดๆ นี่สินะครอบครัว การอยู่ร่วมกันของคนสายเืเดียวกัน ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่เชื่อมกันด้วยส่ายป่านที่มองไม่เห็นด้วยตา ทว่ากลับััมันได้จากรอบๆ ตัว
ตัวตนของคนในโลกนี้มีกลากหลายรูปแบบ พันหมื่นความดีและความชั่วร้าย หากว่าตนเองไม่แข็งแกร่งแล้วจะมีกำลังไปทำเื่อื่นได้อย่างใจนึกเช่นไร
จางจื่ออี๋นำธนูออกมาจากหีบ มองสำรวจมันอย่างตั้งใจช่างเป็ธนูที่ยอดเยี่ยมพร้อมลูกศรทั้งสามสิบดอก หัวศรตีขึ้นจากเหล็กกล้าความแหลมคมบ่งบอกว่ามันสามารถปลิดชีพสิ่งมีชีวิตใดๆ ได้ในชั่วพริบตา แผนการหาเงินแบบหยาบๆ ที่นางคิดได้มันสามารถทำให้นางหาเงินก้อนใหญ่ได้ในคราวเดียว นั่นคือการล่าสัตว์ แน่นอนว่าสัตว์ที่ล่าต้องมีมูลค่าและเป็ที่้าของตลาดระดับบน ูเาหลังบ้านที่เลื่องชื่อเื่สัตว์ร้ายนั่นช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นางถึงเก้าในสิบส่วนว่าจะสามารถล่าสัตว์ดีๆ มาได้สักตัว
วันรุ่งขึ้น
“ท่านย่าเหลียงข้าฝากอาเหยาไว้กับท่านสักหลายวัน ข้าจะขึ้นเขาไปแสวงโชคสักหน่อย สิบวันครึ่งเดือนไม่เกินนี้เ้าค่ะ”จางจื่ออี๋ยัดก้อนเงินตำลึงใส่มือย่าเหลียงด้วยความรวดเร็วและถอยห่างออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยคำทัดทานใดๆ
“นางหนูคนนี้นี่ นี่เ้าจะทำอันใด ขึ้นเขางั้นรึ คิดว่าที่นั่นเป็สถานที่เล่นหัวคิดอยากจะไปก็ไป ไม่รักชีวิตของตัวเองแล้วรึ ไม่ได้ข้าไม่เห็นด้วย”ย่าเหลียงที่กำลังอุ้มจางจื่อหนิงร้องห้ามเสียงหลงใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยโทสะ เด็กสาวเช่นนางจะวิ่งไปทำอันใดในป่าเขา นั่นไม่เท่ากับไปหาที่ตายรึ บ้าไปแล้ว
“ท่านย่าเหลียงข้าจะดูแลตนเองได้ ข้าสาบานว่าจะระมัดระวังตัวและจะมีชีวิตรอดกลับมา!”นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแววตามั่นคงไร้รอยกระเพื่อมสั่นไหว
“จะอย่างไรก็ไม่ได้ ลูกเอ๋ยข้ารู้ว่าเ้า้าหาเงิน แต่ในโลกนี้มีวิธีหาเงินมากมายใยต้องเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยงด้วยเล่า หากเ้าเป็อันใดไปแล้วอาเหยาอาหนิงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นไร ไตร่ตรองให้ดี”
“ท่านย่าเหลียงไม่ว่าข้าจะพูดเช่นไรท่านก็คงไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าจะแสดงให้ท่านดู”จางจื่ออี๋ถอนหายใจออกมาสายหนึ่งคำพูดมิสู้การกระทำจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ร่างเล็กของหญิงสาววัยสิบห้าเดินย่ำเท้ามุ่งไปทางต้นซานจาที่ปลูกอยู่ริมรั้ว มองหาก้อนหินขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลอุ้มมันขึ้นมาแล้ววางลงบนหินอีกก้อนหนึ่งที่มีขาดสูงเลยเข่าของนางมาเล็กน้อย คนบ้านเหลียงที่บัดนี้มีปู่ย่าเหลียงและบุตรชายที่กลับมาบ้านอีกสามคนต่างจ้องมองการกระทำของหญิงสาวไม่วางตา ด้วยอยากจะรู้ว่านาง้าจะทำสิ่งใดกันแน่
ย่าห์!!
ตุบ ผัวะ! ปัง!!
ก้อนหินขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลถูกทุบจนแตกเป็เสี่ยงๆ ด้วยหนึ่งหมัด
จางจื่ออี๋
อายุสิบห้าปีเต็ม
พร์ ทรงพลังแต่กำเนิด\