ทว่ายามที่เ่ิูตกรอบในการสอบ เขาก็เลิกมาตีสนิทกับตนในทันที ทำแม้กระทั่งยิ้มเย็นยามเอ่ยส่งท้าย “สุดท้ายก็แค่สวะข้างถนน เสียเวลาข้าเป็บ้า”
“เฮ่อๆ คนน่ะนะ มันต้องมองไปข้างหน้าซี่ จับจดแค้นไปก็เท่านั้นไม่ใช่เื่ดีอะไรเลย” หลินถงยิ้มจืดเจื่อน น้ำเสียงเจือความถูกคุกคามเล็กน้อย
“มองปู่เ้าเถอะ...ไสหัวไป!”
เ่ิูด่าออกไปตรงๆ
“เ้า...” หลินถงใบหน้าราวกับถูกแช่แข็ง เขาถูกด่าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ความอับอายแปรเป็โมโห
เ่ิูไม่หันกลับไปมองเขาแม้แต่ปลายสายตา เด็กหนุ่มน้อมมือเคารพพลางกล่าวไปทางฝูงชนว่า “ทุกท่าน ก่อนข้าจะเข้าเรียนในสำนักกวางขาวได้สำเร็จ ข้าไม่อยากคิดถึงเื่อื่น ได้โปรดทำใจกว้างๆ กันด้วย”
นี่คือการชี้แจงที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ห้ามมิให้ตระกูลทรงอำนาจใดก็ตามเข้ามาดึงดูดความสนใจและหาความเป็มิตรจากเขาได้ชั่วคราว
กล่าวจบ หนุ่มน้อยก็หมุนกายย่างสามขุมไปยังสนามสอบที่ห้า
เ่ิูก็เป็คนใช้อารมณ์เช่นนี้เอง แววั์ตารับไม่ไหว
เ้าพุงพลุ้ยนี่เปลี่ยนหน้าไวยิ่งกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสือ หลังจากนั้นมาก็ประณามหยามเหยียด นำความอัปยศให้เขาอีกนับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้กลับคิดจะใช้ประโยชน์จากเขางั้นหรือ?
ไม่มีทางเสียล่ะ
การปฏิเสธตัดเยื่อขาดใยครานี้ คนกลุ่มบังเกิดความอื้ออึงปั่นป่วน
เสนาธิการทหารประจำกองพลทหารทิศอุดรหลินถง ใบหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดง โกรธจนหนวดกระพือ
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ใครเล่าจะอาจหาญพอทำให้เขาขายขี้หน้าได้ ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะถูกไอ้เด็กระยำที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังเท้าตบหน้า
หากเปรียบเทียบแล้ว หลวนผิงแห่งเครือการค้าชิงหลัวหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“เร็ว ตามไปกัน ไปดูผลทดสอบอื่นของเ่ิู”
“เ่ิูคนนี้ไม่เพียงแต่ใจเด็ดนะ ยังโคตรจะตรงไปตรงมาเลยว่ะ ไม่ทันไรก็ด่าสาดแม่ทัพทิศอุดรซะแล้ว กองพลทหารอุดรทักษิณประจิมบูรพา สี่ทิศผู้ยิ่งใหญ่ แต่การมีอยู่ของเ้าเมือง ได้รับโทษก็ไม่ใช่เื่ที่ดีนา!”
“นิสัยเถรตรงเกินไปย่อมเป็ภัย แบบนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ถึงจะมีพร์เถอะ ถ้าตายก่อนวัยอันควร นั่นก็คือการเอาดินกลบหน้า อะไรก็ไม่มีเหลือแล้ว!”
มีคนวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างเดินตามๆ กันไป
เด็กหนุ่มอาภรณ์ไหมยืนซังกะตายอยู่ท่ามกลางหมู่มนุษย์ เขากัดฟัน แต่อย่างไรก็ต้องตามไป เื่ที่ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดกลับเกิดขึ้นไปแล้ว
มีคนเดินปรี่อย่างลับๆ มาหาทางด้านหลัง ตบเขาผัวะหนึ่งจนตามองเห็นดาว ต้องสะบัดหน้าสองรอบถึงสามารถหยัดกายทรงตัวอย่างเดิมได้
สมองหลิวเย่ขาวโพลนไปชั่วขณะ เขาโกรธจนเืขึ้นหน้าจึงอ้าปากด่าฉอด “ไอ้ชาติหมาตัวไหนกล้าตบหน้าข้าวะ”
“ยังกล้าแหกปากอีก? ก็ไอ้คนโตกว่าที่ถูกคนจัญไรอย่างเ้าก่อกวนไม่เลิกไง ไอ้เด็กบ้า” น้ำเสียงทั้งโมโหทั้งชั่วร้ายที่คุ้นเคยล่องลอยมาเข้าหู
หลิวเย่มองด้วยสายตาว่างเปล่า แต่กลับเห็นคนที่ตบตัวเองเป็อาจารย์ผู้คุมสอบด่านเืลม อาของเขาหลิวเหิง
เขารู้สาเหตุทันที ทั้งสองมองกลับไปอย่างห่อเหี่ยว
“เ้านั่นล่ะ? เ่ิูล่ะ?” หลิวเหิงทั้งรีบทั้งหงุดหงิด “ผลสอบด่านที่สามเป็อย่างไรบ้าง?”
หลิวเย่ปิดหน้าตัวเอง บอกผลการสอบก่อนชี้ไปไกลๆ “ไปสอบด่านที่ห้าแล้ว...”
“อะไร? ได้ผลลัพธ์นักยุทธ์ขั้นที่เก้าอีกแล้วเรอะ?” หลิวเหิงได้ฟังก็ปวดหัวหนึบ ทั้งขาทั้งท้องสั่นเป็เ้าเข้า
เ่ิูยิ่งสอบได้ดีเท่าไร ถึงเวลาแล้วเขาก็ยิ่งยุ่งยากมากเท่านั้น
หากถูกเบื้องสูงของสำนักรู้ว่าไปกดดันเพชรเม็ดงามเม็ดนี้เข้า หลังจากนั้นต้องเป็หายนะอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไอ้หยา ข้าโมโหจะะเิอยู่แล้วโว้ย เอ็งไอ้ห่วยแตก หาเหาใส่หัวข้าจนได้!”
หลิวเหิงที่ทั้งโกรธทั้งกระวนกระวาย เพราะชังความเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้วไม่มียารักษา เขาตบตีหลิวเย่อย่างทารุณไปหลายที ก่อนจะรีบซอยเท้าตามไป
ในใจเขาคิดว่าต่อให้ต้องคุกเข่าร้องเรียกเ้าเด็กนั่นว่าพ่อ ก็ต้องพาเ่ิูกลับไปสอบด่านเืลมปราณให้จงได้
“ข้า...ข้า”
หน้าหลิวเย่บวมเป่งเหมือนหัวหมู ปากมีเืไหล ทั้งโมโหทั้งเกลียดชัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
...
หลิวเหิงไม่อาจทำใจรักษาภาพพจน์ความเป็อาจารย์ของตัวเองได้อีกต่อไป ท่ามกลางสายตาแปลกๆ ที่จ้องมองตนมากมาย เขากลับสับขาวิ่งอย่างบ้าคลั่ง จนมาถึงที่หมายคือด่านทดสอบที่ห้าอย่างรวดเร็ว
นี่คือสนามสอบกระดูก
แต่กลับไร้แม้เงาของเ่ิู
“เขาล่ะ? เ่ิูล่ะ?” หลิวเหิงกระวนกระวาย เขารีบดึงตัวลูกศิษย์ปีสองที่ดูแลเื่ลำดับการของสำนักมาถาม
ลูกศิษย์เห็นเขาสวมอาภรณ์อาจารย์จึงไม่อาจมองข้ามได้ จึงตอบกลับไป “ท่านก็มาติดตามฟ้าประทานเย่หรือ? มาช้าไปขอรับ การทดสอบกระดูกจบสิ้นแล้ว ฟ้าประทานเย่ไม่ได้ออกแรงอะไรมากก็กระตุ้นหินแก่นกระดูกได้แล้ว แสงทองอร่ามไปเป็ร้อยเมตร เล่นเสียตะลึงกันหมด จนท่านอาจารย์หลักประจำปีหนึ่งที่เห็นกับตาตัวเองเอ่ยปากตัดสินว่าเป็กระดูกขั้นเก้า”
“อะไร? ขั้นเก้าอีกแล้วเรอะ?” หลิวเหิงใกล้สติแตกเต็มที
เทพ์ ท่านกำลังเล่นตลกกับข้าอยู่ใช่ไหม?
ศิษย์ผู้นั้นกลับไม่เห็นสีหน้าของเขา จึงเสริมต่ออย่างตื่นเต้น “ใช่แล้วขอรับ ได้ยินมาว่าศิษย์น้องเย่สอบกี่ด่านก็ได้ระดับพลังขั้นเก้าตลอด เป็ข่าวเขย่าขวัญคนไปทั่ว ว่าครั้งนี้สำนักกวางขาวของเรามียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว”
หลิวเหิงหน้ามืด เกือบจะเป็ลมล้มพับไปอยู่รอมร่อ
กลัวอะไรมักได้อย่างนั้น ท่านอาจารย์หลักประจำปีหนึ่งถึงกับออกมาด้วยตัวเองแล้วหรือนี่?
แต่ละชั้นปีของสำนักกวางขาวมีโครงสร้างพื้นฐานเป็แบบเดี่ยว รองจากเ้าสำนักลงมาเป็การเรียนการสอนทั้งหมดสี่ปีสี่ส่วน ล้วนแล้วแต่มีหัวหน้าหนึ่ง รองหัวหน้าสอง รองจากสามตำแหน่งสูงสุดนี้ลงมาก็เป็อาจารย์หลักประจำชั้นปีแล้ว
สถานะเหล่านี้ มีอาณาวรยุทธ์ขั้นต่ำที่เห็นได้ชัดเจนคืออาณาน้ำพุิญญา ซึ่งยังคงเป็ชั้นที่สูงส่งอย่างแท้จริง มีเกียรติกว่าคนลำดับขั้นต่ำอย่างหลิวเหิงไม่รู้กี่เท่า เอ่ยเพียงคำเดียวก็สามารถเฉดหัวเขาออกจากสำนักได้เลย
“ดูสีหน้าท่านแล้ว ต้องตื่นเต้นใมากเลยใช่ไหมขอรับ?” ศิษย์คนนี้เป็พวกลูกช่างฝอย เขายังคงคุยต่อไม่หยุด “สำนักกวางขาวของเราพบคนฟ้าประทานอย่างเ่ิูเช่นนี้แล้ว บวกกับอีกทั้งหมดสิบคนก่อนหน้านั้นอีก เชื่อได้เลยนะขอรับว่าศึกแห่งเกียรติยศสิบสำนักในปีหน้านี้ผลจะต้องออกมาดีแน่ๆ คงลืมตาอ้าปากได้เต็มตัวแล้วล่ะขอรับ!”
หลิวเหิงร่ำไห้ไร้น้ำตา หันกายวิ่งติดตามไปยังสนามสอบที่หก
“หวังว่าจะไปขอร้องได้ทันนะ”
ในใจเขาร่ำๆ แต่อธิษฐาน
...
ด่านที่หก
สนามทดสอบหทัยวรยุทธ์ของผู้เข้าร่วม
เ่ิูยืนประจำที่
“ไม่คิดเลยว่าเทพเ้าในหทัยที่เ้าจุดประกายขึ้นมาจักเป็เทวรูปเทพสังหารซิวลัว!” บุรุษกลางคนใบหน้าดั่งหยกบนมงกุฎหายใจติดขัด ั์ตาท่วมท้นด้วยความงดงาม เขาหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ “ดี สังหารเด็ดขาด หนักแน่นไร้ตื่นกลัว นี่คือปรารถนาที่แท้ของเทพสังหารซิวลัว และเป็ปรารถนาแห่งวรยุทธ์ ใจเช่นนี้เหมาะกับการปกครองเป็ยิ่งยวด ข้าชอบ วะฮะฮะฮ่า!”
เ่ิูยืนอยู่กลางลาน
ตรงหน้าเขามีรูปปั้นสูงใหญ่อยู่เจ็ดตน ลักษณะแตกต่าง ทั้งรูปร่างลักษณะเหมือนมนุษย์ เหมือนพืชหรือแม้แต่สัตว์อสูร คลับคล้ายของจริงมากจนราวกับมีชีวิต ท่าทางแต่ละตนต่างกันอย่างสิ้นเชิง มองลงมายังหมู่มนุษย์ซึ่งห้อมล้อมอยู่สี่ทิศ
และตนที่สลักเสลาอยู่ตรงกลางนั้น มีรูปแบบแปลกประหลาด มีหกแขนหกมือ ถือครองสารพัดศาสตราวุธวิเศษ รังสีอำมหิตพร้อมสังหารเฉกเช่นที่ชอบแกะสลักไว้บนรูปปั้นเทพา มีจิติญญานับหมื่นจ้างกำลังแตกแยกออกไป ลมหายใจของคนที่หวาดหวั่นเองก็ถูกเก็บกลืนไว้ในรูปปั้นนี้ เป็หนึ่งในเจ็ดเทพหทัย เทพสังหารซิวลัวมิผิดแน่
และเป็รูปเคารพที่เ่ิูเพิ่งจุดประกายไปเมื่อครู่
การทดสอบหทัยในสำนักกวางขาวมิใช่การสอบที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ชนิดหัวเด็ดตีนขาดก็ต้องมาสอบแต่อย่างใด มันเพียงมีไว้ตรวจสอบหทัยวรยุทธ์ในทุกระดับของผู้เข้าสอบเท่านั้นเอง
หทัยวรยุทธ์ ก็คือแก่นแท้ของใจมนุษย์
บนโลกใบนี้ มีทั้งคนโอบอ้อมอารี มีคนเขลา คนป่าเถื่อน กระหายเื เ้าอารมณ์ ละเอียดรอบคอบ ทารุณ นุ่มนวล ใจร้อนดุจอัคคี อ่อนโยนดั่งวายุ มีคนคิดวางแผนให้แน่ก่อนลงมือ และคนคิดได้แวบเดียวก็พลั้งมือทำไปแล้ว
คนที่แตกต่าง ย่อมมีหทัยวรยุทธ์ที่แตกต่าง
หทัยวรยุทธ์ที่แตกต่าง เมื่ออยู่ระหว่างการสอบ ย่อมััถึงหทัยรูปปั้นเทพเ้าที่แตกต่าง
รูปปั้นเทพหทัยของเ่ิูที่เพิ่งได้ััคือเทพสังหารซิวลัว ตัวแทนการเข่นฆ่าไร้ปรานี ริษยาดั่งคลั่งแค้น บุญคุณกับเคืองโกรธแยกกันชัดเจน และยังเป็คนเ้าอารมณ์ด้วย
ผู้ใดก็ตามที่มีหทัยนี้ เมื่อบรรลุวิชายุทธ์หมดสิ้น เขาผู้นั้นจักสังหารได้อย่างไร้ความลังเล คือจอมทระนงผู้เขย่าขวัญศัตรู
แต่หากใจฝักใฝ่การเข่นฆ่ามากเกินไป ย่อมทำผู้มีศีลธรรมไม่ชอบใจเอาได้
เมื่อผลนี้เผยออกมา กลุ่มคนก็หยุดเสียงจอแจ
ผลการทดสอบชีพจรลมปราณ กระดูก สติปัญญา เป็ต้น ของเ่ิูนั้นเกินกว่าที่มนุษย์เดินดินจะทำได้ ทว่าเมื่อจิตสังหารปรากฏมากถึงเพียงนี้ อาจคิดได้ว่า เมื่อปีกกล้าขาแข็งแล้ว ในภายหลังอาจกลายเป็หอกเหล็กไร้เทียมทาน ที่ถึงแม้จะทำร้ายศัตรูได้ แต่ก็อาจทำร้ายตนเองได้ด้วยเช่นกัน
แต่อาจารย์หลักในการคุมสอบผู้นั้น กลับชื่นชมเ่ิูเป็อย่างมาก ถึงได้เอ่ยยกย่องไม่หยุดปาก
“ฮ่าๆๆ ไม่เลว ยอดเยี่ยม ไม่คิดเลยว่าสอบวันสุดท้ายเยี่ยงนี้ ข้าแห่งสำนักกวางขาวจักได้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มาได้” บุรุษกลางคนยากยิ่งจะปิดบังความตื่นเต้นของตัวเอง
เขาหัวเราะร่า “เ้าชื่อเ่ิูใช่ไหม? ข้ารู้เื่ของเ้า ดูท่าคำตัดสินของเ้าสำนักเมื่อก่อนจะไม่ผิดพลาดนะ เ้าเป็อัจฉริยะฟ้าประทานจริงๆ ถึงจะใช้เวลาไร้ประโยชน์แสนมืดมนมาสี่ปีเต็ม แต่ต้นทุนเ้ามีถึงเพียงนี้ การจะไต่อันดับในอนาคตข้างหน้าต้องไม่ใช่เื่ไกลเกินเอื้อมแน่ ยินดีต้อนรับสู่สำนักกวางขาวนะ”
เมื่อประโยคนี้ประกาศออกมา ฝูงชนก็ส่งเสียงอึกทึก
เ่ิูเข้าสำนักได้ในที่สุด
ทุกคนที่หาเื่ทะเลาะและเยาะเย้ยเขาตลอดสี่ปีที่ผ่าน หายลับไปกับกลีบเมฆทันทีที่วาดเครื่องหมายจุดลงบนแผ่นป้ายอย่างลึกล้ำ
ใบหน้าสลอนของชาวเมืองลู่ิ น่ากลัวจะถูกผลการสอบคราวนี้ทำหน้าชาอย่างรุนแรงเสียแล้ว
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์หลักข่ง” เ่ิูค้อมคำนับขอบคุณ หลังจากนั้นก็สั่นหัว “ทว่าศิษย์ยังมีด่านสุดท้ายที่ยังมิได้สอบ เห็นทีจะหมดหนทางเข้าสำนักแล้วล่ะขอรับ”
“โอ๊ะ? มีเื่พรรค์นี้เกิดขึ้นด้วยหรือ? ทดสอบหทัยเป็ด่านที่หกแล้ว เ้ายังมีด่านที่ยังมิได้สอบอีกหรือ?” อาจารย์หลักประจำปีหนึ่งข่งคงย่นคิ้วเล็กๆ ความกดดันผังแผ่ออกมาเป็แนวระหว่างถามไถ่ “นี่มันเื่อะไรกันแน่?”
เ่ิูกำลังจะเอ่ยตามจริง...
“ข้าอาจารย์ผู้น้อยหลิวเหิง คารวะท่านอาจารย์หลักข่งขอรับ” อาจารย์เคราแพะผู้คุมสอบประจำด่านเืลมปราณวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา ชิงทำความเคารพ หลังจากนั้นก็ไม่อาจสนใจผู้อื่นใดได้อีก เขาฉีกยิ้มให้เ่ิูแล้วเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “น้องเย่ ข้าตามหาเ้ามาครึ่งวัน ตอนนั้นข้าแค่ล้อเ้าเล่นเองนะ ไปเข้าทดสอบเืลมปราณกับข้าเถอะ...”
แววตาที่มองเ่ิูมีแต่ความประจบสอพลอ หมดคราบเย่อหยิ่งเหมือนพร้อมเหยียบหัวเมื่อตอนนั้นไปเสียสนิท
เ่ิูทำเพียงยิ้มเย็นเยือก ไม่โต้ตอบใดๆ
“เ้าเป็คนคุมสอบด่านเืลมปราณเองหรือ?” ข่งคงเป็อาจารย์หลักประจำปีหนึ่ง ประสบการณ์โชกโชน แค่อีกฝ่ายอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เขายกมือขึ้นชี้หน้าหลิวเหิง แล้วกล่าวอย่างไม่ถนอมน้ำใจ “เ้าบอกมาซิ ไฉนเ่ิูมาไกลถึงนี่ แต่ทำไมยังไม่ได้เข้าทดสอบด่านเืลมปราณอีก?”
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้