จ้าวไฉ่เอ๋อร์เมื่อเ้ามอบอำนาจการจัดซื้อให้ข้า เ้าก็จงรอรับผลที่จะตามมาจากสิ่งนี้เถิด
หลิ่วจิ้งคิดเช่นนี้อยู่ในใจนางเป็เพียงสตรีตัวเล็กบอบบางผู้หนึ่งในจวนราชครูที่หวังเพียงได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขแต่์กลับไม่ให้โอกาสนี้แก่นาง บีบคั้นนางสู่อันตรายหนแล้วหนเล่าเพราะเหตุนี้นางจึงมิอาจไม่โต้ตอบอย่างสุดแรงเพื่อให้ได้มีชีวิตรอด
ครานี้เป็โอกาสแสนวิเศษ หากไขว่คว้าเอาไว้ได้ นางอาจได้ปิดฉากการเป็ผู้ถูกกระทำอย่างที่เป็อยู่ตลอดมานี้เสียที
หลิ่วจิ้งมองผ่านสีหน้าคับแค้นใจของอิ๋งเหอตกลงว่าให้อิ๋งเหอและอวี้จิ่นผลัดกันออกจากจวน ไว้พรุ่งนี้จะพาอิ๋งเหอออกจากจวนไปด้วยจึงสามารถเกลี่ยกล่อมอิ๋งเหอสำเร็จ กว่าจะกล่อมอิ๋งเหอว่าให้นางพาอวี้จิ่นออกจากจวนไปก่อนได้ก็ไม่ใช่เื่ง่ายเลย
วันแรกที่ออกจากจวน นางไม่อยากพาอิ๋งเหอไปด้วยเพราะคนที่นางสามารถเชื่อได้หมดใจก็มีแค่อวี้จิ่นคนเดียวเท่านั้นใน่เวลาที่ยังมองตัวตนของอิ๋งเหอได้ไม่ชัดเจน นางไม่อยากดึงอิ๋งเหอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“ฮูหยิน ตอนนี้จะไปที่ใดก่อนเ้าคะ?” หลังออกมาจากจวน อวี้จิ่นก็อารมณ์เบิกบานขึ้นมาก
อวี้จิ่นดูผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนท้องถนนกว้างจนตาลายนางสังเกตดูรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น นับั้แ่มาถึงแคว้นชางอี้หลังจากคืนนั้นที่นางเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพกับหลิ่วจิ้งนางก็ไม่เคยออกมาจากจวนแม่ทัพเลยสักครา
“ตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่มีแผนการใดชั่วคราวเดินไปเรื่อยเปื่อยก่อนเถิด เดินไปถึงที่ใดก็ไปที่นั่น”เมื่อออกมาจากจวนแม่ทัพที่แสนอุดอู้ ตัวหลิ่วจิ้งเองก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเสียจริงๆนางไม่อยากบีบบังคับตนเองเกินไป จึงคิดว่าไปเที่ยวให้มีความสุขเสียก่อนให้ได้ผ่อนคลายจิตใจแล้วค่อยว่ากัน
พวกนางออกมาเที่ยวเล่นกันจริงดังว่า อันดับแรกหลิ่วจิ้งพาอวี้จิ่นไปเบิกตั๋วเงินสองพันตำลึงจากห้างเงินตราแล้วเริ่มเดินลัดเลาะไปทั่ว ร้านที่สตรีชื่นชอบเป็ที่สุดคือร้านเสื้อผ้าตัดสำเร็จร้านเครื่องประดับอัญมณีเป็ตัวเลือกอันดับต้นๆ ของพวกนางทว่าเมื่อเคยเห็นของที่อยู่ในหอหรงซินมาก่อน เครื่องประดับในร้านทั่วๆไปล้วนไม่เข้าตาหลิ่วจิ้งสักชิ้น
“ไป ข้าจะพาเ้าไปดูที่แห่งหนึ่ง”หลิ่วจิ้งดึงมืออวี้จิ่นเดินไปด้วยท่าทีลึกลับ
“ฮูหยิน ไปที่ใดเ้าคะ”อวี้จิ่นพลอยกระตือรือร้นไปกับหลิ่วจิ้งด้วย พวกนางสองคนอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันหากตัดฐานะนายบ่าวทิ้งไป ย่อมเป็เพื่อนที่ไปเที่ยวเล่นและเข้ากันได้โดยง่าย
หลิ่วจิ้งไม่ยอมตอบได้แต่ดึงอวี้จิ่นวิ่งเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามความทรงจำของนาง เมื่อตัวอักษรตัวโตสีทองอร่ามสามตัว ‘หอหรงซิน’ ปรากฏสู่สายตาหลิ่วจิ้งจึงพยักหน้าอย่างพอใจ “ที่นี่ล่ะ”
อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของหลิ่วจิ้ง ที่แห่งนี้เป็อาคารซึ่งสูงกว่าร้านทั่วไปมองผู้คนที่เข้าออกที่นี่เพียงแวบเดียว อวี้จิ่นก็รู้ว่าคนที่จะเข้าออกหอหรงซินได้หากไม่สูงศักดิ์ก็ต้องร่ำรวย
นางมองหลิ่วจิ้งอย่างไม่เชื่อสายตา เอื้อมมือชี้ไปอย่างระวัง“ฮูหยิน ท่านแน่ใจว่าจะเข้าไปหรือเ้าคะ?”
“ไปสิ เหตุใดจะไม่ไป เ้าลืมแล้วหรือเครื่องประดับข้อมือที่จะเข้าตาฮูหยินผู้เฒ่าได้ย่อมต้องมาจากหอหรงซินเท่านั้นแล้ว ต่อให้ไม่ซื้อ ดูเล่นสักหน่อยก็มีความสุขดี อีกประการหากมีเครื่องประดับที่เข้าตาข้า ก็เบียดบังเงินส่วนกลางเป็ส่วนตัวซื้อมาเสียใช่จะทำมิได้”
หลิ่วจิ้งยิ้มหยันพลางก้าวเท้าขึ้นไปตามบันไดอวี้จิ่นเหลียวซ้ายแลขวา ลำบากใจจนใจเต้นรัวดั่งกลองลั่นแต่เมื่อหลิ่วจิ้งยิ่งเดินห่างออกไปทุกที นางจึงทุ่มสุดตัวก้าวเท้าไล่ตามขึ้นไป
การตกแต่งภายในหอหรงซินย่อมยังไม่เปลี่ยนแปลงพระพุทธรูปแย้มพระโอษฐ์ยังคงจับจ้องผู้คนด้วยรอยยิ้ม ราวกับอ้าปากกว้างยิ้มเอ่ยว่าโปรดรับไว้เถิดโปรดรับไว้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเครื่องประดับต่างๆ ในตู้วางสินค้า
มาครานี้ หลิ่วจิ้งพบว่าเครื่องประดับหลายชิ้นที่เคยเห็นครั้งก่อนล้วนไม่อยู่แล้วไม่รู้ว่าขายออกไปจนหมด หรือว่าถูกเ้าของเก็บกลับไป
นางก้มหน้าสังเกตดูทีละตู้อย่างละเอียด แม้จะซื้อไม่ไหวแต่ดูให้อิ่มตาก็ไม่ผิดกฎหมายใดนี่
“นายท่าน เครื่องประดับข้อมือที่ท่านเอ่ยถึงคล้ายว่าเคยเห็นมาก่อน ทว่ายามนี้ไม่มีแล้ว ส่วนว่าไปอยู่ที่ใดนั้น คงต้องขออภัยโปรดอภัยว่าร้านของเราจะไม่เปิดเผยรายละเอียดของผู้ซื้อนะขอรับ”
“เถ้าแก่ ต้องขอให้อำนวยความสะดวกให้ด้วย สร้อยข้อมือเส้นนั้นเดิมทีเป็ข้าหมายตาไว้นานแล้ว แต่ครั้งนั้นเงินทองในมือไม่สะดวกจึงยื้อเวลาจนเพิ่งมายามนี้”
หลิ่วจิ้งกำลังหมายตาสร้อยเส้นหนึ่ง ในขณะที่กำลังคิดว่าจะซื้อเอาไว้ดีหรือไม่ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนน่าฟังดังเข้ามาในหู
นางมองไปตามที่มาของเสียงด้วยความสงสัยแต่กลับเห็นว่าเ้าของเสียงก็กำลังมองนาง เพียงแต่คนผู้นั้นไม่ได้มองที่ตัวนางแต่มองสร้อยที่ข้อมือนาง
สร้อยข้อมือนี้หั่วอี้ซื้อให้นาง เป็ของรักของห่วงที่สุดของนางโดยเฉพาะนางชื่นชอบในความน่าอัศจรรย์ที่มันสะท้อนแสงแดดออกมาเป็หลายสีนางยังจำความริษยาและไม่ยอมใจในดวงตาของนางจ้าวกับอาหนูยามที่เห็นสร้อยข้อมือเส้นนี้ได้
หลิ่วจิ้งมองที่สร้อยข้อมือของนางตามสายตาของชายผู้นั้นดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่นางถูกมองผ่านตัวนางแต่กลับจดจ้องที่มือของนางแทน
หลิ่วจิ้งเห็นว่าคนผู้นั้นเดินเข้ามาหานางทีละก้าวๆด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดีอวี้จิ่นเห็นดังนั้นก็รีบปกป้องนายด้วยการรีบมายืนขวางตรงหน้าบังสายตายคนผู้นั้นเอาไว้
หลิ่วจิ้งผลักอวี้จิ่นออกอย่างไม่พอใจแล้วส่ายหน้าใส่นางความงามน่ากลืนกินเอ๋ย ความงามน่ากลืนกินนี่เป็คำวิจารณ์ที่หลิ่วจิ้งมีต่อคนผู้นี้
รูปร่างสูงโปร่ง จากความนวลนุ่มมันวาวของเสื้อผ้าจึงมองออกว่าเป็ไหมต่วนชั้นเลิศตาแวววาวคู่นั้นช่างลึกลับและสว่างใสในเวลาเดียวกัน ชวนให้อดจับจ้องมิได้ สีหน้าเขางามสง่าสูงส่งเขาค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เป็ความทะนงและมุ่งมั่น
“คำนับคุณหนู” คนผู้นี้ประสานมือคำนับ เขามีรอยยิ้มบนใบหน้ารอยยิ้มนั้นส่งตรงจากดวงตา เห็นได้ชัดว่าเป็การคำนับจากใจจริง
“คุณหนูอันใดเล่า เป็ฮูหยินต่างหาก” อวี้จิ่นเลิกคิ้วนางมีโอกาสออกจากวังน้อยนัก จึงยังขาดประสบการณ์เื่การเข้าใจจิตใจคนเมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นมีรอยยิ้มบนใบหน้านึกว่าเขาเป็พวกหาโอกาสเข้ามาก้อร่อก้อติก
หลิ่วจิ้งรับการคำนับแต่ไม่ได้คำนับตอบเพียงมองชายผู้นั้นโดยไม่แสดงท่าทีใด ศัตรูไม่ขยับ ข้าไม่เขยื้อนปฏิบัติเช่นนี้ก็ถือว่าตอบรับเขาได้เหมาะสมแล้ว
“ข้าขอสนทนากับฮูหยินต่อสักหน่อยได้หรือไม่”ชายผู้นั้นเอ่ยปากพลางผายมือเป็ท่าเชื้อเชิญ
หลิ่วจิ้งมองสายตาที่ทุกคนในร้านมองมาคราหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าน้อยๆถือเป็การตอบรับ
คนผู้นั้นยินดีนักและยังคงผายมือไปทางนอกประตูเขาไม่ขยับตัวทั้งมองหลิ่วจิ้งด้วยแววตากระตือรือร้นคล้ายรอให้หลิ่วจิ้งเดินไปก่อน
หลิ่วจิ้งก้าวเท้าไปทางประตูโดยมีอวี้จิ่นกระทืบเท้าเดินตามไปนางโอดครวญอยู่ในใจที่ฮูหยินปล่อยตัวตามสบายเกินไป หากให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าฮูหยินพบปะกับชายแปลกหน้านางยังไม่กล้านึกถึงผลที่จะตามมาเลย ไม่ได้การแล้วนางต้องหาโอกาสเตือนฮูหยินสักหน่อย
แต่นางกลับไม่รู้ว่าขนบธรรมเนียมของแคว้นชางอี้เปิดกว้างชายหญิงคบหากันได้ตามใจ สตรีเข้าออกตามท้องถนนเพื่อหาความเร้าใจแม้ไม่ใช่ข้อกำหนดที่บัญญัติเอาไว้ชัดเจนแต่ก็เปิดโอกาสให้ทำได้นานแล้วทั้งการแลกเปลี่ยนสตรีกันระหว่างบุรุษก็เป็เื่ปกติ
“ฮูหยิน ข้างหน้ามีหอน้ำชาแห่งหนึ่งท่านจะให้เกียรติไปนั่งที่นั่นสักพักได้หรือไม่ขอรับ”ชายหนุ่มเดินตามหลังหลิ่วจิ้งมาติดๆ แล้วมายืนเคียงไหล่กับนาง บุรุษหล่อเหลาสตรีงดงามเป็คู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่งพริบตานั้นจึงดึงดูดสายตาผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาให้หันมอง
หลิ่วจิ้งพยักหน้ารับอีกครั้งขณะก้าวเท้าลงบันไดแม้คำโบราณว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ แต่สัญชาตญาณของหลิ่วจิ้งบอกนางว่าคนผู้นี้หาได้มีเจตนาร้ายนางมองออกจากใบหน้าของคนผู้นี้ว่าแม้เขาจะอายุยังน้อยแต่กลับมีริ้วรอยจากรอยยิ้มจะต้องเป็เพราะเขามักมีรอยยิ้มบนใบหน้าจึงสั่งสมจนเป็เช่นนี้คนที่มักแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เ้าเล่ห์อีกสักเท่าใดก็คงไม่ร้ายไปถึงไหนได้กระมัง
ชายผู้นั้นมองผ่านยามเห็นรูปโฉมของนาง เห็นได้ชัดว่าเขามิใช่พวกเยี่ยมเยือนบุปผาถามหาต้นหลิว[1] นอกจากจะไม่เ้าเล่ห์แล้วยังไม่เ้าชู้ด้วย และสายตาที่เขามองมาก็มองเพียงสร้อยที่ข้อมือนางเท่านั้นหลิ่วจิ้งจึงวางใจและไปตามคำเชิญของเขา
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] เยี่ยมเยือนบุปผาถามหาต้นหลิว หมายถึง คนเ้าชู้ประตูดินหลงใหลในกามรมย์ ชอบไปแหล่งคณิกา
