ด้วยเหตุนี้ลั่วชีเหนียงที่พักอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งวัน นางก็พาพวกพ้องไปตั้งแผงในอำเภออีก ผู้ที่ตามลั่วชีเหนียงไปครั้งนี้คือจ้าวจือชิง ตอนนี้ความสนใจของทุกคนอยู่ที่ลั่วจิ่งเฉิน มีคนช่วยงานในบ้านนางก็วางใจ จึงเลี่ยงไม่ได้ต้องให้จ้าวจือชิงตามไปด้วย
เพียงแต่พอจ้าวจือชิงตามออกไปปุ๊บ ลั่วจิ่งเฉินก็สังเกตเห็นความผิดปกติปั๊บ เนื่องด้วยคนในครอบครัวพบว่าเขาไม่ชอบจ้าวจือชิง ดังนั้นจึงไม่ค่อยให้จ้าวจือชิงปรากฏตัวต่อหน้าเขา
ลั่วจิ่งเฉินที่คอยจับตาดูจ้าวจือชิงในทุกวันกลับไม่เห็นเขาอยู่ในบ้านวันนี้ จึงอดถามไถ่ไม่ได้
ไหลไหลน้อยย่อมไม่เข้าใจเื่ราวระหว่างผู้ใหญ่ เพียงแต่เห็นพี่ใหญ่ยอมเข้าหาตนเอง ฉับพลันจึงบอกออกไปหมด
“วันนี้ท่านลุงจ้าวไปช่วยท่านแม่ตั้งแผงในอำเภอ ท่านแม่บอกว่า อากาศจะหนาวแล้ว ต้องรีบหาเงินเพื่อซื้อของใช้ในบ้าน แล้วยังบอกว่าจะช่วยทำหลุมใต้ดินในห้องพี่ใหญ่ เช่นนี้พี่ใหญ่จะได้มีห้องที่อบอุ่นไว้อ่านตำรา”
ท่านแม่ยังรับปากว่า รอที่บ้านมีเงิน จะส่งเขากับพี่ชายทั้งสองไปเล่าเรียนที่สถานศึกษา ทว่าเขาไม่สนใจเื่เล่าเรียน ตรงกันข้ามคือชื่นชอบการฝังเข็มของท่านปู่หลิงมากกว่า ทว่าท่านแม่บอกไว้ว่า หากไม่รู้อักษร เกรงว่าตำราแพทย์ก็คงอ่านไม่เข้าใจ อย่าว่าแต่การจับเข็มเงินหาจุดชีพจรเลย
หากแต่การอ่านตำรายากนัก ถ้าพี่ใหญ่ยินดีสอนเขาก็คงดี
“พี่ใหญ่…” ไหลไหลน้อยเม้มปากและมองลั่วจิ่งเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง ลั่วจิ่งเฉินรับรู้ถึงความประหม่าของเด็กน้อย จึงคลายความตึงเครียดบนตัวออก
“เ้าอยากพูดอะไร?”
เขาพยายามทำให้เสียงดูเป็มิตรมากที่สุด
“คือว่า พี่ใหญ่…” ไหลไหลเม้มปากเบาๆ จากนั้นมองเขาด้วยใบหน้าระมัดระวังและเอ่ยถาม “รอท่านแม่ทำหลุมใต้ดินให้พี่ใหญ่เสร็จ พี่ใหญ่สามารถสอนหนังสือให้ข้าหรือไม่?”
ลั่วจิ่งเฉินเห็นท่าทางระมัดระวังของน้อง ทันใดนั้นก็นึกถึงครั้งแรกที่ตนเองไปสถานศึกษาในวัยสามหนาว ตอนที่ได้ยินเสียงอ่านตำรา ในใจก็โหยหามัน
ตอนนั้นท่าทีของตนก็คงเหมือนกับหัวใจดวงน้อยที่เปี่ยมด้วยความหวังเต็มอก น่าเสียดายเพียงตนเองในวัยเยาว์นั้นไม่รู้เื่อันใดจึงได้พลาดโอกาสอย่างใหญ่หลวงในการเล่าเรียน
“ได้แน่นอน”
ไหลไหลน้อยเห็นเขาตอบตกลงก็ะโโลดเต้นอยู่ในลานบ้าน “พี่ใหญ่รับปากจะสอนข้าแล้ว พี่ใหญ่รับปากจะสอนข้าแล้ว! ท่านปู่หลิง ท่านปู่หลิง พี่ใหญ่รับปากจะสอนข้าจริงๆ!”
มองดูท่าทางดีใจของเด็กน้อย หลิงชางไห่ก็ลูบหัวของไหลไหลแล้วพูด “ดีดีดี ไหลไหลน้อยจะต้องเรียนรู้จากพี่ใหญ่ของเ้าอย่างตั้งใจ รอภายภาคหน้า ความรู้การแพทย์ของข้าก็จะถ่ายทอดสู่เ้าแน่”
หลิงชางไห่อบอุ่นหัวใจอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนั้นที่รับปากว่าจะรักษาลั่วจิ่งเฉิน ยังไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะกระตุ้นให้ลั่วจิ่งไหลเกิดความปรารถนาอยากเรียนการแพทย์
ตอนนี้ร่างเล็กบางซุกอยู่ข้างกายของตน จากนั้นจ้องมองตนเองตาปริบๆ กระทั่งเสียงเวลาพูดก็ดูอ่อนแอตื่นกลัวเล็กน้อย
“ข้าสามารถเรียนรู้การแพทย์กับท่านปู่หลิงได้หรือไม่?”
ตอนนั้นตนถามเด็กน้อยว่าเหตุใดจึงอยากเรียนการแพทย์ เด็กน้อยจึงตอบว่า
“เื่ขาของพี่ใหญ่ ต้องโทษข้า เพราะข้า ขาของพี่ใหญ่จึงพิการ”
ไหลไหลน้อยเก็บซ่อนเื่นี้อยู่ภายในใจมานาน กลุ่มแม่บ้านในหมู่บ้านมักนินทาเื่ชาวบ้านอย่างไม่ระวัง มีครั้งหนึ่ง ไหลไหลน้อยได้ยินจากปากของพวกนางเื่สาเหตุที่ขาของลั่วจิ่งเฉินได้รับาเ็
......
“โอ้ เ้ารู้หรือไม่ว่านี่มันบาปกรรมชัดๆ ลั่วชีเหนียงดูอ่อนแอบอบบาง อันที่จริงสำส่อนนัก พอสามีกลับมาก็เกาะไม่ปล่อย ท่าทางชั้นต่ำแบบนั้น ช่างไม่น่าดูชม”
“เ้ารู้ได้เยี่ยงไร? หรือว่านางเคยสำส่อนให้เ้าดู?” แม่บ้านที่ร่วมวงสนทนาหัวเราะคิกคักและกระแทกไหล่กันไปมา
“นี่ยังต้องดูอีกหรือ จี้ฉงเหวินนานทีปีหนจะกลับมาสักครั้ง พอกลับมาก็ตั้งครรภ์ลูกชายคนที่สาม นี่ต้องเก่งกาจเพียงใด! แล้วดูขาของลูกชายคนโตพวกเขาสิ ไม่แน่ว่าคงเพราะสำส่อนเกินไป จี้ฉงเหวินทนไม่ได้จึงทอดทิ้งนาง ไม่แน่ว่าขานั่นของลูกชายคนโต นางอาจเป็คนตีจนหักเพื่ออยากรั้งจี้ฉงเหวินให้อยู่ต่อก็เป็ได้”
“คนอย่างเ้า คำพูดนี้อย่าได้ริอาจพูดไปเรื่อย! ไม่แน่ว่าอาจเป็เพราะเ้าตัวเล็กสุดที่เป็ตัวกาลกิณี คนเล็กเพิ่งเกิด ขาของคนโตก็มีปัญหา ว่าไม่ได้ว่าไม่ได้...”
คำสนทนาระหว่างแม่บ้านทำให้ไหลไหลน้อยเหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ แต่เื่นี้เขากลับไม่รู้ว่าควรถามท่านแม่อย่างไรและไม่รู้ว่าควรพูดกับผู้ใด เขารู้แก่ใจดีว่า แม้ปกติท่านแม่จะไม่ห่วงใยพี่ใหญ่กับพี่รอง แต่ไม่มีทางทำเื่หักขาคนเด็ดขาด
......
ดังนั้น เขาจึงรู้สึกว่าการเกิดของตนเป็การนำโชคร้ายมาให้ลั่วจิ่งเฉิน ทำให้พี่ใหญ่ต้องพิการ แต่คำพูดนี้เขาไม่กล้าบอกกับผู้ใดและไม่กล้าถาม เพียงเพราะกลัวจะทำให้ผู้ใหญ่โมโห จึงได้แต่เก็บไว้ จวบจนหลิงชางไห่ถามเขา เขาถึงตอบความจริงออกมา
“อืม ข้าจะต้องตั้งใจเรียนรู้ให้ดี!”
ลั่วจิ่งไหลเชิดหน้าขึ้นอย่างขึงขังและรับประกัน ทำเอาหลิงชางไห่ยิ่งรู้สึกสงสารจับใจอีกทั้งยังหวงแหนเ้าตัวเล็ก
สองตาหลานจึงสนิทสนมกันยิ่งขึ้นเพราะความลับ สำหรับความสมานฉันท์ระหว่างพวกเขา ลั่วจิ่งซีรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เขาเองก็้าได้รับความห่วงใยจากผู้ใหญ่อย่างมากเช่นกัน
เขาเบะปาก จากนั้นพ่นดอกหญ้าในปากลงบนพื้น
ช่างเถอะ เขาตั้งใจหาเงินกับท่านแม่ดีกว่า
“เหตุใดเ้าไม่ไปที่อำเภอ?” เดิมทีคิดว่าลั่วจิ่งซีจะตามไปด้วย มีคนคอยดูจ้าวจือชิง เขาจะได้ไม่ต้องห่วงมาก ตอนนี้กลับเห็นลั่วจิ่งซีอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำและเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วบ้าน
ลั่วจิ่งซีส่งเสียงตอบรับ “อ้อ พี่ใหญ่ ท่านแม่บอกว่าตอนนี้ขาของพี่ใหญ่กำลังอยู่ใน่เวลาคับขัน ให้พวกเราอยู่ดูแลท่าน ส่วนนางกับเ้าทึ่มจ้าว” เมื่อนึกถึงว่าท่านแม่ไม่ให้พวกเขาเรียกจ้าวจือชิงว่าเ้าทึ่มจ้าว เขาจึงรีบเปลี่ยนคำเรียก “กับท่านลุงจ้าวจะไปอำเภอด้วยกัน”
ได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของลั่วจิ่งเฉินก็เผยความหงุดหงิดออกมาแวบหนึ่ง ดันปล่อยให้คนผู้นี้มุดช่องโหว่เสียได้
เพียงแต่ขณะนี้เขาเองไม่อาจดื้อรั้นเอาแต่ใจตามไปอำเภอได้ ตอนนี้ขาของเขากำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญของการรักษา ่นี้เวลาฝังเข็มเสร็จก็มักจะรับรู้ได้ถึงความเ็ป ท่านหลิงบอกว่าเป็เพราะมีความหวังในการรักษา จึงรู้สึกถึงความเ็ป หากไม่รู้สึกอะไรก็คงไม่ต้องคาดหวังกับการรักษาขั้นต่อไป
นี่ทำให้เขาที่ไม่ค่อยใส่ใจการรักษามาโดยตลอด อดไม่ได้ที่จะเริ่มมีประกายแห่งความหวัง
เพียงแต่ทั้งครอบครัวรอแล้วรอเล่าจวบจนท้องฟ้ามืดค่ำ แต่กลับไม่เห็นลั่วชีเหนียงกับจ้าวจือชิงกลับมา
หลิงชางไห่เป็ผู้ใหญ่ พบเจอโลกกว้างมามาก จึงปลอบโยนพวกเขา
“พวกเ้าไม่ต้องกังวล ข้าคิดว่าคงเพราะค้าขายดีมากจึงทำให้กลับช้า อีกอย่างก็เป็ไปได้ว่าแม่ของพวกเ้าไปจับจ่ายซื้อของอยู่ หากมีเ้าทึ่มจ้าวอยู่ด้วย พวกคนเจนจัดเข้าใกล้แม่เ้าไม่ได้อยู่แล้ว”
ถึงแม้จะปลอบโยนพวกเด็กๆ แต่หลิงชางไห่ก็ยังไม่สบายใจ หลังจากทานอาหารค่ำอย่างง่ายๆ ก็ตรงไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน
ฝูอันได้ยินว่าลั่วชีเหนียงยังไม่กลับมา จึงบอกว่าเป็ไปไม่ได้
“วันนี้ข้าเข้าไปจับจ่ายในอำเภอ ตอนนี้มีคนเลียนแบบชานม ชีเหนียงบอกว่าค้าขายไม่ดี พวกนางจึงรีบเก็บแผงกลับมา”
“คนเลียนแบบอะไรนะ?” หลิงชางไห่หูตั้งขณะถาม เกิดสินค้าลอกเลียนแบบั้แ่เมื่อใดกัน
อันที่จริงเื่ชานมของชีเหนียงจะถูกลอกเลียนแบบก็เป็เื่ที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้อยู่แล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเพียงนี้ นับั้แ่พวกนางเริ่มตั้งแผงั้แ่เช้าก็เห็นลูกค้าแค่ไม่กี่คน พอเดินวนทั่วตลาดถึงได้รู้ว่า ชานมที่ลอกเลียนแบบ จ่ายแค่หนึ่งอีแปะก็สามารถซื้อชานมได้หนึ่งชามลึกถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นคาวนมก็ตาม จึงได้รับความนิยมชมชอบจากชาวบ้านธรรมดาส่วนใหญ่
ดีที่แผงชานมของตนยังมีลูกค้าสูงศักดิ์อุดหนุนและโชคดีที่งานเลี้ยงสกุลหยางทำให้ชานมสกุลลั่วมีชื่อเสียง แม้ว่าจะมีชนชั้นสูงที่ร่ำรวยมาซื้อ ถึงจำนวนไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีกำไร
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า่บ่าย ร้านชานมก็มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น จนชีเหนียงกับจ้าวจือชิงถูกคุมตัวไปที่ศาล
-----
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้