ฝูงหมาป่าฝูงใหญ่รวมตัวกัน
หลังจากเหมันตภัยเมื่อหกปีก่อน หมาป่าบนทุ่งหญ้าก็ลดน้อยลงมาก ยามวิกาลขอแค่ไม่ออกไปไหนเพียงลำพัง ย่อมมีชีวิตรอดจากเ้าพวกหมาป่าเหล่านี้ได้
ทว่าบัดนี้หมาป่าบนทุ่งหญ้ากลับทำร้ายคนอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งออกเดินทางเป็กลุ่ม ก็ยังไม่วายโดนพวกมันโจมตี
ตลอดค่ำคืนล้วนมีแต่เสียงหมาป่าเห่าหอนอยู่ไม่ขาด
กลางวันไม่ว่าจะมีศพถูกทิ้งไว้มากมายเพียงใด เพียงชั่วข้ามคืน เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนทุ่งหญ้าก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมเช่นในวันวาน
สะอาดสะอ้านยิ่ง
ไร้วี่แววของร่างไร้ลมหายใจเ่าั้
ูเากระดูกที่เพิ่งจะสงบสุขได้เพียงห้าหกปี ทันใดทุกคนก็ต้องกลับไปมีความรู้สึกราวกับครั้งแรกที่พวกตนเพิ่งจะย่างกรายขึ้นมาบนูเาลูกนี้
พานทำให้ในใจลึกๆ ของทุกคนอัดแน่นไปด้วยโทสะที่อยากจะระบายออกมาเต็มทน
ราชครูเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
เพราะูเากระดูกนั้นเดิมทีก็เป็ดินแดนที่เหล่าทวยเทพทอดทิ้ง มันจึงดูดซับไอแห่งความตายและไอแห่งโทสะเอาไว้
แต่เพราะการมาถึงขององค์หญิงเฉินโย่ว นางได้นำไอแห่งความตายและโทสะเ่าั้มาซึมซับไว้บนร่างของตน จึงทำใหู้เากระดูกลูกนี้นับวันก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง
ทว่าบัดนี้ทุ่งหญ้ารกร้างแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายิญญาอาฆาต
ิญญาอาฆาตเ่าั้ราวกับทะเลหมอกที่ค่อยๆ คืบคลานเอื่อยเฉื่อยไปรวมตัวกันบนูเากระดูก
บนูเา ภรรยาของต้าโกวยากเย็นนักกว่าจะตั้งครรภ์ลูกคนนี้ เด็กคนนี้ไม่นานก็จะครบเดือนแล้ว ทว่านางกลับตกเื ก้อนเืที่ไหลออกมานั้นยังเห็นเป็ใบหน้าของทารกน้อยคนหนึ่ง
ช่างน่าหวาดกลัวนัก
เด็กๆ บนูเาก็เริ่มเจ็บป่วยเช่นกัน
ด้วยความจนใจ ท่านอาจารย์กัวจึงได้ให้เด็กเหล่านี้มารวมตัวกันที่กระท่อมของเฉินโย่ว
ทว่าเมื่อเทียบกับฝูงหมาป่าคลั่งด้านล่างแล้ว ูเากระดูกยามวิกาลนับว่าสงบกว่ากันมากนัก นับได้ว่าสงบเงียบ ทั้งยังปลอดภัยจากฝูงหมาป่า
อู๋เจียงที่พิงผนังอยู่ หันมองข้างกายตนก็พบว่ายังมีมีดเล่มโตวางเรียงอยู่ราวแปดเล่ม ทุกเล่มล้วนแต่สะท้อนแสงแวววาวจนทำให้หมู่ดาวนั้นดูหม่นหมองลงทันตา
ร่างของเขาบัดนี้กระทั่งจะนั่งก็ยังนั่งไม่ไหว จึงได้แต่นอนลงแล้วลองลูบมีดเ่าั้ทีละเล่ม
ลูบไปลูบมาก็พลันทอดถอนใจ
หากว่าเหล่าพี่น้องของตนยังอยู่ แล้วได้แบ่งมีดเหล่านี้กันคนละเล่ม จะดีสักเพียงใด
สุดท้ายเขาจึงเลือกมีดเล่มที่วางอยู่ตรงกลาง แล้วจึงลากมันมาข้างกายตน ส่วนมีดที่เหลือนั้นเขาก็ไม่ได้มองมันต่ออีก ด้วยกลัวว่าตนนั้นจะเกิดลังเลขึ้นมา
เขากอดมีดเล่มที่ตนเลือกไว้แนบกาย
จากนั้นจึงเริ่มสอดส่องสายตาสำรวจคนรอบกายตน เห็นว่าตรงกลางมีไฟกองสุมอยู่กองหนึ่ง
เปลวไฟลุกโหมสูง ท่ามกลางเปลวไฟที่โลมเลียมีเนื้อแกะอยู่แถวหนึ่ง
น้ำมันจากเนื้อแกะไหลหยดลงพื้น
ด้านข้างยังมีหม้อใบใหญ่ ในหม้อยังมีน้ำแกงเดือดปุดๆ
รอบกองไฟนั้นมีคนนั่งล้อมกันอยู่แน่นขนัด มีทั้งบุรุษ สตรี เด็กเล็ก คนชรา หรือกระทั่งคนพิการ
คนเหล่านี้คือเหล่าโจรบนูเากระดูกที่เขาเคยคิดจะกวาดล้างอย่างนั้นหรือ
หนึ่งในสตรีที่กำลังต้มน้ำแกงอยู่นั้นเป็คนที่เขารู้จัก นางก็คือสตรีในครอบครัวนักโทษที่เขาขายให้กับท่านนายอำเภอในตอนนั้น
ตอนนั้นเขายังเคยเห็นนายทหารในค่ายมาหยอกเย้าอยู่กับนาง หากเป็ด้านนอกเขาก็คงจะไม่ว่าอะไร แต่เมื่ออยู่ในค่าย นายทหารคนนั้นจึงได้แต่ลิ้มรสฝ่าเท้าของเขา
อีกทางหนึ่งเพื่อให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ของเขาได้รู้จักเจียมตนเช่นกัน
ทว่าสุดท้ายเขาก็ดูแลได้ไม่หมดอยู่ดี
ราชสำนักไม่เคยจะให้เบี้ยเลี้ยง มีแต่ใช้งานเปล่าๆ ทั้งยังจะให้เลี้ยงเหล่านักโทษพวกนั้น ช่างทำราวกับว่าพวกเขาเป็อู่ข้าวอู่น้ำก็ไม่ปาน ทั้งที่ทหารในค่ายเองก็ยังไม่เคยจะได้กินอิ่ม สวมเสื้อผ้าอุ่น กระทั่งคนอดตายในค่ายก็ใช่ว่าจะไม่มี
หญิงสาวร่างผอมแห้งอ่อนแรงใกล้จะสิ้นลมอยู่รอมร่อนางนั้น ตอนนี้ทั้งหลังและเอวก็แทบจะตรงเสมอกัน ในมือถือทัพพีอันโตกำลังคนน้ำแกงในหม้อ ยามแสงอาทิตย์ส่องกระทบลงตรงหน้านางก็สะท้อนให้เห็นแก้มแดงระเรื่อ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาใจริงๆ กลับไม่ใช่แม่นางที่กำลังถือทัพพีนางนั้น แต่เป็สตรีในชุดดำที่บนใบหน้าสวมหน้ากากที่ยืนอยู่ด้านข้าง
อู๋เจียงก็รู้จักนางเช่นกัน
ได้ยินมาว่านางนั้นทำผิดร้ายแรงมา ดังนั้นจึงได้รับพระราชทานโทษทำลายโฉม ทำลายใบหน้าของนางให้เสียโฉม บทลงโทษนี้ช่างทารุณนัก ทั้งยังเ็ปอย่างยิ่ง เหล่าคนที่ได้รับโทษนี้มักจะเ็ปจนต้องกรีดร้องออกมาจนเสียงล้วนเปลี่ยนเป็แหบแห้ง สาหัสถึงขั้นต่อมาไม่อาจเปล่งเสียงพูดได้อีก
ทว่าอู๋เจียงก็รู้สึกว่านางไม่ได้น่าสังเวชถึงเพียงนั้น ในค่ายทหารคนที่น่าสังเวชมีให้เห็นมากมายนัก
อีกทั้งเขายังได้ยินมาว่ารูปร่างของนางแสนจะอรชร...เื่นี้ก็นับว่าเป็โศกนาฏกรรมหนึ่งสำหรับนางเช่นกัน ทว่าบัดนี้ยามที่นางนั่งอยู่บนทุ่งหญ้า ก็พอจะมองออกว่ารูปร่างของนางนั้นงดงามยิ่ง
ดวงตาคู่นั้นของนางช่างงดงามแต่ก็เ็าเหลือเกิน
ข้างกายนางยังมีดาบเล่มหนึ่ง ไม่เพียงดูล้ำลึก แต่ยังมีสีแดงทอประกายออกมา ขอบดาบยังมีรอยเืสีแดงสด
มีดเล่มนี้คงจะอาบเืมามากมายเกินจะนับครั้ง และคงจะเคยปลิดชีพผู้คนมามากมายเช่นกัน
เมื่อมองไปจึงเห็นเป็ดาบสีแดงปักอยู่ข้างกายสตรีคนนั้น
ท่าทางโผงผางของนางยกสุราขึ้นมาจรดริมฝีปาก กระดกของเหลวฤทธิ์ร้อนแรงลงคอ บางคราก็หันไปสนทนากับคนด้านข้าง
นางดูแล้วไม่เหมือนสตรีแม้แต่น้อย ดูคล้ายกลับทหารกล้านายหนึ่งมากกว่า
ในค่ายของเขาทหารนายที่เก่งที่สุดยังไม่ดูอาจหาญเท่านาง
ลมยามเย็นโบกพัดให้เรือนผมของนางไหวเบาๆ สายลมโชยอ่อนนั้นพัดพาปอยผมนุ่มสลวยให้ลากผ่านหน้ากากแข็งๆ ของนางอย่างแ่เบา
เขาได้แต่จ้องมอง ยามที่นางหันมามองตน สายตาที่มองก็ราวกับกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่
สายตาของนางนั้นทำเอาอู๋เจียงแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
เขาพลันหลบสายตานาง มองไปทางอื่นแทน
เนื้อแกะย่างสุกแล้ว
ชายชราขาขาดคนหนึ่งยื่นเนื้อแกะและน้ำแกงถ้วยหนึ่งมาให้เขา
อู๋เจียงที่ไม่ได้กินอิ่มมาเนิ่นนาน เมื่อได้ซดน้ำแกงอุ่นๆ ลงท้อง หยดน้ำตาก็พลันร่วงเผาะ
น้ำแกง...อร่อยนัก
หอมเหลือเกิน
เมื่อกัดลงไปบนเนื้อแกะ เนื้อก็นุ่มเสียจนแหลกคาฟัน
อร่อยเหลือเกิน
เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองได้กินอาหารร้อนๆ ครั้งสุดท้ายตอนไหน
ทุกวันความร้อนจากสิ่งเดียวที่ได้เจอคือความร้อนจากเืสดๆ เท่านั้น
เืร้อนๆ ของเหล่าพี่น้องที่ไหลทะลักออกมา
เพียงแต่ร่างนั้นกลับเหลือเพียงแต่ความเย็นเยียบ
เขากัดเนื้อคำโต ดื่มน้ำแกงอีกอึกใหญ่ น้ำตาก็ยังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย
เมื่อกินไป ดื่มไป ทันใดก็พลันร้องไห้เสียงดังออกมา
“ตายกันหมดแล้ว ตายกันจนไม่เหลือแล้ว ตายแล้ว ตายแล้ว”
ชายหนุ่มพร้อมน้ำตานองหน้า มองเหล่าคนตรงหน้าตน
มองกองไฟที่กองสูงอยู่ตรงกลาง
มีเด็กหญิงคนหนึ่งมาหยุดยืนตรงหน้าเขา ทั้งยังยื่นมือมาตบไหล่เขาเบาๆ
“พวกเขาจะต้องไม่ตายเปล่า พวกเราจะช่วยแก้แค้นให้เอง”
เด็กหญิงกล่าวขึ้น
เสียงของเด็กหญิงยังเป็เพียงเสียงนุ่มๆ ของเด็กน้อย
อู๋เจียงพลันรู้สึกขบขัน
บนศีรษะของนางยังมีจุกผมน้อยๆ ราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ช่างดูเหมือนหลานสาวของตนนัก หลายปีเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้พบหน้ากัน ป่านนี้อาจจะเป็หญิงสาวสะพรั่งราวกับบุปผางามแล้วก็เป็ได้
“เ้าเป็ใคร”
“ข้าเป็หัวหน้าโจรอย่างไรเล่า”
เมื่อเด็กหญิงกล่าวขึ้น ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นเสียงดัง
เมื่อเขากินอิ่มแล้ว ก็เมาต่อ จากนั้นก็หลับไป เมื่อตื่นมารอบกายก็ไม่เหลือใครแล้ว
หากว่าเขาไม่มีมีดอยู่ในอ้อมกอด เขาคงคิดว่าตนนั้นคงจะถูกผีจับตัวไปเสียแล้ว เมื่อคืนก็คงจะแค่ฝันประหลาดเท่านั้น
เขาพลันผุดลุกขึ้นนั่ง
ไม่มีเหล่าคนที่แสนครื้นเครง ไม่มีกองไฟลุกโชน ไม่มีเนื้อแกะย่าง
ทว่าเขายังเห็นชายขาด้วนอยู่ตรงปากทางเข้า ก่อนจะฉีกยิ้มให้ตน “เ้าตื่นแล้วรึ อยากกินอะไรสักหน่อยหรือไม่ ยามนี้เที่ยงกว่าแล้ว”
ชายขาด้วนนั่งอยู่บนพื้น มองมาทางตน
นี่เที่ยงกว่าแล้วหรือ เขาเงยหน้ามองฟ้าก็เห็นว่าดวงตะวันไม่ได้ตั้งฉากอยู่เหนือหัวอีกแล้ว
เขาพลันรู้สึกหิว
ชายชราขาด้วนไม่ได้ลุกขึ้นไปหาอาหารมาให้ตน
อาหารที่ได้มามีหมั่นโถวลูกเทาๆ ผักดอง และโจ๊กถ้วยหนึ่ง
อาหารเหล่านี้ช่างเทียบไม่ได้กับเมื่อวาน เมื่อวานนั้นนับว่ายอดเยี่ยมนัก แต่เขาก็หิวจนแทบทนไม่ไหว จึงได้ก้มหน้าก้มตากินเข้าไป
อีกฝั่งก็กำลังกินอยู่เช่นกัน
เมื่อกินไปได้ครึ่งหนึ่ง อู๋เจียงก็เอ่ยถามขึ้น “คนอื่นๆ เล่า เมื่อวานเห็นมีคนตั้งมากมาย ไฉนพอข้าตื่นมาจึงไม่เห็นคนแล้วเล่า”
“ไปแล้ว ไปสู้กับกองทัพจิง” ชายชราขาด้วนกล่าวขึ้นอย่างราบเรียบ
“ไปแล้วหรือ ไปสู้กับกองทัพจิงหรือ” อู๋เจียงอ้าปากค้างด้วยความใ
“ไปแล้ว กระทั่งผู้ใหญ่บ้านน้อยของข้าก็ไปแล้ว” ชายชราขาด้วนกล่าวต่อ
อู๋เจียงพลันะโขึ้นมา
“นี่ไม่ใช่เื่เล่นๆ นะ พวกท่านรู้หรือไม่ว่ากองทัพจิงคือสิ่งใด พวกมันเห็นใครก็ฆ่าไม่ละเว้น โดยเฉพาะเด็ก แล้วพวกท่านปล่อยเด็กหญิงไปได้อย่างไร”
“ท่านอาจารย์กัวกล่าวว่า นางคือผู้ใหญ่บ้านของพวกเรา นางต้องไป” เมื่อชายชรากล่าวจบ ก็ก้มหน้ากินต่อ ทว่าแววตาก็แฝงความกังวลอยู่
อู๋เจียงเร่งกินจนหมด จากนั้นก็ไปขอผ้าผืนหนึ่งจากชายชรา เขาใช้ผ้าผืนนั้นพันมีดไว้แนบมืออย่างตั้งใจ
“มีดดีขนาดนี้ หากนับกลับมาไม่ได้ก็น่าเสียดายแย่ ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่อาจทำหายได้”
เมื่อพันมีดไว้กับมือเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันกล่าวกับชายชรา “ขอบคุณท่านมากที่ดูแลข้า ข้าขอไปก่อน กองทัพจิงว่ากันตามหลักแล้วก็ควรเป็ข้าที่ต้องไปสู้กับมัน”
ชายชราขาด้วนมองทหารหนุ่มตรงหน้าเดินลงจากเขาเพียงลำพัง ถนนกระดูกยังคงทอดยาว เงาจากแผ่นหลังของชายหนุ่มค่อยๆ ห่างออกไป
