บทที่ 36 ดั่งพยัคฆ์ติดปีก
ฉินชูตกตะลึงอยู่สักพักหลังจากเห็นบทแนะนำของเคล็ดวิชากระบี่เล่มนี้ ถือว่าเคล็ดวิชากระบี่เล่มนี้สุดยอดไม่เบา
ผู้คิดค้นวิชายุทธเขียนโอ้อวดเกินไปหรือไม่...คงไม่น่าใช่! ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่จริงจังกับวิชายุทธ์ของตัวเองทั้งนั้น การที่กล้าเขียนเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีจุดเด่นตรงไหนสักแห่ง
หลังจากพลิกหน้าปกเปิดดูด้านใน ก็พบกับเงื่อนไขของผู้ฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์
ข้อแรก ผู้ฝึกจำเป็ต้องบรรลุวิชากระบี่พื้นฐานสูงกว่าขั้นศาสดาจารย์ เพราะหลังจากปรับแต่งกระบวนท่าวิชากระบี่พื้นฐานแต่ละกระบวนท่าจะสามารถสังเคราะห์และสำเร็จเพลงกระบี่ได้
ข้อสอง ผู้ฝึกจำเป็ต้องบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิง เพราะต้องประสานจิติญญากับกระบี่ให้เป็หนึ่งเดียวกัน อีกทั้งยังต้องหลอมใบดาบให้เป็หนึ่งเดียวกับร่างกายและสั่งได้ตามใจนึก
พลิกอ่านต่อด้านหลังตำราระบุไว้ว่า มีเพลงกระบี่พิเศษอยู่สามกระบวนท่า ได้แก่ กระบี่ไร้พ่าย มัจฉาัเริงรำ บรรพกายสิทธิ์
กระบี่ไร้พ่ายเป็กระบวนท่าป้องกัน มัจฉาัเริงรำเป็กระบวนท่าระดมโจมตี และบรรพกายสิทธิ์เป็ท่าไม้ตายสังหารปลิดชีพโดยเฉพาะ
หายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งเฮือก จากนั้นฉินชูก็เริ่มศึกษาเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ต่อ แม้โม่เต้าจื่อจะดูเหมือนเป็คนเล่ห์เหลี่ยมจัด แต่โอกาสที่จะหลอกลวงเขาก็ค่อนข้างต่ำ
และเมื่อเริ่มฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ ฉินชูก็เริ่มหลงใหลในการฝึกเคล็ดวิชากระบี่นี้ เพราะเมื่อมีเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์เสริมเข้ามา พลังของวิชากระบี่พื้นฐานของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างทวีคูณ
ผลลัพธ์ที่เด่นชัดหลังจากเริ่มฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ก็คือความเร็วที่เพิ่มขึ้น มันทำให้ความเร็วของกระบวนท่ารวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ แม้ยังเป็กระบวนท่ากระบี่พื้นฐานอยู่ แต่ความเร็วแตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ พูดได้เลยว่า หากขัดเกลากระบวนท่ากระบี่พื้นฐานจนแตกฉาน การฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ก็จะยิ่งเห็นผล
ตกดึกฉินชูก็ฝึกพลังปราณ กลางวันฝึกวิชากระบี่และยังคงออกไปทำภารกิจเป็ปกติ การฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้ส่งผลต่อกิจวัตรของเขาแต่อย่างใด อาจจะต่างออกไปเล็กน้อยตรงที่ว่าเขาได้ประยุกต์ผลลัพธ์จากการฝึกกระบี่มาใช้ในการต่อสู้จริงในภารกิจ
...
หลังจากหลิงหยุนจื่อออกไปจากหอคัมภีร์เกือบครึ่งเดือน ในที่สุดก็กลับมา
“เป็ที่พึงพอใจหรือไม่” โม่เต้าจื่อถามหลิงหยุนจื่อ
“พอใจมาก จริงอยู่ที่พร์ของฉินชูผิดมนุษย์มนา แต่ทางด้านซั่งซูอวี๋ก็ไม่เลว ตอนนี้นางแตกฉานในวิถีกระบี่ขั้นเจินอี้แล้ว หลังจากนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จในเส้นทางของวิถีกระบี่เป็อย่างสูง แต่น่าเสียดายที่ระดับตบะของนางกำลังจะบรรลุขั้นสี่ จึงไม่สามารถเข้าร่วมการเดินทางไปยังโบราณสถานชิงหวางได้” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้น เป็เวลากว่าครึ่งเดือนที่เขาถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับวิถีกระบี่และเคล็ดวิชาลับของตัวเองให้ซั่งซูอวี๋ และนางก็ทำให้เขาพอใจเป็อย่างมาก
“พูดได้เลยว่าศิษย์คนนี้มีพร์ไม่ธรรมดาจริงๆ เพียงแต่ไม่เหมาะกับวิถีกระบี่ของข้า” โม่เต้าจื่อพูดขึ้น
“แล้วเ้าหนูนั่นไม่กลับมาหาศิษย์พี่บ้างหรือ” หลิงหยุนจื่อคลี่ยิ้มถาม
โม่เต้าจื่อส่ายหน้า “จะเป็แบบนั้นได้อย่างไร เขาไม่ใช่คนโง่ ลองได้ลิ้มลองการฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์หน่อย ตัวเขาก็น่าจะรู้แล้วว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน”
และก็เป็จริงตามที่โม่เต้าจื่อกล่าว เพราะฉินชูพึงพอใจกับเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์เป็อย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้ผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด แต่ที่เขารู้ก็คือตัวเองไม่ขาดทุน ผลลัพธ์ของการฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ยิ่งชัดเจนขึ้นตอนที่สู้กับสัตว์อสูร เขาใช้กระบวนท่าที่ปรับแต่งมาจากกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานไม่ถึงสามท่าก็โค่นสัตว์อสูรขั้นที่สี่รอบๆ หุบเขามี่หยุนได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงสัตว์อสูรขั้นที่สาม เขาสามารถโค่นทิ้งได้ง่ายดายเหมือนหั่นผัก ง่ายและเร็วกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว บรรดาสัตว์เข้าไม่ถึงตัวเขาเลยสักตัว ร่างกายของเขาแข็งแกร่งทรงพลัง วิชากระบี่ก็เฉียบคมรุนแรง ในตอนนี้เขาเหมือนดั่งพยัคฆ์ติดปีกก็ไม่ปาน
ครั้นทำภารกิจเสร็จ ฉินชูได้รับแต้มคุณูปการจำนวนมากโดยปริยาย แต่แต้มที่ได้มาพวกนี้ล้วนเก็บไว้ใช้หนี้โม่เต้าจื่อที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งแสนแต้ม แต่เขาไม่รีบ เพราะโม่เต้าจื่อคงไม่มีทางทวงเขาหรอกกระมัง
เวลานี้ลูกศิษย์จากหอศิษย์รับใช้กลายเป็ลูกค้าหลักของหอคุณูปการไปเสียแล้ว ไป๋อวี้ เอ้อพั่งและพวกหลินเจิงพร้อมกับศิษย์สายนอกสองสามคนที่เข้ามาเป็ศิษย์รับใช้ ล้วนพาเหล่าศิษย์รับใช้ออกไปทำภารกิจอยู่บ่อยครั้ง แม้บางครั้งจะเกินตัว แต่เหล่าศิษย์รับใช้ล้วนรู้ดีว่าบนเส้นทางนี้มันไม่ง่าย ไม่ได้ก็ย่อมมีเสีย หากแต่ทุ่มเทมากพอก็ย่อมได้ผลลัพธ์ แต่พวกเขารู้ดี ใช่ว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นกัน
หอคุณูปการแห่งยอดเขาชิงจู๋ได้ปรับกฎระเบียบใหม่ โดยระบุเอาไว้ว่า ‘ห้ามศิษย์สายในทำภารกิจที่ต่ำกว่าระดับสอง มีเพียงศิษย์สายนอกและศิษย์รับใช้เท่านั้นที่ทำภารกิจต่ำกว่าระดับสองได้’
โอกาส!
ยอดเขาชิงจู๋ได้ให้โอกาสศิษย์รับใช้ หรือก็คือยอดเขาชิงจู๋ให้โอกาสคนที่อยากจะพัฒนาตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน บรรยากาศของยอดเขาหลักกลับเต็มไปด้วยความกดดัน เพราะปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาหลักถูกฉินชูเหยียบย่ำศักดิ์ศรี เดิมทีคิดอยากสั่งสอนพวกที่ไม่รู้จักเจียมตัว แต่ผลลัพธ์กับถูกตอกกลับจนหน้าหงาย ทำเอาเหล่าลูกศิษย์แห่งยอดเขาหลักรู้สึกกระอักกระอ่วนยามต้องเผชิญหน้ากับคนจากยอดเขาอื่นที่เหลือ
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นแค่กับเหล่าลูกศิษย์ แต่ยังเกิดกับเหล่าผู้ดูแลและผู้คุมกฎคนอื่นๆ อีกด้วย ทำให้มีคนที่อยากคิดบัญชีกับฉินชูอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น
เฉียนชิงกับหลิ่วหนานนั่งหารือกัน พวกเขา้าฆ่าฉินชูให้ตาย
“ตอนนี้ไม่มีโอกาสเลย แต่ว่าไม่เป็ไร พวกเรารอได้” สีหน้าของเฉียนชิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาไม่ชอบและไม่แยแสหลิ่วเจ๋อ เพราะเขามีผู้หญิงมากมาย แต่การที่หลิ่วเจ๋อถูกฆ่าตายมันส่งผลต่อหน้าตาของเขา เขาต้องยืนอยู่ที่สำนักชิงหยุนได้อย่างมั่นคง หากได้รับการสนับสนุนจากสำนักชิงหยุน เขาถึงจะได้เลื่อนขั้นในลำดับราชวงศ์เฉียน ยิ่งไปกว่านั้น การตายของหลิ่วเจ๋อทำให้ท่าทีของเมืองเชียนหลิวที่จะสนับสนุนเขาเปลี่ยนไป
“ข้าสั่งคนให้ตรวจสอบเขาแล้ว รู้แค่ว่าเขามักจะออกไปทำภารกิจคนเดียว ส่วนเื่อื่นๆ ข้าก็ไม่รู้แล้ว การสืบเื่ของฉินชูที่ยอดเขาชิงจู๋เป็เื่ยากมาก” หลิ่วหนานพูดขึ้น
หากคิดจะสืบเื่ของฉินชูที่ยอดเขาชิงจู๋ตอนนี้แทบเป็ไปไม่ได้เลย เพราะฉินชูไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร หากเข้าไปถามสุ่มสี่สุ่มห้า คนที่ถามอาจถูกสงสัยก็เป็ได้
“ข้าได้รับรายงานมาว่าโบราณสถานชิงหวางจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทางยอดเขาชิงจู๋จะต้องส่งคนเข้าร่วมแน่นอน เพราะมีทัณฑ์ผนึกอยู่ ดังนั้นลูกศิษย์ที่ระดับตบะต่ำกว่าขั้นที่สี่สามารถเข้าร่วมได้ แน่นอนว่าทางยอดเขาชิงจู๋จะต้องส่งเ้าศิษย์รับใช้นั่นเข้าร่วมแน่ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยหาโอกาสฆ่ามันทิ้ง ข้ามีโอสถอยู่เม็ดหนึ่ง มันสามารถสลายพลังปราณได้จำนวนหนึ่งและจำกัดระดับตบะของเ้าให้อยู่ที่ขั้นที่สาม จงใช้โอสถนี้แล้วเข้าไปฆ่ามันทิ้งเสีย” เฉียนชิงควักขวดโอสถออกมายื่นให้หลิ่วหนาน
สีหน้าของหลิ่วหนานฉายแววลังเลขึ้นมาทันที โอสถนี้เป็พิษมากกว่ายา ขนาดโอสถที่ช่วยเสริมการฝึกตนยังกินมากไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับโอสถสลายพลังปราณพรรค์นี้ อีกอย่าง ตอนนี้เขาเป็ถึงผู้สืบทอดผู้นำเมืองเชียนหลิวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ หากระดับตบะลดลง เขาจะเอาอะไรไปเป็ผู้สืบทอด
“หืม? มันแค่สลายพลังปราณบางส่วนแค่ชั่วคราวเท่านั้น เ้าคิดว่าข้าจะทำเื่เลวร้ายกับเ้าหรือ?” เมื่อเห็นหลิ่วหนานลังเล เฉียนชิงก็เริ่มหงุดหงิด เขาไม่ชอบให้คนอื่นสงสัยในการตัดสินใจหรือแผนการของเขา
“ได้” หลิ่วหนานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือกก่อนรับโอสถนั่นมา
“ข้าจะหาลูกศิษย์ที่มีตบะขั้นที่สี่อีกสองคนและทำการสลายพลังปราณออกไปจำนวนหนึ่ง โดยให้พวกเ้านำเหล่าลูกศิษย์จากยอดเขาหลักกลุ่มนี้ไปฆ่าไอ้ศิษย์รับใช้จอมอวดดีคนนั้น รวมถึงพรรคพวกของมันด้วย เมื่อฆ่าพวกมันได้แล้ว เหรียญลัญจกรชิงหวางจะต้องตกเป็ของพวกเรา” เฉียนชิงกำชับกับหลิ่วหนาน แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกกับหลิ่วหนานก็คือโอสถสลายพลังปราณมีผลข้างเคียงกับผู้ฝึกตนร้ายแรงมาก มันจะทำลายจุดตันเถียน เท่ากับว่ารากฐานการฝึกตนจะถูกทำลายไปและไม่สามารถเป็ผู้ฝึกตนได้อีกต่อไป
วันเวลาคล้อยผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วก็ถึงเวลาในการประลองยุทธ์จัดอันดับของสำนักชิงหยุนที่จัดขึ้นปีละครั้ง มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งเริ่มเตรียมตัวที่จะเข้าไปที่มิติลี้ลับชิงหวางแล้ว และลู่หยวนก็ได้นำข่าวเื่นี้ไปแจ้งเหล่าผู้าุโระดับสูงของสำนักชิงหยุนเป็ที่เรียบร้อยแล้ว โดยเหล่าผู้าุโระดับสูงต่างคัดเลือกลูกศิษย์ในสังกัดของตัวเองมาจำนวนหนึ่ง
หลัวเจินเรียกฉินชูมาที่ห้องโถงใหญ่แห่งยอดเขาชิงจู๋ “ตบะขั้นหนิงหยวนระดับแปด ท่าทางไม่เลวเลย เมื่อการประลองยุทธ์จัดอันดับมาถึง เ้าจะต้องถูกจัดอยู่ลำดับต้นๆ แน่นอน”
“ศิษย์เป็แค่ศิษย์รับใช้ ดังนั้นจึงไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม อีกอย่างศิษย์ก็ไม่อยากเข้าร่วมด้วยขอรับ” ฉินชูส่ายหน้า ตบะของเขาเพิ่งบรรลุขั้นหนิงหยวนระดับแปดได้ไม่นาน เขา้าใช้เวลาทำให้ตบะของตัวเองเสถียรภาพเสียก่อน ส่วนเื่การประลองยุทธ์จัดอันดับของลูกศิษย์ในสำนัก เขากลับรู้สึกเฉยๆ เพราะมันเป็การประลองระหว่างศิษย์สายนอกและศิษย์สายใน
“ไม่ได้ เ้าจะต้องเป็ที่หนึ่งของบรรดาศิษย์สายนอกและศิษย์สายใน” หลัวเจินตบโต๊ะ เพราะเขา้าให้ฉินชูมีชื่อเสียงและเป็ที่เกรงขามมากกว่านี้