เฉินกงกงพาคนไปเดินสำรวจที่เหอซีไม่กี่วันก็เดินทางกลับไปยังเมืองหลวง ยามมาก็มาเงียบๆ ถึงยามกลับก็กลับไปเงียบๆ เช่นเดียวกัน ตอนที่กลับไปไม่เพียงนำข้าวโพด มันแกว และมันฝรั่งซึ่งเป็ผลผลิตทางการเกษตรของปีนี้ไปด้วยเท่านั้น ยังนำวิธีการปลูกและการดูแลอย่างละเอียด ซึ่งเขียนเป็บันทึกเล่มใหญ่ๆ หลายเล่มพกติดตัวไปด้วย อีกทั้งยังนำเมล็ดพันธุ์ของข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาว และยังจดข้อมูลวิธีการปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวและข้าวโพดซึ่งเป็พืชฤดูร้อนในแปลงเดียวกันอย่างละเอียดอีกด้วย
หลังจากส่งทั้งสามท่านกลับไปแล้ว ไม่เพียงแค่สวี่เหราที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก สวี่ตี้เองก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาเช่นกัน หลายวันมานี้คนพวกนี้พักอยู่ที่นี่ตลอด ตนเองยังมีเื่มากมายที่ต้องทำก็ยังไม่กล้าลงมือทำเสียที เื่อื่นไม่ต้องพูดถึง เรือนเพาะชำที่วางแผนเอาไว้ว่าจะทำก็ยังไม่กล้าลงมือ วัตถุดิบได้เตรียมเอาไว้ครบแล้ว สถานที่ก็หาเอาไว้แล้ว ซึ่งก็คือด้านหลังเรือนนี่เอง โดยเริ่มจากการเจาะเรือนในส่วนของตนเอง จากนั้นก็เอากระเื้ัคาออก กำแพงทางด้านทิศเหนือจะทำการก่ออิฐเป็กำแพงอุ่น ส่วนตรงหลังคา สวี่ตี้พิจารณาอยู่นานทีเดียว ก่อนจะตัดสินใจใช้หนังแพะในการมุง
หนังแพะนี้ได้จ้างคนตัดมาให้โดยเฉพาะ ทำให้แผ่นหนังมีลักษณะบางเฉียบ ก่อนจะนำมาต่อกันทีละชิ้น จากนั้นก็เอามาติดกับไม้ไผ่เล็กๆ ในโลกปัจจุบันสวี่ตี้เคยไปดูเรือนเพาะชำขนาดใหญ่มาก่อน แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีกระจกและผ้าใบพลาสติก เมื่อคิดอยู่นานสุดท้ายสวี่ตี้จึงคิดได้ว่าจะใช้หนังแพะ จะใช้ได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองใช้วิธีนี้ไปก่อน
ขณะนี้เป็่ปลายเดือนเก้าของปฏิทินจันทรคติ อากาศเริ่มหนาวมากแล้ว ที่นาในไร่ครึ่งหนึ่งปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาว อีกครึ่งหนึ่งยังว่างอยู่ยังมิได้เริ่มปลูกสิ่งใด พวกเขาวางแผนว่าปีหน้าจะปลูกข้าวธัญพืชหรือพืชอย่างอื่น ครั้งนี้สวี่เหรายกกำลังพลมาปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่คนที่มาล้วนเป็หัวหน้าหมู่บ้าน และเพราะว่าสวี่เหราที่เป็ผู้ปกครองที่นี่ เมื่อผู้ปกครองมีคำสั่งให้ปลูก ต่อให้ยังไม่ค่อยจะแน่ใจก็ทำได้แค่เอาพื้นที่หนึ่งส่วนในเรือนของตนเองมาทดลองปลูกเท่านั้น
สวี่ตี้คิดดีแล้ว ฤดูใบไม้ผลิหากปลูกข้าวโพด ยามเก็บเกี่ยวย่อมได้ผลผลิตที่ดี นอกจากส่วนที่เฉินกงกงนำกลับไปเมืองหลวงแล้ว ผลผลิตก็ยังมีเหลืออยู่อีกมาก ตอนนี้สวี่ตี้ไม่กล้านำออกมากิน ยังต้องเก็บเอาไว้ใช้เป็เมล็ดพันธุ์ หากคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าเสียหน่อย คาดว่าปีหน้าคงมีผลผลิตเพียงพอที่จะแบ่งให้กับพวกหัวหน้าหมู่บ้าน และยังมีพอที่จะใช้กับไร่ของตนเอง
สวี่เหรากับจางจ้าวฉือยุ่งกับงานของตนเองอยู่เสมอ ส่วนสวี่ตี้ก็พาคนไปทำเรือนเพาะชำที่หลังเรือน ส่วนสวี่จือวันๆ ก็ตามติดอยู่ข้างกายของพี่ชาย พลางมองห้องสามห้องที่ถูกดึงหลังคาออก ทำกำแพงอุ่น แล้วก็ใช้หนังแพะขนาดใหญ่มากๆ หนึ่งผืนมากางเป็หลังคา สวี่จือรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดเป็อย่างยิ่ง แต่พี่ชายทำเื่นี้ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา สวี่จือเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามสวี่ตี้ว่ากำลังจะทำอะไร นางทำเพียงแค่ยืนดูอยู่ด้านข้าง บางครั้งพอเห็นพี่ชายว่างแล้วก็จะไปรินน้ำหรือนำขนมมาให้พี่ชายทาน
เรือนเพาะชำถูกสร้างขึ้น ต่อไปก็เตรียมดินที่เอาไว้ใช้ปลูกผัก
สวี่ตี้ยังคงหาช่างไม้เพื่อมาทำกล่องไม้จำนวนมาก ทั้งยังหาดินฮิวมัส [1] จากูเามาได้เยอะมากเช่นกัน หลังจากเอามาใส่ในกล่องไม้แล้วก็เริ่มหว่านเมล็ดลงไป
พวกผักที่ปลูกไปครั้งที่แล้ว มะเขือเทศยังมิได้ถูกเด็ดมาทำมะเขือเทศผัดไข่ เช่นเดียวกับพริกเขาก็ไม่กล้าเอามาทำหม่าล่าหม้อไฟ เขาเพียงปล่อยให้มันแก่โดยเก็บเมล็ดของพวกมันเอาไว้
มองเมล็ดพันธุ์จำนวนมากในมือ สวี่ตี้รู้สึกดีใจเป็อย่างยิ่ง เขาจะนำมันมาปลูกในเรือนเพาะชำก่อน รอปีหน้าค่อยทำที่ดินปลูกผักในไร่ ปลูกให้มากหน่อย โดยเฉพาะพริก สวี่ตี้คิดมาแล้ว ไม่เพียงแค่สามารถเอามากินได้ ยังสามารถเอามาทำเป็ผงพริกไว้ใช้เป็อาวุธลับของตนเองได้อีกด้วย
เื่ในเรือนเพาะชำสวี่ตี้เป็คนลงมือด้วยตนเอง และก็มีสวี่จือที่ตามช่วยงานอยู่ด้านหลัง เขาไม่กล้าใช้งานคนอื่น นี่ไม่ใช่การปลูกผักบนตั่งอุ่นหรือ? ในสายตาของคนนอกมองแล้วเหมือนเขาทำเื่เล่นสนุกไร้ประโยชน์อยู่ เรือนเพาะชำใหญ่ถึงเพียงนี้ ปลูกผักลงไปได้ตั้งมากมาย ทว่าในสายตาของคนนอกแล้วการปลูกผักในฤดูหนาวเช่นนี้ช่างเป็การใช้เงินไปเสียเปล่า ตอนนี้ครอบครัวสวี่ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ขาดก็แต่เมล็ดพืช ครั้งนี้สวี่ตี้จึงอยากจะเตรียมตัวเพาะเอาเมล็ดให้มากเสียหน่อย
อากาศหนาวแล้ว ตอนนี้นอกจากข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวที่ปลูกอยู่ในพื้นดิน ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดที่มีชีวิตอยู่ได้อีกแล้ว แม่นมลู่คิดว่าคุณชายใหญ่ของตนเองกลับเรือนมาในครั้งนี้ จะตั้งใจเรียนหนังสือเหมือนคุณชายครอบครัวอื่น แต่ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าเขาจะยิ่งทำงานหนักมากกว่าเดิม
การเคลื่อนไหวของเรือนหลังทำให้แม่นมลู่รู้สึกว่าความคิดของตนเองตามผู้ใดในเรือนไม่ทันเลยสักคน นางมีความคิดอยากจะพูดกับคุณชายสามและฮูหยินสาม เด็กอายุสิบกว่าปียังต้องเรียนหนังสือ แต่ว่าดูจากท่าทางของคุณชายสามและฮูหยินสามแล้ว พวกเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่บุตรชายคนโตทำเช่นนี้ บางครั้งแม่นมลู่ก็จะย้อนกลับมาคิดกับตนเอง ว่าเหตุใดนางถึงได้ตอบรับคำขอของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลสวี่กันนะ การต้องมาเป็แม่นมเลี้ยงดูคุณหนูเก้าของพวกเขา ตามมายังสถานที่เล็กๆ ที่เป็ูเาสูงแม่น้ำสายยาวไม่พอ เด็กๆ ในเรือนก็ยังไม่เหมือนกับคนอื่น แม่นมลู่รู้สึกหลงทาง โลกภายนอกนั้นเปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่?
สวี่ตี้มีหรือจะไม่รู้ว่าในใจของแม่นมลู่คิดอันใดอยู่? หากพูดกันตามจริง แม่นมลู่ก็อายุมากแล้ว ยังต้องติดตามพวกเขามาถึงเหอซี ในครอบครัวสวี่มอบตำแหน่งกับนางโดยให้นางเป็ผู้าุโของครอบครัว ความจริงแล้ว แม่นมลู่ทำได้ดีมาก นางรักเด็กๆ เป็อย่างยิ่ง เมื่อรู้สึกว่าเด็กๆ ทำไม่ถูกต้องก็จะตำหนิออกมา เื่ที่สวี่ตี้ยุ่งอยู่กับการทดลองที่นา แม่นมลู่ก็ยังอุตส่าห์มาส่งข้าวส่งน้ำให้ทั้งสามมื้อ อีกทั้งยังเลือกทำอาหารที่สวี่ตี้ชอบกิน เขาจึงชอบแม่นมลู่มาก
หลังจากเขาดึงหลังคาออก แม่นมลู่ก็ทำหน้าตาไม่อยากจะเชื่อ แต่จะอย่างไรก็ไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้ สวี่ตี้รู้สึกว่าเป็เช่นนี้ก็ไม่เลวเลย
ตอนรับประทานอาหารกลางวัน ก็เป็แม่นมลู่ที่คอยดูแลสวี่ตี้กับสวี่จือยามทานข้าว ตอนกลางวันสวี่เหราจะรับประทานอาหารอยู่ที่ที่ทำงาน รสชาติอาหารที่สามีของป้าจ้าวทำนั้นไม่เลวเลย ส่วนจางจ้าวฉือหรือ ทางจวนแม่ทัพพาแม่ครัวจากเมืองหลวงมาด้วย รสชาติอาหารที่ทำจึงสุดยอดมาก ดังนั้นอาหารมื้อกลางวันของทุกคนในครอบครัวนี้ ปกติแล้วจึงเป็สามคนนี้ที่คอยจัดการให้
สวี่ตี้เอ่ย “แม่นมลู่ขอรับ ท่านอย่าเห็นว่าตอนนี้ข้าทำอะไรไร้สาระอยู่เลยนะขอรับ ข้าจะบอกกับท่านเอาไว้ อย่างช้าที่สุดก็เป็ฤดูร้อนของปีหน้า ข้าจะสามารถหาเงินมาได้มากมาย เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะซื้อกำไรทองวงใหญ่ๆ ให้กับท่านนะขอรับ”
แม่นมลู่ฟังแล้วก็หัวเราะก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณคุณชายใหญ่เอาไว้ล่วงหน้าเลยนะ”
สวี่ตี้เอ่ย “แม่นมลู่ ท่านก็เห็นว่าครอบครัวของพวกเราไม่เหมือนกับครอบครัวอื่น ท่านอย่ามองว่าตอนนี้ข้าไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ วันๆ เอาแต่มาปลูกพืชปลูกผัก รอข้าจัดการเื่พวกนี้ให้เรียบร้อยก่อน ข้าก็จะตั้งใจเรียนหนังสือเอง ตัวข้าเองก็จะเป็เหมือนกับท่านพ่อ จะสอบเป็จิ้นซื่อให้ได้ขอรับ”
แม่นมลู่ชื่นชมสวี่ตี้ที่มีปณิธาน แต่ในใจกลับลอบถอนหายใจ จิ้นซื่อมีหรือจะสอบเข้าไปได้ง่ายๆ เช่นที่ปากว่า ทั้งแคว้นมีเขตเมืองตั้งมากมาย สามปีถึงจะจัดสอบเตี่ยนซื่อสักครั้ง สอบครั้งหนึ่งก็มีจิ้นซื่อที่ผ่านการคัดเลือกแค่ไม่กี่คน จะสอบติดได้ง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ว่าเด็กมีปณิธาน ทั้งยังแสดงการตัดสินใจของตนเองออกมาแล้ว แม่นมลู่จะทำอย่างไรได้ นางทำได้แค่ให้กำลังใจและคอยสนับสนุนเท่านั้น
ปีก่อนตอนที่มาถึงเหอซีปีแรก หลังจากเข้าฤดูหนาวสวี่ตี้เองก็กังวลมาก ปีนี้หากเทียบกับปีที่แล้ว เขารู้สึกว่าความกังวลใจของเขาเบาลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด สวี่ตี้เองก็คิดได้แล้ว ตนเองอยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมินถึงเพียงนี้ ถึงแม้จะบอกว่าด่านเยี่ยนเหมินมีความสำคัญทางการทหาร แต่ก็ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก แต่การที่จะโจมตีด่านเยี่ยนเหมินให้พังไปนั้นก็ไม่ใช่เื่ง่ายเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทหารคุ้มครองของด่านเยี่ยนเหมินคือทหารองครักษ์ ทหารองครักษ์นับว่าเป็ความแข็งแกร่งของต้าเหลียงเลยก็ว่าได้
สวี่เหราเองก็เริ่มยุ่งอยู่กับการเดินตรวจตรา ส่วนจางจ้าวฉือก็ยุ่งอยู่กับการมอบความรู้ทางการแพทย์ให้กับเหล่าแพทย์ทหารและการทำโอสถต่างๆ ปีนี้จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อตุนสมุนไพรเอาไว้เป็จำนวนมาก จางจ้าวฉือก็ใช้สูตรโอสถจากในความทรงจำทำยาเม็ดออกมามากมายเช่นกัน อย่างเช่น ยารักษาไข้ฤดูหนาว ยารักษาอาการตัวร้อน พวกนี้ล้วนเป็โอสถที่เอาไว้ใช้รักษาโรคพื้นฐาน เมื่อทำโอสถออกมาแล้วก็เก็บเอาไว้ในจวนแม่ทัพ ในกองทัพมีคนมากมาย เมื่อมีไข้จากอากาศหนาวก็สามารถเบิกโอสถมากินได้
สวี่ตี้ดูแลสวี่จือ ทุกวันจะเฝ้าอยู่ในเรือนเพาะชำ เมล็ดพวกนั้นที่ปลูกอยู่ในดินที่อุดมไปด้วยปุ๋ยมีรากงอกออกมา จากนั้นก็จะค่อยๆ มีใบงอกออกมาอย่างช้าๆ ตอนที่เข้าเดือนสิบสอง สวี่ตี้ได้ใช้เชือกมามัดไว้ภายในโรงเพาะชำเพื่อให้ผักที่มีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นไปเกาะเอาไว้ได้ แตงกวาเองก็เลื้อยขึ้นไปตามแนวเชือกและออกดอกสีเหลืองสด ส่วนมะเขือเทศเองสวี่ตี้ใช้เชือกมัดติดกับไม้ค้ำ และบางต้นก็มีผลสีเขียวๆ ออกมาแล้ว
ขนาดแม่นมลู่ที่เห็นโลกมามากก็ยังอดรู้สึกแปลกใจกับเรือนเพาะชำของสวี่ตี้ไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ในสถานที่ที่อากาศหนาวเย็นจนแทบแข็งเช่นนี้ กลับสามารถใช้วิธีเช่นนี้ทำให้ผักออกดอกออกผลได้
ภายในเรือนเพาะชำอุ่นมาก ตอนกลางวันแสงสามารถส่องผ่านหนังแพะที่มุงเป็หลังคาเข้ามาในเรือนเพาะชำได้ ส่วนตอนกลางคืนสวี่ตี้ก็ใช้กำแพงอุ่นเก็บความร้อนเอาไว้ ที่จริงแล้วตอนกลางคืนควรจะใช้พรมหญ้าหนาๆ มาปูทับบนหลังคาด้วย แต่ว่าในตอนนี้ไม่มีของเช่นนั้น จึงทำได้แค่ใช้กำแพงอุ่นมารักษาความอุ่นในเรือนเพาะชำ แต่กำแพงอุ่นเองก็มีข้อจำกัด ไม่สามารถเผาไฟแรงเกินไปได้ สวี่ตี้ไม่ได้นอนหลายคืนเพราะคิดไม่ตกกับปัญหานี้ เอาแต่คิดว่าจะหาอุณหภูมิที่เหมาะสมได้อย่างไร
สวี่ตี้นอนไม่หลับ ทำเอาแม่นมลู่ร้อนใจเป็อย่างมาก เด็กน้อยใน่วัยนี้เป็่เวลาที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ตอนกลางคืนอดหลับอดนอนจะสามารถเติบโตได้อย่างไร?
ตอนนี้สวี่ตี้มีหรือที่จะไปสนใจปัญหาเื่ความสูง ความคิดของเขาในตอนนี้สนใจเพียงอยากจะทำให้ผักในเรือนเพาะชำมีผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด นี่ไม่ได้เป็เพียงแค่เป้าหมายของครอบครัวตนเองเท่านั้น ยังเป็การหารายได้ให้ตนเองอีกด้วย
อย่างอื่นยังมิต้องพูดถึง มาพูดถึงพริกพวกนั้นซึ่งหากเติบโตขึ้นมาด้วยดี หลังจากตากแห้งแล้วก็เอามาเก็บเอาไว้ ยังสามารถทำของกินอร่อยๆ ได้อีกมากมาย เมื่อคิดไปถึงรสชาติของหม่าล่าหม้อไฟ สวี่ตี้ก็อยากจะให้ต้นพริกเติบโตขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าหากเอาพริกไปทำอาหารหรือเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ออกไปเป็วงกว้าง ในอนาคตยังจะต้องกังวลว่าจะหาเงินมิได้อีกหรือ?
อีกอย่างก็คือ ผักพวกนี้หากปลูกได้สำเร็จแล้วก็จะเผยแพร่ในพื้นที่แถบนี้ก่อน ให้ประชาชนสามารถมีช่องทางหาเงินเองได้ สวี่ตี้พิจารณามาแล้ว แตงกวา ผักกาดขาว หัวไชเท้าพวกนี้สามารถทำเป็ผักดองได้ หากดองเสร็จแล้วก็จะสามารถเก็บเอาไว้รับประทานใน่หน้าหนาวได้เป็เวลานาน ถึงตอนนั้นสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนที่ตลาดแลกเปลี่ยนได้ เป้าหมายหลักไม่ใช่ว่าอยากจะให้คนนอกด่านหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจของต้าเหลียงหรือ?
ในคืนนั้นเอง สวี่เหราได้พูดถึงโคมไฟในเรือนเพาะชำกับจางจ้าวฉือ ตอนกลางวันทั้งสองคนงานยุ่งมาก กลางคืนกลับมานอนก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหน วันนี้งานเบาลงอย่างหาได้ยาก หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วจึงพากันมาที่นี่
ภายในเรือนเพาะชำอบอุ่นเป็อย่างยิ่ง สวี่เหรากับจางจ้าวฉือถอดเสื้อตัวนอกออก พลางเดินไปรอบๆ เรือนเพาะชำที่ไม่ได้ใหญ่มากรอบหนึ่ง มองพืชผักที่ออกผลพวกนั้นในใจก็รู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่สวี่ตี้ทำออกมา
สวี่ตี้แบ่งเรือนของตนเองมารื้อหลังคาทิ้งแล้วทำเป็เรือนเพาะชำ แล้วไปพักอยู่ที่ห้องฝั่งตะวันออกของเรือนจางจ้าวฉือแทน ส่วนชิงเหมี่ยวกับชิงซุยก็ย้ายไปที่ห้องฝั่งตะวันตก หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ สวี่ตี้ก็นั่งเขียนตัวอักษรอยู่บนตั่งในเรือนของจางจ้าวฉือ พูดคุยกับบิดามารดาและน้องสาวเสร็จแล้วถึงค่อยกลับไปที่ห้องของตนเอง
หลังจากสวี่เหราแช่เท้าเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนบนตั่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ไอ๊หยา กลับมาอยู่ในเรือนของตัวเองนี่สิถึงจะสบายที่สุด”
จางจ้าวฉือตอบรับ “แน่นอนสิ ข้าน่ะรอคอยให้ฟ้ามืดเร็วๆ จะได้รีบกลับเรือนเสียที หลายวันมานี้ข้ารู้สึกเหนื่อยเป็อย่างยิ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อไหร่ทางนั้นจะเสร็จเสียที”
สวี่เหราเอ่ย “คาดว่าคงจะต้องรอหลังตรุษจีนก่อน ตอนนี้ข้าหวังว่าฝนฟ้าจะเป็ใจ แล้วก็หวังว่าอากาศที่ทุ่งหญ้ากว้างจะไม่หนาวจนเกินไป หากอากาศหนาวเกินไปพวกสัตว์เดรัจฉานก็จะหนาวตาย คนพวกนั้นจะต้องมาแย่งอาหารของพวกเราเป็แน่”
สวี่ตี้เอ่ยขัดขึ้นว่า “แบบนี้ไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไหร่หรอกนะขอรับ ที่น่ากลัวจริงๆ ก็คือพวกเผ่าจินจับกลุ่มกันมาปล้นเสียมากกว่า”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ได้ยินมาว่าทำสัญญาพันธมิตรกับเผ่าจินแล้วมิใช่หรือ?”
สวี่เหราถอนหายใจ “นั่นก็เป็แค่เื่ในที่แจ้งเท่านั้น เื่ในที่ลับมีเยอะแยะจะตายไป ยังไม่พูดถึงอย่างอื่นนะ แค่ฤดูหนาวในทุกๆ ปีก็มักจะพากันมาปล้นสะดม แต่หากพวกเขาบอกว่าตนเองไม่รู้เื่ เ้าจะทำอะไรได้ ก็ทำได้แค่เฝ้าเรือนของตนเองให้ดี ไม่ให้พวกเขาเข้ามาได้เท่านั้นแหละ”
สวี่ตี้เอ่ย “รอพวกเรามีเงินก่อนเถิด แล้วจะซ่อมแซมกำแพงเมืองให้ดี หากไม่ซ่อมให้แข็งแรงเหมือนกับด่านเยี่ยนเหมิน ในใจของข้าก็คงรู้สึกไม่มั่นคงเท่าใดนัก”
สวี่เหราตอบ “นั่นจะต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน อีกอย่างนะ ก็ให้ทหารเฝ้าตรงทางด้านหน้าของด่านเยี่ยนเหมินไปสิ เ้าจะซ่อมกำแพงให้แข็งแรงไปทำไม? หากมีเงินมากขนาดนั้นมิสู้เอาไปจัดการการป้องกันทางด่านเยี่ยนเหมินให้ดีๆ ก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
สวี่ตี้เอ่ยขัดบิดา “จะจัดการอย่างไรขอรับ? จะทำกำแพงยาวเป็ฉางเฉิง [2] เหมือนกับจิ๋นซีฮ่องเต้หรืออย่างไร? ข้าไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ข้าเป็บุตรชายของท่านก็ทำได้แค่ทำงานอยู่ในที่ดินหนึ่งไร่เท่านั้น ใช่แล้ว ผักของข้าที่ปลูกเมื่อปีที่แล้วคาดว่ามีจำนวนไม่น้อยที่กำลังจะโตเต็มที่ พวกเราจะเด็ดเอาไปส่งให้กับซื่อจื่อใช่หรือไม่?”
จางจ้าวฉือเอ่ยขึ้น “ไอ๊หยา เหตุใดเ้าถึงตัดใจส่งไปได้ลง? ครั้งที่แล้วแม่อยากกินมะเขือเทศก็ไม่ให้ ขี้งกเสียจริง เงินที่ลูกเอาไปซื้อของก็เป็เงินที่แม่ให้ไปนะ น่าโมโหจริงเชียว”
เมื่อได้ยินมารดาตัดพ้อเช่นนั้นสวี่ตี้ก็รีบเอ่ย “ท่านแม่คนดีของข้า ข้าทำไปเพื่ออะไร ก็เพื่อให้สามารถเก็บเมล็ดเอาไว้ได้เยอะๆ แล้วค่อยเอาไปปลูกในพื้นที่ใหญ่ๆ มิใช่หรือขอรับ? ท่านรอก่อนเถิด สิ้นปีข้าจะให้ท่านได้กินผักสดใหม่ รอถึงตรุษจีนปีหน้า ข้าจะปลูกผักจำนวนมากในแปลง แล้วให้ท่านกินจนพอใจเลยดีหรือไม่ขอรับ?”
จางจ้าวฉือตอบ “ดีหรือไม่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็ปีที่พวกเราผ่านไปได้อย่างมั่นคงหรือไม่”
สวี่เหรากล่าว “ก็หวังว่าจะสามารถประคับประคองกันไปได้จนถึงสิ้นปีนะ หากต้องเครียดเหมือนกับปีที่แล้วอีก ข้ารู้สึกว่าหัวใจของข้าจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ อาลักษณ์หลี่ก็บอกว่าข้าเพิ่งจะมาได้ไม่นาน ยังไม่คุ้นชิน รอข้าชินก่อนแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
จางจ้าวฉือเอ่ย “มันก็ไม่ใช่เื่ดีนะ ชินแล้วอย่างไรต่อ เราต้องเพิ่มความสามารถของตัวเองสิ ทำให้แคว้นของพวกเรามีอำนาจมากยิ่งขึ้น ให้คนพวกนั้นไม่กล้ามามีเื่ด้วย แบบนี้ต่างหากถึงจะดี”
สวี่เหรากล่าว “เ้าคิดว่าตอนนี้มันเป็เวลาไหนกัน แค่พูดน่ะ ไม่ว่าผู้ใดมันก็พูดได้ แต่ตอนลงมือทำนั้นลำบากเป็อย่างยิ่ง อย่างอื่นไม่ต้องไปพูดถึง มาพูดถึงทางนี้ก่อนดีกว่า พวกเขาปลูกพืชเช่นนั้นมาั้แ่บรรพบุรุษ จู่ๆ ข้าไปบอกพวกเขาว่า ที่พวกเ้าทำนั้นไม่ถูกต้อง พวกเ้าจะต้องทำตามแบบที่ข้าบอกถึงจะถูก พวกเขาจะเข้าใจข้าหรือ? แน่ล่ะว่าไม่มีทางเข้าใจ อยากจะให้คนอื่นยอมรับในตัวข้าย่อมมีทางเดียวก็คือให้พวกเขาเห็นว่าจะได้รับผลประโยชน์อันใดจากตรงนี้ สำหรับประชาชนแล้ว ที่ดินก็เป็เหมือนทรัพย์สมบัติเดียวของพวกเขา สามารถสร้างผลผลิตจากที่ดินได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งยอมรับความคิดของข้ามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น สำหรับเื่นี้การกระทำสำคัญกว่าคำพูดมากนัก”
สวี่ตี้กับจางจ้าวฉือต่างตั้งใจฟังที่สวี่เหราพูดเป็อย่างมาก แม้แต่สวี่จือก็ใช้ดวงตากลมโตมองไปยังบิดาของตนเอง นางฟังคำพูดของสวี่เหราแล้ว ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ ที่แท้บิดาของตนเองก็เป็คนที่มีความคิดความสามารถ โชคดีจริงๆ ที่นางสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง ทั้งยังได้อยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ชายของตนเองด้วย
ในใจของสวี่จืออดที่จะขอบคุณ์มิได้
เชิงอรรถ
[1] อินทรียวัตถุที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนโดยสลายตัวปะปนอยู่ในดินทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์โดยจุลินทรีย์ ซึ่งสังเคราะห์ได้สารประกอบอินทรีย์จำพวก กรดอะมิโน โปรตีน และอโรมาติก และจะเกิดการรวมตัวของสารประกอบอินทรีย์หลังจากที่จุลินทรีย์ตายลงและทับถมกันเป็เวลานานกลายเป็ฮิวมัสในดิน
[2] ฉางเฉิง (长城 Changcheng) กำแพงเมืองจีน