เมื่อหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังกลับไปถึงหมู่บ้าน ดวงจันทร์ก็ลอยขึ้นอยู่ตรงเหนือหัวแล้ว
ทั้งสองมีอาการตาบอดกลางคืนเล็กน้อย จึงต้องอาศัยแสงจันทร์พวกเขาเดินเรียบไปตามทางดินในหมู่บ้าน เดินตรงไปที่บ้านโดยอาศัยฟังเสียงสุนัข ขณะกำลังจะถึงประตูบ้านก็ได้ยินเสียงน้องชายน้องสาวะโเรียก จึงส่งเสียงตอบทันที
“ขายหมดแล้ว” หลี่ฝูคังหัวเราะ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
หลี่เจี้ยนอันพยายามระงับอารมณ์ยินดีจนแทบคลั่งของตนเอาไว้ กล่าวกระซิบว่า “เข้าไปในบ้านก่อนค่อยว่ากันเถิด”
เมื่อพี่น้องทั้งห้ามาพร้อมหน้ากัน ก็เดินตรงเข้าไปยังห้องโถงอันมืดมิด จ้าวซื่อนั่งรออยู่แล้ว เมื่อเห็นบุตรชายบุตรสาวของตนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยก็ไม่ได้ตำหนิอะไร เพียงกำชับให้รีบจุดตะเกียงเท่านั้น
ประตูห้องโถงปิดสนิท ตะเกียงน้ำมันถูกวางลงบนโต๊ะแปดเซียน[1] ทำให้เกิดแสงไฟริบหรี่ส่องไปยังใบหน้าของทุกคน
หลี่เจี้ยนอันหยิบเหรียญทองแดงที่ใส่ไว้ในกระเป๋าบริเวณสาบเสื้อออกมาวางลงบนโต๊ะทีละเหรียญ ยิ่งจำนวนเหรียญทองแดงมากขึ้น ลมหายใจของจ้าวซื่อก็ยิ่งกระชั้นถี่
หลี่หรูอี้กล่าวเจือรอยยิ้ม “สี่สิบเจ็ด”
“สี่สิบเจ็ดเหรียญทองแดงเชียวหรือ” จ้าวซื่อเห็นเงินจำนวนนี้อยู่ตรงหน้าถึงกับใจนยกมือขึ้นทาบหน้าอกโดยไม่รู้ตัว
หลี่ฝูคังรีบบอก “ไม่ใช่ขอรับ ต้องเป็สี่สิบเอ็ดทองแดง ในนี้มีเงินจากการขายฟืนของพวกเราอีกหกทองแดงขอรับ” ระหว่างทางเขากับหลี่เจี้ยนอันนับเหรียญทองแดงกันมาสิบกว่ารอบจนถูกต้องแล้ว
หลี่ิ่หานรู้สึกตื่นตะลึง “สี่สิบเอ็ดทองแดงก็มากแล้ว”
หลี่อิงฮว๋าพูดอย่างตื่นเต้น “ราคาเครื่องในหมู ถ้าเป็ลำไส้ อย่างมากชุดหนึ่งก็สามทองแดง วันนี้พวกเราทำความสะอาดไส้หมูแล้วนำออกไปขาย ทำเงินได้ตั้งสี่สิบเอ็ดทองแดง ได้กำไรสิบเท่านิดๆ เชียว”
จ้าวซื่อพูดอย่างทอดถอนใจ “หากรู้ว่าขายไส้ทอดได้เร็วเพียงนี้ วันนี้คงไม่กินไปมากขนาดนั้นหรอก”
บุตรชายทั้งสี่แห่งตระกูลหลี่มองหน้าสบตากัน ตอนบ่ายพวกเขากินไส้ทอดไปสองชั่ง หากนำไปขายที่ตัวอำเภอจะได้ถึงสิบกว่าทองแดง
หลี่หรูอี้รีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่เ้าคะ หากไม่กินจะมีแรงไปทำงานหาเงินได้อย่างไร วันนี้พี่ชายทั้งสี่ขายฟืนไปสี่มัดแล้วยังต้องทำความสะอาดเครื่องในหมูอีก ส่วนพี่ใหญ่กับพี่รองต้องเดินไปที่อำเภอ เดินไกลถึงสามสิบลี้เชียว ประเดี๋ยวข้าจะไปยกของกินจากในครัวมาให้ พวกเรากินให้อิ่มนอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้จะได้หาเงินกันต่อ”
ทว่าจ้าวซื่อกลับพูดขึ้นว่า “หรูอี้ พะโล้เครื่องในและขาหมูที่เ้าทำ แม่ลองชิมแล้ว รสชาติอร่อยไม่แพ้ไส้ทอดเลยทีเดียว คืนนี้พวกเราอย่ากินเลย พรุ่งนี้ให้พี่ชายเ้านำไปขายที่ตัวอำเภอเถิด”
หลี่หรูอี้ร้อนใจ จึงอธิบายว่า “อากาศร้อนเพียงนี้ หากเก็บอาหารจานเนื้อไว้หนึ่งวันหนึ่งคืนก็เสียหมดแล้ว ถ้าพวกเราไม่กินเอง จะเอาไปขายให้ผู้อื่นได้ที่ไหนกัน ถึงตอนนั้นเกิดลูกค้ากินกันจนท้องเสียขึ้นมา ครอบครัวเราคงต้องไปกินข้าวในคุกแล้ว”
จ้าวซื่อเกิดความลังเลใจ กล่าวเสียงอ่อน “ยังเก็บไว้ได้อีกหนึ่งวันกระมัง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บ้านท่านตาของเ้า อากาศร้อนกว่านี้มาก อาหารจานเนื้อที่ทำ หากใส่เกลือมากหน่อยและอุ่นร้อนทุกวัน เก็บไว้สามวันก็ยังไม่เสีย”
หลี่หรูอี้พูดเสียงแหลม “ทุกคนลำบากลำบนขนาดนี้ ต้องกินอาหารดีๆ สักมื้อ ท่านแม่ท่านดูเถิด วันนี้เป็เพราะพวกพี่ชายเชื่อฟังข้า ครอบครัวเราถึงหาเงินได้ หากท่านอยากให้ครอบครัวของเราหาเงินได้อีก จะต้องทำตามความคิดของข้า ตกลงหรือไม่?”
หลี่อิงฮว๋าเอ่ยปากเป็คนแรก “ท่านแม่ ข้าคิดว่าน้องสาวพูดมีเหตุผลนะขอรับ คนขายเนื้อแซ่จางกลัวเครื่องในหมูเสีย แดดแรงขนาดนั้นยังเดินจากเมืองมาส่งของที่หมู่บ้านเราอีก ตอนนี้อากาศร้อนขนาดนี้คงเก็บได้ไม่นานหรอกขอรับ”
หลี่หรูอี้หันไปยิ้มให้ผู้สนับสนุนคนแรก “พี่สามฉลาดจริงๆ เ้าค่ะ”
หลี่ิ่หานรีบพูดขึ้นบ้าง “ข้าก็คิดเช่นเดียวกับพี่สาม น้องสาวพูดถูกแล้วขอรับ”
หลี่ฝูคังพูดอย่างวางมาด “หากไม่ใช่เพราะน้องสาว วันนี้พวกเราคงหาไม่ได้แม้แต่ทองแดงเดียว ข้าเชื่อน้อง”
หลี่เจี้ยนอันเอ่ยถาม “น้องสาว… พรุ่งนี้พวกเราจะขายอะไรดี?”
หลี่หรูอี้เผยรอยยิ้มกว้างออกมา “ตอนนี้พวกเรามีเงินทุนแล้ว พรุ่งนี้เช้าไปขายแป้งย่างที่ตำบล พอบ่ายก็ไปขายที่อำเภอ”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ขายทั้งเช้าทั้งบ่ายเลยหรือ?”
หลี่หรูอี้พยักหน้า “เ้าค่ะ ต่างสถานที่ลูกค้าย่อมต่างกัน แป้งย่างไม่ได้เสียง่ายๆ เหมือนอาหารจานเนื้อ นอกจากนั้นแป้งย่างยังราคาถูกกว่า ขายได้ดีกว่า เสี่ยงน้อยกว่า แม้ว่ากำไรจะน้อยกว่าก็ตาม”
หลี่เจี้ยนอันนึกถึงเื่การค้าจึงหันไปพูดกับจ้าวซื่อว่า “ท่านแม่ พวกเราจะทำตามที่น้องสาวบอกขอรับ”
ตอนนี้ทั้งหกคนท้องร้องจ๊อกๆ กันหมดแล้ว
จ้าวซื่อกำลังตั้งครรภ์ แม้ตอนบ่ายจะกินไปแล้วมื้อหนึ่ง แต่ไม่นานก็หิวอีก เมื่อเห็นบุตรชายบุตรสาวทั้งห้ามีสีหน้าที่มีความหวัง อีกทั้งพรุ่งนี้ก็ยังจะขายแป้งย่างหาเงินอีก หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลี่อิงฮว๋าถือตะเกียงส่องทางไปยังห้องครัวให้หลี่หรูอี้ หลี่ิ่หานเดินตามไปช่วยด้วยท่าทางมีความสุข
จ้าวซื่อถามขึ้นว่า “วันนี้พวกเ้าไปขายฟืนที่ตลาดเพื่อหาเงินทุนให้หรูอี้ทำแป้งย่างต้นหอมไปขายหรือ?”
หลี่เจี้ยนอันยิ้มพร้อมตอบว่า “ไม่มีเื่ใดปิดบังท่านแม่ได้เลยนะขอรับ”
“เหลวไหล พวกเ้าล้วนคลานออกมาจากท้องข้า ข้าจะไม่รู้ความคิดของพวกเ้าได้อย่างไร?”
หลี่ฝูคังส่งเสียงชู่วๆ... “อย่าให้น้องสาวได้ยินเชียว”
จ้าวซื่อชื่นชม แต่ก็เป็กังวล “พวกเ้าตามใจนางเกินไปแล้ว วันหลังหากนางแต่งกับผู้อื่น ครอบครัวสามีไม่มีทางดีกับนางเพียงนี้แน่”
หลี่เจี้ยนอันพูดต่อ “หากพวกเราตามใจนางได้อีกหนึ่งวัน ก็จะตามใจนางไปอีกหนึ่งวัน”
หลี่หรูอี้ถือกะละมังไม้ใส่ขาหมูพะโล้เดินมาถึงหน้าห้องโถงแล้ว ได้ยินบทสนทนาของแม่กับพี่ชายเข้าพอดี จึงรู้สึกซาบซึ้งใจ เมื่อเดินเข้าไปก็วางกะละมังไม้ลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปยกอย่างอื่นต่อ
จ้าวซื่อรีบพูดขึ้นว่า “หรูอี้ นั่งลงกินก่อนเถิด ให้พี่ชายเ้าไปยกแทน”
หลี่หรูอี้ที่ถูกหลี่ฝูคังกดตัวให้นั่งลง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านยังไปว่าพี่ชายอีก มิใช่ว่าท่านก็ตามใจข้าด้วยหรือ?”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บ้านท่านยายของเ้า ข้าก็เป็เช่นนี้ ท่านตา ท่านยาย และลุงทั้งสามล้วนตามใจข้า” แม้จ้าวซื่อจะพูดถึงครอบครัวที่จากไปนานหลายปีแล้วก็ไม่ได้รู้สึกโศกเศร้า เพราะน้ำตาของนางไหลออกมาตอนจากพรากจนหมดแล้ว ทำให้นางเข้าใจดี มนุษย์เราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
หลี่หรูอี้ยิ้มกว้าง “ตอนนี้ท่านพ่อก็ตามใจท่านเช่นกัน”
หลี่ฝูคังหัวเราะ “ใช่แล้ว ท่านพ่อก็ตามใจท่านแม่”
จ้าวซื่อมองค้อนบุตรสาว กล่าวหยอกเย้า “เนื้อมากมายเพียงนี้ยังปิดปากพวกเ้าไม่ได้อีกหรือ?”
ตับหมู หัวใจหมู ไตหมู กระเพาะหมู อาหารตุ๋นส่วนต่างๆ ถูกหั่นเป็ชิ้นวางใส่จานใหญ่ได้สามจานเต็ม ทั้งยังมีขาหมูพะโล้ที่ถูกหั่นเป็ชิ้นอีกหนึ่งกะละมัง อาหารถูกวางเต็มโต๊ะ มีมากกว่า่ฉลองปีใหม่เสียอีก
คนทั้งหกเริ่มกินอาหารด้วยความหิว
จ้าวซื่อลองชิมเครื่องในหมูพะโล้ ซึ่งประกอบด้วย ตับ หัวใจ กระเพาะ และไตไปรอบหนึ่ง ทุกอย่างอร่อยจนแทบจะกลืนลิ้นตนเอง เครื่องในหมูราคาถูกมาก นึกไม่ถึงว่าบุตรสาวสุดที่รักจะมีฝีมือการครัวขนาดนี้ ใช้เครื่องปรุงธรรมดาที่มีอยู่ในบ้านก็สามารถเปลี่ยนอาหารแย่ๆ ให้กลายเป็อาหารเลิศรสได้จริงๆ นางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ท่านพ่อกับท่านลุงรองของพวกเ้าไม่มีลาภปากเลยจริงๆ”
หลี่ิ่หานกินจนคราบน้ำมันติดเต็มปาก “ถ้าคนขายเนื้อแซ่จางนำมาให้เร็วขึ้นสักหลายวันก็คงดี”
หลี่อิงฮว๋าเลือกไม่ถูก รู้สึกว่าน่าอร่อยไปเสียทุกอย่าง ไม่รู้ว่าจะกินชิ้นไหนก่อนดี “หากท่านพ่ออยู่บ้านคงไม่เห็นด้วยเื่ที่พี่ใหญ่และพี่รองไปขายไส้ทอดที่อำเภอเป็แน่”
หลี่หรูอี้รีบกล่าวประจบ “ท่านแม่ดีที่สุด ฉลาดที่สุดเลยเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อคิดไปถึงสามีผู้หัวโบราณและดื้อรั้น พูดยิ้มๆ ว่า “หากพ่อพวกเ้าอยู่ จะให้พวกเ้าไปขายไส้ทอดหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้ารู้เพียงว่า หากเขารู้ว่าไส้ทอดขายได้เงินมากมาย ต้องไม่ให้พวกเ้ากินเครื่องในและขาหมูพะโล้จนหมดแน่!”
ลูกสาวลูกชายบ้านหลี่พากันหัวเราะ “ท่านแม่เข้าใจท่านพ่อที่สุดแล้ว”
คนทั้งหกกินอาหารจนหมดแล้วจึงเก็บกวาดทำความสะอาดให้เรียบร้อย คราวนี้กินอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งกว่าตอนบ่ายเสียอีก ทำให้มีความสุขมากขึ้นเป็เท่าทวี
จ้าวซื่อไปอาบน้ำและเข้านอนแล้ว ไม่ได้ถามเื่เงินเลยสักนิด ทำให้หลี่หรูอี้ประเมินค่าความรักของนางสูงขึ้นไปอีกหลายส่วน
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] โต๊ะแปดเซียน เป็โต๊ะที่มีม้านั่งยาวรอบโต๊ะทั้งสี่ด้าน ที่เรียกว่า แปดเซียน เพราะนั่งได้แปดคน