เฉียวเยว่ชะเง้อมองมาที่หรงจ้าน "ท่านลอบเข้ามาอีกแล้ว"
หรงจ้านเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "เยี่ยงนี้รวดเร็วกว่า"
เฉียวเยว่หัวเราะหึๆ แต่ดูเหมือนว่าการทำตัวผิดวิสัยชาวบ้านของหรงจ้านคือเื่ธรรมดาที่สุดแล้ว หากเขาทำตัวเหมือนคนทั่วไปเมื่อไร นั่นสิถึงจะผิดปรกติ
หรงจ้านเข้ามาถึงข้างเตียง ก็ยื่นมือมาลูบศีรษะของเฉียวเยว่ นางเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็หลบไม่พ้น ถูกเขาแตะหน้าผากอยู่ดี
หลังทดสอบความร้อนแล้วก็เอ่ยว่า "อืม ใช้ได้ ดีกว่าเมื่อคืนมากแล้ว"
เฉียวเยว่ตะลึงงัน หลังจากนั้นก็หรี่ตาแคบ "เมื่อคืนท่านก็มาหรือ?"
หรงจ้านเลิกคิ้วอมยิ้ม "หากไม่มา ข้าจะแตะหน้าผากเ้าในฝันหรือไร"
เฉียวเยว่พลันหน้าแดงซ่าน น้ำเสียงฉายแววกระเง้ากระงอด "ท่านน่ารำคาญยิ่ง" ทั้งที่มาชัดๆ ยังจะมาโยกโย้
น้ำเสียงของหรงจ้านไม่มีสูงต่ำ ยังคงพูดต่อไป "ใช่ ข้าก็รู้สึกว่าตนเองน่ารำคาญเหมือนกัน เ้าว่า ข้าไม่ควรมาเยี่ยมซาลาเปาน้อยหรอกหรือ"
เห็นอยู่ว่าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ก็ยังเรียกชื่อเล่นของนางเช่นนี้ เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก แล้วเอ่ยปากอย่างจริงจัง "ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าซาลาเปาน้อยอีก"
หรงจ้านมองเฉียวเยว่อย่างงุนงง "เพราะเหตุใด?"
เฉียวเยว่ยืดอก "เพราะข้าโตเป็สาวแล้ว และข้าก็ไม่ได้เป็น้องสาวตัวอ้วนกลมเหมือนเมื่อก่อน อีกอย่างชื่อนี้ฟังดูเด็กมาก ข้าอยากเป็หญิงสาวที่งดงามเฉิดฉันมากกว่าเป็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง"
สายตาของหรงจ้านเลื่อนไปที่หน้าอกที่นางยืดขึ้นมา เฉียวเยว่พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ รีบยกมือทั้งสองกอดอกไว้ทันควัน แล้วพูดอย่างฉุนเฉียว "ท่านมองอะไรของท่าน หมาป่า...ลามก!"
หรงจ้านกลับรู้สึกว่าตนเองเป็ผู้บริสุทธิ์ นางอยากแสดงตัวว่าเป็สาวแล้วมิใช่หรือ
แต่มีหญิงสาวคนไหนที่ผอมแห้งไม่เจริญเติบโตเช่นนี้บ้าง?
แน่นอน ไม่ว่านางจะเป็อย่างไร ก็ยังคงน่าเอ็นดูชวนให้คนชมชอบอยู่ดี
ทว่าหรงจ้านก็มิได้แสดงความรู้สึกอันนุ่มนวลอ่อนโยนหรืออาการหัวใจสั่นไหวของตนเองออกไป ตรงข้ามกลับแสดงสีหน้าเหยียดหยัน "ใครอยากมองพื้นราบให้ม้าวิ่งอย่างเ้ากัน"
เฉียวเยว่รู้สึกได้ยินเสียงบึ้มดังในสมอง เส้นความอดทนในสมองขาดผึง ตอนนี้นางอยากจะกัดคนยิ่งนัก
จากเปลวไฟเล็กๆ ที่ลุกไหม้ เริ่มกลายเป็กองไฟขนาดใหญ่อย่างช้าๆ
"ท่านว่าอะไรนะ" แต่ละคำแต่ละประโยคราวกับลอดผ่านไรฟันออกมา
หรงจ้านยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ "หากมิใช่พื้นราบให้ม้าวิ่งแล้วคือสิ่งใด เ้าอย่าบังคับให้ข้าโกหกดีกว่า ข้าไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น คุณธรรมที่พึงมี ข้าก็พอมีอยู่"
เฉียวเยว่ยิ่งโกรธหนัก
นางพุ่งพรวดเข้าไปผลักหรงจ้านโดยตรง หรงจ้านไม่นึกว่าจู่ๆ เ้าแมวป่าน้อยตัวนี้จะลงมืออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว ตอนแรกก็ดูเหมือนแมวเชื่อง เพียงพริบตาเดียวก็เผยเขี้ยวเล็บออกมาเสียแล้ว เขา "เกิดประจวบเหมาะ" เสียหลักไปด้านข้างล้มลงบนเตียงพอดี
เฉียวเยว่ใช้แขนและข้อศอกกดหรงจ้านไว้ "ท่านพูดมา เมื่อครู่นี้ผิดหรือไม่?"
หรงจ้าน "ผิดอันใด?"
ดวงตาของเขาทอประกายเจิดจรัส
เฉียวเยว่แค่นเสียงเยาะ ออกแรงหนักขึ้น "จงกลืนคำพูดเมื่อครู่กลับลงไปให้หมด หลังจากนั้นก็เรียกข้าว่าท่านอ๋องหญิงผู้ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นข้าจะทำให้ท่านออกจากประตูห้องนี้ไปไม่ได้เลยคอยดู"
ช่างเป็จอมโจรสาวผู้คึกคักร่าเริงเสียจริงๆ
หรงจ้านล้มนอนอยู่บนเตียงก็มองนางอยู่เช่นนี้ ชุดนอนของนางเป็รอยยับจากการขยับตัว มีช่องเปิดอยู่เล็กน้อยตรง่เอวเผยให้เห็นผิวกายขาวเนียน
เขาจ้องมองเฉียวเยว่ไม่ขยับ นางโน้มตัวลงมาแล้วเอ่ยว่า "ท่านอย่ามาทำไขสือ รีบพูดเดี๋ยวนี้!"
หรงจ้านมองแขนของนางที่กดตนเองอยู่แล้วเลื่อนสายตาขึ้นไป คอเสื้อของนางเปิดออกเล็กน้อย มองจากมุมที่เขาอยู่สามารถเห็นไปถึงหน้าอกที่กระเพื่อมเล็กน้อยอย่างน่าสงสัยของนาง ส่วนโค้งมนเล็กๆ แต่น่ารัก
แม้ว่านางจะสวมเสื้อเอี๊ยมบังทรงแบบเดียวกันอยู่ด้านใน แต่จากมุมของหรงจ้านกลับมองเห็นอย่างชัดเจน
เขาเม้มปาก พลันรู้สึกลำคอแห้งผาก รู้สึกผิดปรกติไปทั้งตัว ราวกับมีเพลิงขุมหนึ่งเริ่มแผดเผาจากบางส่วนของร่างกาย แล้วค่อยๆ ลามไปทั่วร่างจนกลายเป็สีแดงก่ำ ร้อนจนเขาวิงเวียนศีรษะ
"ท่าน..." ขณะเฉียวเยว่กำลังคิดจะท้าทายต่อ ก็พบว่าดวงตาของหรงจ้านเพ่งมองอยู่จุดเดียว นางจึงมองตามสายตาของเขาไป ชั่วพริบตานั้นใบหน้าก็แดงก่ำ ผลักหรงจ้านออกไปทันทีแล้วร้องว่า "คนหน้าไม่อาย ท่านมองอะไร"
หลังจากนั้นก็ดึงสาบเสื้อของตนเองปิดให้เรียบร้อย พลางถลึงตาใส่หรงจ้านอย่างเอาเป็เอาตาย
หรงจ้านเองก็ตกประหม่า แต่ไรมาเขาไม่เคยใกล้ชิดสตรีมากถึงพียงนี้ พอเห็นท่าทางของเฉียวเยว่ ก็รั้งสติตนเองกลับคืนมา เฉียวเยว่ดูราวกับนางพญามาร พริบตาเดียวก็จะกลืนกินเขาลงท้องเสียแล้ว
หรงจ้านะโแผล็วลงจากเตียง ถอยออกไปไกลมาก ในที่สุดก็หาตำแหน่งปลอดภัยสำหรับยืนได้ หลังจากนั้นก็มองมาที่เฉียวเยว่ "เอ่อ คือว่า..."
การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของหรงจ้านทำให้เฉียวเยว่รู้สึกมึนงง ความกระอักกระอ่วนเก้อเขินในตอนแรกมลายหายไปในชั่วพริบตา
นางขบริมฝีปากเอ่ยว่า "ท่านหมายความว่าอย่างไร"
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
หรงจ้านสงบอารมณ์ลงแล้วก็เอ่ยว่า "ข้าขออภัยกับเื่เมื่อครู่"
สายตาของเขาเริ่มสอดส่ายไปมา มองฟ้า มองดิน แต่ไม่มองเฉียวเยว่ ราวกับว่าตัวนางมีพิษเสียอย่างนั้น
เฉียวเยว่กลับจดจ้องหรงจ้านเขม็ง ท่าทางของพวกเขาสองคนดูเหมือนจะสลับบทบาทกันมากกว่า
เฉียวเยว่สูดหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า "ท่านผิดตรงที่ใด?"
เฉียวเยว่วางมาดเข้ม
หรงจ้านเม้มปาก ในที่สุดก็มองไปที่นาง เพียงแต่ชั่วพริบตาที่เห็นดวงหน้าของเฉียวเยว่ เขาก็พลันนึกถึง... เสี่ยวหลงเปาน้อยขึ้นมาอีก
ใบหน้าก็แดงขึ้นอย่างผิดวิสัย
เดิมทีหรงจ้านก็ไม่เหมือนกับบุรุษทั่วไป เขาดูเป็คุณชายสง่างาม หากไม่เพราะมีบุคลิกเฉพาะตัวที่แปลกประหลาดเกินไปนัก จะบอกว่าเป็เทพเซียนก็คงไม่มากเกิน นี่คือสาเหตุที่ทำให้เฉียวเยว่คิดว่าเขาน่าจะมีความสัมพันธ์แบบลูกพี่ลูกน้องกับรัชทายาทั้แ่แรกเห็น
เพียงแต่ชายหนุ่มผิวขาวทะนงองอาจ หล่อเหลาอย่างหาตัวจับได้ยากกลับหน้าแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก นึกถึงเื่เมื่อครู่ "ท่านจงลืมสิ่งที่อยู่ในหัวของท่านให้หมด มิเช่นนั้นข้าจะควักลูกตาของท่านออกมา" นางทำท่าราวกับจะกลืนกินคน
หรงจ้านมองเฉียวเยว่อย่างพินิจ ทั้งสองต่างหน้าแดงซ่าน แต่ก็พยายามตั้งสติอย่างเต็มที่
ทันใดนั้นหรงจ้านก็มีท่าทางสงบลง เขาปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น "ข้าผิดที่... บอกว่าเ้า แบนเหมือนพื้นราบให้ม้าวิ่ง"
"ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย" หรงจ้านพยายามแสดงความจริงใจ
ใบหน้าของเฉียวเยว่จวนเจียนจะคั้นออกมาเป็โลหิต "ท่าน..."
ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต่อความกลับไปอย่างไรดี
"อันที่จริงเ้าดีกว่าพื้นราบให้ม้าวิ่ง แต่ว่าก็ดีกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่าได้ผยองเกินไปนัก" หรงจ้านยังพูดต่อไป
เฉียวเยว่อับอายจนอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้น นางถลึงตาใส่หรงจ้านแล้วพูดข่มขู่ด้วยความโกรธ "ท่านอยากตายหรือ?"
หรงจ้านเลิกคิ้ว "ไฉนถึงมีคนคิดเยี่ยงนี้อีกแล้ว ไม่ใช่คนเขลาเสียหน่อย"
"ท่านทำตัวไม่เป็มิตร ระวังเถอะจะไม่มีสหาย"
หรงจ้านทำสีหน้าราวกับกำลังจ้องมองคนเบาปัญญาด้วยความเอ็นดู แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า "พูดเหมือนว่าถ้าข้าทำตัวเป็มิตรแล้วจะมีสหายเยี่ยงนั้น"
พอสิ้นคำกล่าวนี้ เฉียวเยว่ก็อับจนถ้อยคำจะตอบโต้
ได้แต่รำพึงเสียงเบา "ท่านทำตัวเช่นนี้แย่มาก"
หรงจ้านพลันหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า "ข้ากลับรู้สึกว่าของพรรค์นั้นไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร คนเรามักมีข้อเรียกร้องจากคนที่เราสนิทสนมหรือสหายของตนเองค่อนข้างสูง แต่ความเป็จริง ยิ่งมีข้อเรียกร้องเท่าไร ความสัมพันธ์ก็ยิ่งตกอยู่ในสภาวะไม่มั่นคงง่ายขึ้น มีเพียงความสัมพันธ์แบบผลประโยชน์ถึงจะมั่นคงที่สุด"
เฉียวเยว่ส่ายหน้าเถียง "ขออภัยที่ข้ามิอาจเห็นด้วย"
นึกถึงการกระทำที่บ้าคลั่งของหรงจ้านใน่สองวันมานี้ นางก็เอ่ยปากถาม "่นี้ท่านยุ่งอะไรอยู่หรือ?"
หรงจ้านคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "เ้ารู้อยู่แล้วมิใช่หรือ ข้าก็ยุ่งอยู่กับการทำตัวบ้าคลั่งเยี่ยงไรเล่า"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "ดูท่านสิ ทำตัวไม่เป็มิตรอีกแล้ว ถ้อยคำที่ข้าคุยกับฉีอันหาได้มีเจตนาร้าย ถึงอย่างไรพวกเราก็ชอบความไร้สาระกันอยู่แล้ว"
ข้อดีที่พิเศษมากของเฉียวเยว่ก็คือความสามารถในการพูดถล่มตัวเองได้อย่างน่าฟัง แต่จุดนี้กลับตรงกับความชอบของหรงจ้านพอดี ไม่ว่าเฉียวเยว่จะพูดอะไร เขาก็มักรู้สึกว่าดีเยี่ยม ยอดเยี่ยม ดีที่สุด!
หรงจ้านมองเฉียวเยว่แล้วเอ่ยว่า "ข้าแค่อยากให้ใครบางคนได้รู้ผ่านความเคลื่อนไหวของข้า ข้าหรงจ้านหาใช่คนที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง ข้ารู้ และทำได้มากเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้เสียอีก"
ดวงตากลมโตของเฉียวเยว่กะพริบปริบ ร้องอ้อแล้วพูดว่า "ไม่รู้เพราะเหตุใด การกระทำอันบ้าระห่ำเยี่ยงนี้ของท่าน กลับทำให้ข้ารู้สึกเหมือนได้อาบสายลมวสันต์"
นางชอบเห็นตัวร้ายตกเป็เบี้ยล่าง แน่นอนว่าสำหรับซีเหลียงแล้วพวกเขาต่างหากที่เป็ตัวร้าย แต่ใครใช้ให้นางเป็คนของต้าฉีเองเล่า คนต้าฉีย่อมต้องเข้าข้างแคว้นของตนเองเป็ธรรมดา อีกอย่างแท้จริงแล้วซีเหลียงก็มักกระทำต่ำช้า ความวุ่นวายที่ชายแดนต้าฉีก็ล้วนเป็ฝีมือของพวกเขาทั้งนั้น
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ "ยากยิ่งนักที่เ้าจะชมชอบข้าถึงเพียงนี้"
เฉียวเยว่ขมวดคิ้ว "ท่านคิดมากไปเองอีกแล้ว?"
หรงจ้านคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ขณะกำลังจะพูดบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาจากด้านนอก หรงจ้านตั้งตัวได้ก็รีบะโแผล็วออกไป ความเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็ที่สุด
เฉียวเยว่เห็นท่าทางของเขาแล้ว มุมปากก็โค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม
คนที่เข้ามาคือไท่ไท่สาม "เ้ายิ้มอะไร ไฉนถึงดูมีความสุขนัก?"
นางยกของหวานเข้ามา แล้วเอ่ยว่า "ลองชิมโจ๊กรังนกที่แม่ทำให้เ้า"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ แล้วมองไปที่หน้าต่าง รอยยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม
หรงจ้านหนอหรงจ้าน เ้าก็มีวันต้องเผ่นหนีอย่างอุตลุดกับเขาเหมือนกัน ฮิฮิ!
...
หรงจ้านกลับออกมา ซื่อผิงเดินตามหลังอยู่ก้าวหนึ่ง เขากระซิบเสียงเบา "ท่านอ๋อง ข่าวยืนยันเป็ที่แน่นอนแล้วว่าชายาอ๋องสี่เข้าเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
หรงจ้านยิ้มอย่างเืเย็น "นับวันท่านอาหญิงก็ยิ่งเนรคุณต่อบ้านเกิดเมืองนอน"
"เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร?" ซื่อผิงถาม
หรงจ้านค่อยๆ เอ่ย "ทำอย่างไรหรือ? ย่อมต้องรอให้พวกนั้นเคลื่อนไหวก้าวต่อไปก่อน อยากมาสู่ขอกับจวนซู่เฉิงโหวนักมิใช่หรือ? เช่นนั้นก็ตามใจพวกเขาหน่อย"
ซื่อผิงมองหรงจ้านอย่างเหลือเชื่อ "แต่ว่า... แต่ว่าคุณหนูเจ็ด..."
หรงจ้านกลับไม่นำพา "มู่หรงจิ่วคิดจะใช้การแต่งงานกับเฉียวเยว่มาควบคุมข้า แล้วข้าจะไม่ให้ความหวังเขาสักหน่อยได้อย่างไรกันเล่า?"
รอยยิ้มของหรงจ้านเยียบเย็นลงทุกขณะ "ไม่ปล่อยให้พวกเขาเคลื่อนไหว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านอาหญิงคบคิดอยู่กับผู้ใดกันแน่ ทุกคนที่สมคบกับซีเหลียง...."
หรงจ้านเว้นจังหวะเล็กน้อย สายตาแข็งกร้าวขึ้นหลายส่วน "ข้าจะไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว"
สายลมวสันต์หอบหนึ่งโชยผ่านมา หรงจ้านยื่นมือออกไปคว้าใบไม้ร่วงใบหนึ่งที่ปลิวมาพร้อมกับสายลม "เมื่อพวกเขาอยากตายกันนัก ข้าก็ไม่ขัดศรัทธา"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้