หลัวเลี่ยโต้กลับเ้าหมีแพนด้าอย่างไร้ความปรานี ซึ่งในตอนแรกเ้าแพนด้าก็ประท้วงเล็กน้อยเกี่ยวกับชื่อแพนด้าน้อยที่หลัวเลี่ยใช้เรียกตน แต่มันทำได้เพียงต้องยอมรับเท่านั้น
สำหรับอนาคตที่สดใสนั้น จากการวิเคราะห์ของหลัวเลี่ยพบว่า ความสดใสเป็สิ่งที่เ้าแพนด้าสนใจจริงๆ แพนด้าน้อยปั้นรักความงาม ทว่าตัวมันมีเพียงสีขาวและดำเท่านั้น
เนื่องจากมีแหวนปีศาจเชื่อมกันอยู่ จึงทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหลัวเลี่ยและแพนด้าน้อยปั้น หลัวเลี่ยไม่เพียงแต่อ่านความคิดของแพนด้าน้อยได้ เขายังสามารถเข้าใจความคิดของมันได้อีกด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเ้าแพนด้าน้อยตัวนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัตว์อสูรคืออะไร บางทีความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขาอาจไม่ได้กล่าวถึงเื่นี้ แต่เขาคิดว่าแพนด้าน้อยปั้นจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ไม่ธรรมดาในอนาคต เ้าแพนด้าอาจกลายเป็เทพด้วยซ้ำ เช่นนี้แล้วจะกลายเป็สัตว์เลี้ยงของคนอื่นได้อย่างไร
หลัวเลี่ยมาถึงด้านหน้าคุก พร้อมกับแบกแพนด้าน้อยปั้นที่เอาแต่แทะใบไผ่หลากสีมาด้วย เมื่อเขามาถึง ประตูยังคงปิดแน่น
สิ่งนี้ทำให้หลัวเลี่ยแปลกใจเล็กน้อย เหตุใดประสิทธิภาพการทำงานของหอเซียวเหยาจึงต่ำเช่นนี้ นี่ก็เป็เวลานานมากแล้ว แต่กลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
นกฟินิกซ์์กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ
นกฟินิกซ์์มีสายเืของนกศักดิ์สิทธิ์โบราณ เป็สัตว์อสูรระดับสูงที่มีศักยภาพสูงในการเติบโต นกฟินิกซ์ตัวนี้มีขนาดตัวที่ใหญ่ และมีความแข็งแกร่งพอที่จะเข้าสู่ระดับทลายยุทธ์แล้ว หากโตเต็มที่มันจะสามารถไปถึงจุดสูงสุดของระดับทลายยุทธ์ได้ และหากมีโอกาสอาจไปถึงระดับกายทองคำ
สัตว์อสูรดังกล่าว ในดินแดนเหยียนหวงนี้ถือว่าพบเห็นได้ยากนัก
และเ้าของฟินิกซ์์นี้ คือหลิวจื่ออั๋ง ผู้าุโคนที่เจ็ดของหอเซียวเหยา
“พี่หลิว เื่ตราัเงินเซียวเหยานั้น ท่านต้องออกโรงข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อสืบเื่ราวด้วยตนเองเลยหรือ” นกฟินิกซ์์ที่พูดภาษามนุษย์ได้เอ่ยถามออกมา
ทั้งหลิวจื่ออั๋งและนกฟินิกซ์์ล้วนมีมิตรภาพที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมองว่าเป็ความสัมพันธ์แบบเ้านายกับสัตว์เลี้ยง แต่เป็ความสัมพันธ์แบบพี่น้องกันแทน นี่เป็หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้นกฟินิกซ์์ภักดีกับเขา เพราะสัตว์อสูรที่มีศักยภาพสูงนั้นจะทะนงตัวมาก
ด้วยความสัมพันธ์อันดีนี้ นกฟินิกซ์์จึงได้ถอดแหวนปีศาจที่ผูกมัดเขาเอาไว้แล้ว
“ไม่ใช่แค่เพราะเื่ตราัเงินเซียวเหยาหรอกที่ทำให้ข้าออกหน้า” หลิวจื่ออั๋งยกยิ้ม “การที่ ‘มีัอยู่ในเป้า’ ปรากฏตัวขึ้นที่แคว้นเป่ยสุ่ย เงื่อนงำที่สำคัญเช่นนี้ ข้าจะใช้โอกาสนี้สืบหาเขาอย่างแน่นอน หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง ต้องมีอย่างน้อยสิบกองกำลังหลักที่สำคัญในดินแดนเหยียนหวงไปตามหาเขาที่แคว้นเป่ยสุ่ยแน่ ดังนั้นพวกเราจำเป็ต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด”
นกฟินิกซ์์ออกบินด้วยความเร็วสูงสุดทันที
ที่หอเซียวเหยาในเมืองหลวงของแคว้นเป่ยสุ่ย หลานฉายหลิงกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชงจ้านหยวนดั่งนกน้อยที่้าที่พักพิง สายตาของนางจับจ้องไปที่เกา่ หากพูดให้ถูกก็คือสายตาของนางจับจ้องไปที่ตราในมือของเกา่
สิ่งนั้นคือตราัเงินเซียวเหยา
เกา่โยนตราัเงินเซียวเหยาให้กับชงจ้านหยวน
ชงจ้านหยวนที่กอดหลานฉายหลิงไว้พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เ้าเห็นหรือยัง สิ่งนี้คือตราัเงินเซียวเหยาที่เ้าลืมไม่ลงอย่างไรเล่า”
“นี่คือตราที่ทำให้หลัวเลี่ยกร่างไปทั่ว?” หลานฉายหลิงไม่มีวันลืมที่หลัวเลี่ยทำให้นางต้องอับอาย ในครั้งนี้นางได้เรียนรู้ว่า ชงจ้านหยวนและเกา่นั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดั่งพี่น้อง ดังนั้นนางจึงขอร้องให้ชงจ้านหยวนช่วยให้นางได้ตรานี้มา
แม้ชงจ้านหยวนจะบอกว่า หลานฉายหลิงเต็มใจที่จะเป็อนุคนที่เก้าของเขา แต่ในความเป็จริงแล้ว หลานฉายหลิงซึ่งเป็สาวงามรองจากหลิวหงเหยียนและเสวี่ยปิงหนิงเป็คนที่เขา้ามาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงต้องเอาชนะใจนางโดยการทำให้นางพึงพอใจ
หลานฉายหลิงคว้าตราัเงินเซียวเหยามาแล้วลูบมันเบาๆ “เมื่อมีตรานี้ ข้าก็ไม่ต้องกลัวหลัวเลี่ยอีกต่อไป”
“เ้ากลัวใครนะ?” ชงจ้านหยวนหัวเราะเสียงดัง “ฉายหลิง เ้าโง่หรือ? เ้ายังต้องกลัวหลัวเลี่ยอีกหรือ ตอนนี้เ้าหลัวเลี่ยนั่นคงจะแข็งตายไปแล้ว หรือแม้ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็กลายเป็คนธรรมดาที่ไร้วรยุทธ์ไปแล้ว หากออกมาได้เขาจะอยู่หรือไปก็ขึ้นอยู่กับความเมตตาของเราเท่านั้น”
“เช่นนั้น ทำไมพวกเราไม่ไปดูหลัวเลี่ยกันเสียหน่อยเล่า” หลานฉายหลิงอยากไปหาเื่หลัวเลี่ยเพื่อระบายความโกรธของนาง
ชงจ้านหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาสิ ข้าก็อยากจะไปดูว่าเขายังจะกล้าปากดีกับข้าอีกหรือไม่ พี่เกา ท่านเองก็ไปด้วยกันนะ”
เกา่ส่ายหัวและยิ้ม “คงไม่ดีเท่าไรถ้าข้าออกไปด้วย”
“พี่เการะมัดระวังเกินไปแล้ว” ชงจ้านหยวนกล่าว
“ระวังตัวด้วย” เกา่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้ เช่นนั้นข้าสองคนขอตัวก่อน”
หลังบอกลาเกา่แล้ว
ชงจ้านหยวนและหลานฉายหลิงก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงคุกกลืนอสูรที่อยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมของคณะผู้าุโ
เขาเห็นได้จากระยะไกลว่าผู้าุโรองนำกำลังคนป้องกันอยู่ที่ด้านนอก
เมื่อเห็นชงจ้านหยวน ผู้าุโรองก็แสดงรอยยิ้มประจบประแจง และรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของชงจ้านหยวนทันที จากนั้นก็พูดด้วยความเคารพว่า “นายน้อยมาแล้ว”
“อ่า ท่านทำได้ไม่เลวเลย ปกป้องด้วยตนเองอยู่ข้างนอกหรือ” ท่าทางของชงจ้านหยวนนั้นทะนงตัวสูงส่งเสียจนเขาเกือบจะมองผู้คนด้วยหางตา
“เป็เกียรติของข้าที่ได้ทำงานให้กับนายน้อย” ผู้าุโรองยิ้มสดใสยิ่งขึ้น
หลานฉายหลิงชี้ไปที่ผู้าุโรอง และพูดไม่ออกชั่วขณะ ตระกูลหลานของนางเป็ตระกูลเก่าแก่ระดับสูงในแคว้นเป่ยสุ่ย ดังนั้นนางจึงเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของผู้าุโรอง
ทุกคนในคณะผู้าุโอาจไม่มีอำนาจมากนักในราชสำนัก แต่ในแคว้นเป่ยสุ่ยการดำรงอยู่ของคณะผู้าุโถือได้ว่าพวกเขามีอำนาจมาก และสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งของจักรพรรดิได้ ดังนั้นสถานะของพวกเขาจึงสูงส่งเป็ธรรมดา อีกทั้งยังเป็ที่เคารพของทุกคนอีกด้วย
แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะเหมือนสุนัขที่กำลังอยู่ต่อหน้าชงจ้านหยวน
“เ้า้าจะพูดอะไร” ชงจ้านหยวนนำมือของเขาแตะที่หน้าของหลานฉายหลิง
หลายฉายหลิงครุ่นคิดสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า “ทำไมผู้าุโรองถึงได้ดูเหมือน เหมือน...”
“เหมือนสุนัขหรือ?” ชงจ้านหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม
หลานฉายหลิงรีบมองไปที่ผู้าุโรอง และพบว่าเขายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ตอนนั้นเองที่นางได้เข้าใจว่า สถานะของสองพ่อลูกตระกูลชงสูงขึ้นไปไกลถึงระดับไหนแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะมีอำนาจอยู่ในมือมากขนาดนี้พวกเขาถึงได้คิดฏ พลังอำนาจแบบนี้ทำให้หัวใจของหลานฉายหลิงพลุ่งพล่านด้วยความอิ่มเอมใจ
นางกอดชงจ้านหยวนแน่น และพูดเบาๆ ว่า “คุณชายจ้านหยวน ข้ามีความสุขมากที่มีผู้ชายเช่นท่าน”
“ตอนนี้เ้าคงจะรู้ความแตกต่างระหว่างหลัวเลี่ยกับข้าแล้ว”
“เข้าใจแล้ว หลัวเลี่ยเป็แค่ตดเหม็นๆ เขาไม่คู่ควรกับท่านเลยสักนิด” หลานฉายหลิงเชิดหน้าขึ้นเช่นกัน นางมีความสุขกับการตัดสินใจเช่นนี้ และความคิดที่จะสานสัมพันธ์กับหลัวเลี่ยที่หลงเหลืออยู่ในใจของนาง บัดนี้สลายไปโดยสิ้นเชิง
ชงจ้านหยวนหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูคุกกลืนอสูร ผู้าุโรองก็ให้ใครสักคนมาเปิดประตูให้
ทั้งชงจ้านหยวนและหลานฉายหลิงต่างเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เพราะอยากเห็นเื่ตลกของหลัวเลี่ยแล้ว
ประตูของคุกกลืนอสูรนี้หนักมาก มันค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ
เมื่อหลัวเลี่ยที่อยู่ข้างในเห็นว่าประตูกำลังจะเปิดออก เขาก็คิดว่าทางหอเซียวเหยาคงจัดการเื่นี้แล้ว เขาจึงขยับร่างกายเตรียมพร้อมที่จะออกไป ในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันแพนด้าน้อยปั้นจากการถูกค้นพบ เขาจึงปล่อยให้แพนด้าน้อยปั้นซ่อนตัว
เพราะตอนที่เขาเข้ามาในคุกกลืนอสูรแห่งนี้ เขาเข้ามาคนเดียว หากตอนกลับออกมา เขานำแพนด้าน้อยปั้นออกมาด้วย คงมีผู้คนเดาว่าแพนด้าน้อยปั้นเป็อสูรที่อยู่ในคุกกลืนอสูร เช่นนี้คงยากที่จะอธิบาย
แพนด้าน้อยปั้นกำลังจดจ่ออยู่กับการกิน
ไผ่เจ็ดสีนั่นก็แปลกเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะกินเท่าไรก็ดูเหมือนจะไม่มีวันหมด
เื่ไผ่นี้ แพนด้าน้อยปั้นอธิบายกับหลัวเลี่ยว่า ไผ่เจ็ดสีสามารถดูดซับแก่นแท้ของพลังธรรมชาติได้อย่างอิสระ ดังนั้นยิ่งแพนด้าน้อยปั้นกินไปมากเท่าไร มันก็ยิ่งเติบโตแข็งแกร่งมากเท่านั้น และนอกจากนี้ยังเป็ความจริงที่ว่า ไผ่พวกนี้กินอย่างไรก็ไม่มีวันหมด
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การที่แพนด้าน้อยปั้นไม่กินไผ่ในตอนแรก เป็เพราะจริงๆ แล้วมันกำลังดูดกลืนพลังธรรมชาติโดยตรง ใครๆ ก็สามารถเดาได้ว่ามันจะเติบโตเร็วแค่ไหน
หลังจากได้รับคำสั่งของหลัวเลี่ยแล้ว แพนด้าน้อยปั้นก็หันกลับมา แล้วแหวนปีศาจที่อยู่รอบคอของมันก็เรืองแสงจางๆ ขึ้น และนำตัวแพนด้าน้อยปั้นเข้าไปซ่อนไว้ที่มิติด้านในของแหวน
แหวนปีศาจระดับสูงมีมิติพื้นที่สำหรับให้สัตว์อสูรอยู่ด้านใน ทำให้สัตว์อสูรสามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้
หลัวเลี่ยใส่แหวนปีศาจลงในกระเป๋าเฉียนคุณ
ในขณะนั้นเอง ประตูก็ถูกเปิดออก
ภาพที่น่าสนใจจึงปรากฏขึ้น
หลัวเลี่ยที่อยู่อีกฝั่งของประตูคิดว่าจะมีคนจากหอเซียวเหยามาเชิญเขาออกไป เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ยิ้มออกมา
ส่วนชงจ้านหยวนและหลานฉายหลิงที่อยู่อีกฝั่งของประตูเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ เตรียมรอชมภาพตลกๆ ของหลัวเลี่ย
เมื่อประตูเปิดออกแล้วดวงตาสามคู่ได้สบกัน พวกเขาต่างตกตะลึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้