อวิ๋นซีมองอวิ๋นเซ่าหลันที่ถามลู่หลิงฉิงด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ก่อนจะมองลู่หลิงฉิงที่โกรธจนหน้าแดง นางอดยิ้มบางๆ ไม่ได้ อวิ๋นเซ่าหลันผู้นี้รู้ทั้งรู้ว่า ลู่หลิงฉิงอยากได้ลูกชายจนแทบบ้า แต่คนกลับพูดว่า ชายารัชทายาทอยากให้กำเนิดจวิ้นจู่น้อย
นางคิดถึงตระกูลลู่ หัวเราะเ็า ไม่ว่าอย่างไรคงเพราะคนตระกูลลู่ทำเื่ชั่วช้ามากเกินไป จึงทำให้ทั้งลู่เหวินเจิ้นและลู่หลิงฉิงต่างก็ไม่มีลูกชาย นางเชื่อในคำที่ว่า โลกใบนี้มีกรรมตามสนอง หากยังเห็นคนเ่าั้อยู่สุขสบาย ไม่ใช่ไม่มีกรรมตามสนอง เพียงแต่เวลาของกรรมยังมาไม่ถึงก็เท่านั้น
“เอาละ น้องสะใภ้สี่ คำบางคำก็อย่าพูดเกินไปนัก” ชายาองค์ชายสามที่ไม่ได้เปิดปากพูดมาตลอดจ้องมองอวิ๋นเซ่าหลัน “พวกเราทั้งหมดล้วนไม่ง่ายนักที่จะได้มีโอกาสมารวมตัวกัน ดังนั้น อย่าได้พูดอะไรเช่นนี้อีกเลย”
อวิ๋นซีประหลาดใจ ชายาองค์ชายสามผู้นี้มักเป็คนถ่อมตนเสมอต้นเสมอปลาย แต่เหตุใดวันนี้ถึงได้แปลกไป ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้ขบคิดอะไรให้มากมาย พูดขึ้น “ในเมื่อพวกเ้าต่างก็มากันแล้ว ่กลางวันก็รั้งอยู่ที่นี่ กินข้าวด้วยกันก่อนเถิด”
ที่นี่คือบ้านของนาง ไม่ใช่สนามรบ ต่อให้จะแค้นลู่หลิงฉิงเพียงใด แต่ก็จะไม่มัวทะเลาะถกเถียงกัน หรือจะไม่ถึงขนาดที่ไม่อาจอยู่ร่วมกับอีกฝ่ายที่นี่ได้ อย่างไรตาม นางยังคงคิดอยากจะให้สตรีผู้นี้ตาย แต่ทุกสิ่งจะยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ เพราะนางตั้งใจจะเหลือลู่หลิงฉิงและเหล่าคนตระกูลลู่ไว้จนถึงตอนสุดท้าย
อวิ๋นซีอมยิ้ม ถึงแม้จะไม่ชอบใจ แต่การแสดงละครน่ะ หากเริ่มต้นแล้วก็จำเป็ต้องแสดงต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายที่คนเหล่านี้มาที่นี่ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ หากปล่อยคนกลับไปก็หาใช่นิสัยของนาง
เพียงไม่นาน สาวใช้ก็อุ้มฉางรุ่ยกับฉางฮว๋ายเข้ามา ถึงแม้จะเพิ่งมีอายุได้สองเดือน แต่เด็กน้อยทั้งสองก็ได้รับการดูแลเป็อย่างดี เพียงดูในคราวแรก ขนาดตัวของเด็กทั้งสองก็อาจเรียกได้ว่า ไม่ต่างกับลูกคนอื่นตอนอายุสามเดือนเท่าใดนัก
อวิ๋นเซ่าหลันอุ้มฉางฮว๋าย ยิ้มพูดว่า “พี่สะใภ้รอง ฉางฮว๋ายหน้าเหมือนท่านเหลือเกิน แต่เหตุใดฉางรุ่ยดูแล้วเหมือนเสด็จปู่ของเขา เสด็จพ่อของเรามากกว่ากันนะ? ”
อวิ๋นซีได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวสนับสนุน “ก็นั่นนะสิ ่นี้ยิ่งมองเท่าไรก็ยิ่งเหมือน อีกทั้ง ไทเฮายังตรัสว่า ฉางรุ่ยนี้เหมือนเสด็จพ่อตอนเด็กๆ ไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น” อันที่จริงการต้องเห็นลูกชายของตนเองะโข้ามรุ่นไปมีใบหน้าเหมือนเสด็จปู่ ทำให้ในใจนางอดไม่ได้ให้หงุดหงิดนัก ถึงขนาดที่อยากจะกัดจวินเหยียนแรงๆ สักที ให้ตายสิ ลูกชายที่นางพยายามคลอดออกมาแทบเป็แทบตายไม่เหมือนกระทั่งพ่อแม่ตน แต่กลับไปเหมือนปู่เสียได้ นี่มันอะไรกัน
หากเป็เมื่อก่อนก็ช่างเถอะ แต่ในกาลก่อนเสด็จปู่ของเขาคนนี้เป็คนออกคำสั่งสังหารล้างตระกูลเฉียว ดังนั้น การที่นางสามารถกดความเคียดแค้นในใจ และไปเผชิญหน้ากับเสี้ยวเหวินตี้ด้วยจิตใจที่สงบราบเรียบได้ก็เรียกได้ว่ายากหนักหนาแล้ว แต่ตอนนี้ใบหน้าของลูกชายยังจะมาข้ามรุ่นไปคล้ายเขา นี่ก็หมายความว่า วันหน้านางจักต้องนั่งมองใบหน้าที่มีความคล้ายเสี้ยวเหวินตี้อยู่หลายส่วนนี้ทุกวันแล้วสิ
ชายารัชทายาทมองฉางรุ่ยที่อายุยังน้อย แต่กลับมีใบหน้าคล้ายเสี้ยวเหวินตี้แล้ว ในสายตาฉายแววจิตสังหารวาบผ่าน นางรู้มาตลอดว่า เสี้ยวเหวินตี้ให้ความสำคัญกับคุณชายทั้งสองของจวนหนิงอ๋องมาก ก่อนจะนึกถึงเด็กในท้องตนที่นางก็รู้ดีว่า ไม่ว่าอย่างไรใบหน้าของเด็กคนนี้ก็ไม่มีทางที่จะเหมือนคนในราชวงศ์
นางกัดริมฝีปาก ในใจรู้สึกไม่ยินยอมยิ่ง เหตุใดนางที่อยากจะได้ลูกชายสักคนถึงได้ยากลำบากเพียงนี้ แต่สตรีตรงหน้านี้คลอดทีเดียวได้ลูกชายมาถึงสองคน คนเป็แค่สตรีจากตระกูลยากไร้ ชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่กลับโชคดีเพียงนี้
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะชายาองค์ชายสามก็ดี ชายาองค์ชายห้าก็ดี สายตาของพวกนางล้วนตกอยู่บนร่างของเด็กน้อยทั้งสอง ส่วนอวิ๋นซีนั้นกลับกำลังลอบสังเกตชายารัชทายาทลู่หลิงฉิงอยู่ตลอด แน่นอนว่าทุกท่าทีของอีกฝ่ายย่อมชัดเจน รวมถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและตัดพ้อที่วาบผ่านไปนั้นด้วย...
สตรีนางนี้เป็คนใจคอเหี้ยมโหดมาเสมอ ตอนนี้นางสามารถแน่ใจได้แล้วว่า อีกฝ่ายต้องกำลังคิดวางแผนชั่วอะไรอยู่อีกแน่ ทว่า เมื่อคิดถึงท่านนั้นที่ตอนนี้พักอยู่ในจวนตน นางก็ได้แต่รอคอยการพบกันในอีกสักครู่ของพวกเขา
เชื่อว่า ทุกสิ่งจักต้องครึกครื้นมากแน่ๆ
อวิ๋นซีเชิญพวกเขากินข้าว และก็แน่นอนว่า ต้องเชิญคนจากจวนเจิ้นหนานอ๋องมาด้วย
เซียงเอ๋อร์ค่อยๆ เดินเข้ามา ยอบกายคารวะแล้วกล่าวเสียงเบา “นายหญิง เตรียมอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ”
อวิ๋นซีให้สาวใช้นำเด็กทั้งสองออกไปมอบให้แม่นม ส่วนตัวนางนำเหล่าสตรีสูงศักดิ์มุ่งหน้าไปยังห้องอบอุ่นที่อยู่ในเรือนชั้นสอง ขณะนั้นอวิ๋นเซ่าหลันที่อยู่ข้างกายอวิ๋นซีก็แย้มยิ้มเอ่ยถาม “พี่สะใภ้รอง มิใช่ว่าเจิ้นหนานอ๋องเองก็พักอยู่ที่จวนอ๋องหรอกหรือ? เช่นนั้น อีกเดี๋ยวข้าจะได้พบท่านนั้นหรือไม่? เมื่อก่อนท่านปู่เคยพูดบ่อยๆ ว่า เจิ้นหนานอ๋องนี่แหละคือวีรบุรุษบนหลังม้าที่แท้จริง คนเปรียบเป็ดั่งเทพผู้ปกปักรักษาชายแดนใต้ของหนานเย่าเรา เซ่าหลันอยากจะพบเทพาท่านนี้สักครั้ง คิดอยากจะพบมาตั้งนานแล้ว”
อวิ๋นซียิ้มบางๆ “ครั้งนี้เกรงว่าเ้าคงจะไม่ได้พบ เพราะเทพาท่านนั้นที่เ้าพูดถึงเข้าวังไปพร้อมหนิงอ๋องแล้ว แต่เ้ายังจะได้พบกับผิงถิงจวิ้นจู่และสามีของนาง พร้อมด้วยคุณหนูอีกสองท่าน”
อวิ๋นเซ่าหลันเบ้ปาก “ใครอยากจะพบพวกเขากัน ข้าอยากพบเทพาต่างหาก”
อวิ๋นซีรู้ดีว่า อวิ๋นเซ่าหลันเป็คนมีนิสัยร่าเริง รักอิสระ ทั้งยังซื่อตรง และปากไว ดังนั้นประโยคนี้ นางไม่ได้ประหลาดใจเลยสักนิด ส่วนที่ว่าในใจของอีกสามท่านที่เหลือจะคิดเช่นไร ก็มีแค่พวกนางเท่านั้นที่รู้
หลังจากเดินเข้าไปในห้องอบอุ่นแล้ว ตอนนั้นผิงถิงจวิ้นจู่และสามีก็กำลังพาพวกหลินหลานถิงเข้ามาพอดี และเมื่อชายาองค์ชายห้าคิดว่าจะได้เจอบิดามารดาของตนก็อดไม่ได้ให้ดีใจ ทว่า ในเวลาเดียวกันนี้ อวิ๋นซีกลับละสายตาลงบนร่างของชายารัชทายาท
ยามที่คนเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาก็เป็ต้องอึ้งค้างไปทั้งร่าง เหตุใดจึงเป็เขา เขาคือสามีของผิงถิงจวิ้นจู่?
ในตอนที่ลู่หลิงฉิงกำลังอึ้งอยู่นั้น อวิ๋นซีก็ไม่ลืมเชื้อเชิญให้พวกเขาทั้งครอบครัวเข้ามานั่งลง ใมากหรือ? หึหึ ลู่หลิงฉิง เื่สนุกยังอยู่หลังจากนี้ต่างหาก
อวิ๋นซีมองอาหารที่ถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะเล็กตรงหน้า นางยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “มาเถอะ นี่เป็ครั้งแรกหลังจากที่เปิ่นเฟยกลับมา และพวกเราเหล่าสะใภ้ได้มารวมตัวกัน อีกทั้ง ยามนี้ยังมีผิงถิงจวิ้นจู่และจวิ้นหม่า รวมถึงคุณหนูทั้งสองจากจวนเจิ้นหนานอ๋องมาอยู่ด้วย ข้าก็หวังว่า พวกเ้าจะไม่รังเกียจชาง่ายๆ และอาหารจืดชืดของจวนอ๋อง”
หลินหลานถิงตักอาหารเข้าปากไปคำหนึ่ง จากนั้นจึงเลิกคิ้วพูดว่า “นี่มันอาหารอะไรกัน เหตุใดถึงได้มีรสชาติแย่เพียงนี้ หากว่าชายาหนิงอ๋องหาพ่อครัวดีๆ ไม่ได้ ไม่สู้บอกหลานถิงสักคำ ไม่ว่าอย่างไรข้าจักต้องช่วยท่านหาพ่อครัวดีๆ สักคนมาได้แน่นอน แต่ ท่านกลับนำของเช่นนี้มาให้พวกเรากิน ไม่เห็นเราอยู่ในสายตาใช่หรือไม่ หรือว่าจวนหนิงอ๋องของท่านยากจนถึงเพียงนั้น กระทั่งของดีๆ ก็ล้วนไม่กล้าซื้อ”
เมื่อชายาองค์ชายห้าได้ยินเช่นนั้นก็รีบถลึงตาใส่น้องสาวตน “ถิงเอ๋อร์ เ้าพูดอันใดของเ้า รีบขอประทานอภัยพระชายาเดี๋ยวนี้” น้องสาวคนนี้ของตน ไม่ว่ายามใดก็ไม่รู้จักเพลาๆ นิสัยนี้ลงบ้างเลยจริงๆ คนเป็ตัวสร้างปัญหาอย่างแท้จริง
นางจำได้ว่า วันที่นางแต่งออกไปก็ได้บอกบิดามารดาไว้แล้ว จะอย่างไรก็ต้องตั้งใจอบรมสั่งสอนน้องสาวผู้นี้ให้ดี มิคาดหลายปีเพียงนี้แล้ว น้องรองที่แสนโอหังของนางก็ยังมีนิสัยเช่นเดิม
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีทำเพียงมองใบหน้าเล็กที่ยับย่นน้อยๆ ของหลินหลานถิง จากนั้นก็กล่าวเรียบๆ “คิดไม่ถึงว่าปากของคุณหนูรองหลินจะรับใช้ยากเพียงนี้ เปิ่นเฟยเองก็เป็กังวลอยู่แล้วว่า พวกเ้าจะไม่คุ้นชินกับอาหารของที่นี่ จึงได้เชิญพ่อครัวหลวงจากตำหนักสืออันและพ่อครัวใหญ่ที่รับผิดชอบพระกายาหารของฮ่องเต้โดยเฉพาะมาช่วยทำอาหารมื้อนี้ให้เป็พิเศษ มิคาดว่าพ่อครัวหลวงถึงสองคนจะยังทำอาหารที่ถูกปากคุณหนูรองหลินออกมาไม่ได้ นี่เป็ความผิดพลาดของเปิ่นเฟยจริงๆ ในเมื่อคุณหนูหลินรู้จักคนที่ทำอาหารเก่ง เช่นนั้นเปิ่นเฟยคงต้องลำบากเ้าให้เชื้อเชิญคนมาที่จวนหนิงอ๋องนี้แล้ว เปิ่นเฟยจะให้เขารับผิดชอบทำอาหารให้คุณหนูหลินเป็การเฉพาะ ส่วนเปิ่นเฟยและคนในจวนอ๋องล้วนคุ้นเคยกับอาหารของพ่อครัวที่พามาด้วยจากดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ..."