“ปิ่นปักผมบนผมของพี่ใหญ่ดูคุ้นตานัก นี่เป็ของที่ฮ่องเต้ประทานให้กับน้องหกเมื่อวานนี้ใช่หรือไม่?” หลี่หม่านถามขึ้นด้วยความริษยา
“ใช่แล้วขอรับ” หลี่ลั่วตอบ
หลี่หม่านเอ่ยต่อ “น้องหก ปิ่นปักผมอันนั้นพี่รองชอบมาก ให้พี่รองได้หรือไม่?” แม้หลี่หม่านจะถามหลี่ลั่ว แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางคือหลี่หลิน หากหลี่หลินปฏิเสธ จะถูกตำหนิได้ว่าไม่ดีกับน้องสาว แต่นี่เป็ของที่ฮ่องเต้ประทานให้หลี่ลั่ว หลี่ลั่วจึงมอบให้นาง หากวันนี้นางมอบปิ่นปักผมชิ้นนี้ออกไป ย่อมเป็การตบหน้านางได้เสียงดังยิ่งนัก
หลี่หลินรู้สึกหัวใจถูกบีดรัด ได้แต่ดึงชายแขนเสื้อของหลี่หยางซื่อเอาไว้
“หม่านเจี่ยเอ๋อร์” ภรรยาหลี่ฮุยเอ่ย “เ้าเป็น้องสาว ไปแย่งสิ่งของจากพี่ใหญ่ของเ้าได้อย่างไร กิริยามารยาทของบุตรีตระกูลชนชั้นสูงอยู่ที่ไหน? อย่าทำกิริยาเหมือนมาจากครอบครัวเล็กๆ สิ” คำพูดนี้มีความกำกวมอยู่บ้าง หากว่าหลี่หลินมิยินยอมมอบให้ ก็เหมือนกับกำลังว่ากล่าวหลี่หลินว่าใจแคบเหมือนผู้ที่มาจากครอบครัวเล็กๆ
สีหน้าของหลี่หลินยิ่งแข็งค้างลงไปอีกเท่าตัว หลี่หม่านนั้นชอบแย่งของๆ นางยิ่งนัก เฉกเช่นเมื่อก่อนครั้งยังอาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะแยกเรือนออกมาได้ จวนโหวแยกตัวออกมาแล้ว คาดไม่ถึงว่าในเวลาไม่ถึงปีพวกเขาจะมายังจวนโหว แต่นิสัยของนางไม่เหมือนนิสัยของหลี่หม่านที่ฉุนเฉียวรุนแรง หลี่หยางซื่อนั้นเป็คุณหนูใหญ่[1]จากตระกูลฮ่านหลินขุนนางขั้นสี่ สิ่งที่ได้เรียนรู้มาย่อมมีทั้งหนังสือและหลักการเหตุผล เมื่อเทียบกับภรรยาหลี่ฮุยที่เป็ลูกสาวอนุในจวนป๋อ[2]แล้วย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นนิสัยของหลี่หม่านย่อมถูกสอนมาไม่เหมือนกัน ลูกสาวของอนุนั้นั้แ่เยาว์วัยก็ถูกสอนให้แย่งความรักความเอ็นดูจากมารดาใหญ่และบิดา เด็กที่นางเลี้ยงเติบโตมาย่อมมีนิสัยความเป็ลูกสาวอนุอยู่ในตัวหลายส่วน
“พี่รอง นี่เป็ปิ่นปักผมพระราชทาน ตอนนี้อยู่ที่ผมของพี่ใหญ่ ย่อมเป็ของนาง เ้าคงไม่เป็เช่นดังเปลือกตาที่ตื้นเขินหรอกใช่หรือไม่?” ผู้พูดคือหลี่อวิ๋น นางเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ ทว่านางมิได้กำลังช่วยหลี่หลิน แต่ด้วยเหตุที่นางรำคาญหลี่หม่านผู้ซึ่งเอาแต่เปรียบเทียบกับนางตลอดเวลา อีกประการหนึ่งก็คือ แม้ว่าบิดาของนางจะเป็บุตรในภรรยาเอกหากทว่ากลับไร้ความสำคัญ ยังเทียบไม่ได้กับบิดาของหลี่หม่านซึ่งเป็บุตรอนุที่มีอนาคต นางย่อมไม่ยินดี
“น้องสาม สิ่งของพระราชทานย่อมเป็ของล้ำค่า น้องสามกล่าวเช่นนี้ คือไม่เห็นค่าของสิ่งของพระราชทานใช่หรือไม่?” หลี่หม่านโต้กลับอย่างชาญฉลาด หากหลี่อวิ๋นยอมรับ นั่นก็หมายถึงิ่เบื้องสูง
“เ้า...ข้ามิได้เอ่ยวาจาเช่นนั้น เ้าอย่าได้พูดจาให้ร้ายผู้อื่น” หลี่อวิ๋นรีบชี้แจง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงอันเข้มงวดเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เหอหมัวมัวประคองหลี่เหล่าไท่ไท่ออกมา
ถือได้ว่าเป็เหล่าไท่ไท่ที่ดูแลตนเองได้เป็อย่างดี เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนสมแก่หน้าตาและมีสง่าราศี แม้ตอนนี้จะชราภาพแล้วแต่ทว่ายังคงมองเห็นวี่แววความงดงามในวัยสาวอยู่ หากเมื่อครั้งยังสาวหน้าตาไม่งดงามจะกลายมาเป็หญิงม่ายที่แต่งงานครั้งที่สองกับหลี่เหล่าไท่เหฺยได้หรือ สิ่งที่นางมีมิใช่แค่เพียงฐานะคุณหนูใหญ่จากจวนป๋อเท่านั้น หลี่เหล่าไท่เหฺยนั้นเป็บัณฑิตขั้นสูง ภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป ข้างหลังมีจวนจงกั๋วกงสกุลหลี่หนุนหลัง อนาคตของเขายังคงไร้ขีดจำกัดอยู่ หาก้าหาบุตรีจากเรือนขุนนางที่ยังมิได้ออกเรือน ไม่ว่าจะเป็บุตรีจากภรรยาเอกหรือบุตรีจากห้องข้างก็ไม่ใช่เื่ยากอันใด
“ท่านย่า” หลี่อวิ๋นก้าวเข้าไปคล้องแขนของตนเข้ากับแขนของหลี่เหล่าไท่ไท่ “พี่รองชอบปิ่นปักผมของพี่ใหญ่ จะขอจากพี่ใหญ่เ้าค่ะ”
“ท่านย่า หลานเพียงแค่ชอบปิ่นปักผมทองคำอันนั้น เพราะหลานไม่เคยเห็นปิ่นปักผมที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลยเ้าค่ะ” หลี่หม่านก้าวเข้าไปออดอ้อน
แม้หลี่เหล่าไท่ไท่จะรักและเอ็นดูหลานสาวแท้ๆ ของตนอย่างหลี่อวิ๋น แต่มารดาของหลี่หม่านนั้นเป็หลานสาวของนาง ยามปกตินั้นก็ช่างประจบเอาใจนาง ดังนั้นหลี่หม่านหลานสาวคนนี้ นางจึงเอ็นดูอยู่มากเช่นกัน เมื่อเป็เช่นนี้ นางจึงมองไปที่หลี่หลิน ปิ่นปักผมอันนั้นมิใช่ของที่ฮ่องเต้พระราชทานมาให้เมื่อวานหรอกหรือไร
“ปิ่นปักผมชิ้นนี้ละเอียดประณีตนัก ในเมื่อหม่านเจี่ยเอ๋อร์ชอบนัก หลินเจี่ยเอ๋อร์ เ้าก็หัดเรียนรู้ที่จะเสียสละ คำนึงถึงความเป็ผู้าุโและรักผู้เยาว์เสียบ้างเถิด ที่ย่ายังมีปิ่นปักผมงดงามอยู่อีกหลายชิ้น ย่าจะมอบให้เ้า” หลี่เหล่าไท่ไท่กลับตัดสินความด้วยวาจาง่ายดายเช่นนี้ “สุ่ยช่าน ไปหยิบปิ่นปักผมทองคำนกยูงเจ็ดสีของข้ามาที” สุ่ยช่านคือสาวใช้รุ่นใหญ่ของหลี่เหล่าไท่ไท่
“เ้าค่ะ”
หลี่หยางซื่อนั้นั้แ่ต้นจนจบก็ยังคงมีสีหน้าสงบยิ่ง พวกเขานั้นเป็เด็กกำพร้าและหญิงม่าย นางจึงไม่อาจแย่งชิง และไม่สามารถแย่งชิงได้
ดวงตาทั้งคู่ของหลี่หลินแดงก่ำ นี่เป็ปิ่นปักผมที่น้องชายมอบให้นาง “ข้า...ท่านย่าเ้าคะ ข้า...”
[1] ตี๋เสี่ยวเจี่ย (嫡小姐) หมายถึง ลูกสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก “เสี่ยวเจี่ย” หมายถึง คุณหนู ดังนั้น ตี๋เสี่ยวเจี่ย กับ ตี๋หนี่ว์ (嫡女) จึงมีความหมายเดียวกัน
[2] ป๋อ (伯) คือตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ บรรดาศักดิ์ของขุนนางได้มีการกำหนดไว้ทั้งหมด 5 ขั้นด้วยกัน โดยแบ่งเป็ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน (เทียบกับบรรดาศักดิ์ไทย คือ เ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน)