คำพูดของกงอี่โม่ทำให้จินอวิ่นถลึงตาใส่นางไฝน้ำตาเม็ดนั้นทำให้ดวงตาของเขามีเสน่ห์ราวกับอยู่ใต้ม่านหมอกนางจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าบุคคลเช่นนี้จะกลายเป็คนเ็าในอนาคตเขามีลักษณะราวกับเครื่องจักรฆ่าคนทว่าในชาตินี้นางไม่มีทางปล่อยให้เขากลายเป็คนเช่นนั้นอย่างแน่นอน
“อย่าล้อเล่น ข้าขอถามเ้าว่าข้าไม่ได้มาแค่ระยะหนึ่งเท่านั้นแต่ทำไมเ้าสามารถขุดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้? อีกทั้งเ้ายังถูกผู้คนลือออกไปราวกับเทพว่ากันว่าเ้ามีพลังสามารถตัดแม่น้ำผ่าูเาได้ด้วย” ขณะที่กล่าวถึงจุดนี้เขาก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “คนตัวเล็กๆ อย่างเ้าเนี่ยนะ?”
“คิดจะหลอกล้วงความลับจากข้ารึ? ท่านเลิกคิดได้เลย”
กงอี่โม่แสดงความสามารถอย่างเปิดเผยในตอนแรกเท่านั้นหลังจากชาวบ้านตะลึงงันแล้ว นางจึงใช้ะเิเพียงตอนกลางคืน
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนประเด็นทันที “กลับมาเข้าเื่สำคัญท่านมีความคิดเกี่ยวกับเรืออย่างไรบ้าง?”
“ข้ามีเรือสองสามลำอยู่ในมือ แต่หาก้าทำการค้าใหญ่โตเรือแค่นี้ยังไม่พอ ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ของข้าก็เพื่อรับอู่ต่อเรือเล็กๆริมทะเลสาบหงเจ๋อแห่งหนึ่ง คิดว่าจะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน” จินอวิ่นกล่าวขึ้น
เขาก็คิดได้รอบด้านจริงๆ แต่กลับอยู่ที่ทะเลสาบหงเจ๋อ
“ข้าเคยเห็นเรือเ่าั้แล้ว มันประณีตสวยงามมากกล่าวได้ว่าจุดที่เชื่อมต่อกันสวยงามยิ่งกว่าผลงานศิลปะเสียอีกทว่าเรือเหล่านี้ไม่ใช่เรือที่ข้า้า” กงอี่โม่ส่ายศีรษะ
“ฝีมือการต่อเรือของต้าอวี้เป็อันดันหนึ่งในสี่แคว้นนะ” จินอวิ่นเลิกคิ้วเล็กน้อย
“แล้วถ้าเป็โลกที่ใหญ่กว่านี้ล่ะ? แคว้นที่ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะติดทะเลเ่าั้ล่ะ? แล้วต้าอวี้จะเป็อันดับหนึ่งอย่างแท้จริงหรือ?” เมื่อคิดว่าตัวเองเริ่มกล่าวออกนอกเื่ไปไกลกงอี่โม่จึงหลุดหัวเราะ “ข้าไม่ชอบใจที่สร้างได้ช้าเกินไป เรือใหญ่ลำหนึ่งหากเป็อู่ต่อเรือขนาดกลางจำเป็ต้องใช้เวลาสามเดือนเมื่อรอเวลาคลองขนส่งเปิดใช้งานก็ไม่รู้ว่าจะสร้างเรือเสร็จสักกี่ลำ”
ปัญหาเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักลงทุนอย่างจินอวิ่นต้องเป็ผู้วางแผนเขายื่นของสิ่งหนึ่งให้กงอี่โม่ กงอี่โม่รับมาดูมันเป็ใบอนุญาตอู่ต่อเรือแห่งนั้น
“ข้าคิดว่าข้าไม่ควรเอาเปรียบเ้าใบอนุญาตอู่ต่อเรือนี้ถือเป็ความจริงใจในการร่วมมือกับเ้าก็แล้วกัน” จินอวิ่นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์ ตอนนี้เขาอายุสิบเจ็ดปียังไม่ได้โตอย่างเต็มที่ ทว่าหากไม่เหนือความคาดหมายแล้วต่อไปเขาต้องงดงามมากอย่างแน่นอน
“ท่านมาในวันนี้คงไม่ได้มาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นหรอกนะ” กงอี่โม่คลี่ยิ้มพร้อมรับไว้
“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว ข้ารู้ว่าเ้าต้องสนใจเ้าหนูที่อยู่ในแดนประจิมคนนั้นอย่างแน่นอนตอนนี้ข้ามีข่าวบางอย่าง เ้าอยากรู้หรือไม่?” จินอวิ่นเลิกคิ้วอย่างภูมิใจ
“ลองกล่าวออกมา” ใบหน้าของกงอี่โม่พลันเคร่งเครียด
เวลานี้จินอวิ่นก็หุบยิ้มแล้วเช่นกัน เขาตีหน้าขรึมมากยิ่งขึ้น“เื่นี้เป็การคาดการณ์ของข้าเท่านั้นตอนนี้ในแคว้นอวี้เหิงของข้าพวกขุนนางเลวเริ่มเหิมเกริม ฝ่าาก็ชราแล้วเขาเริ่มเลอะเลือนขึ้นเรื่อยๆ! เมื่อไม่นานมานี้โหลวเย่มาเยือนอย่างลับๆข้าคาดการณ์ว่าเจตนาของพวกเขาที่มาในครั้งนี้ต้องไม่ใช่เื่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
เมื่อคิดได้ว่าแดนประจิมมีพื้นที่ติดกับโหลวเย่กงอี่โม่จึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นนางจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างฉับพลัน “ไม่รีบถึงแม้จะมีการสู้รบจริงๆ แต่ก็ต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็ปีสองปีอย่างแน่นอน”
การสู้รบในยุคสมัยนี้ลำบากมาก ก่อนออกรบจำเป็ต้องเตรียมตัวอย่างยาวนานทว่าเมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะเรียกกงเจวี๋ยกลับมาจัดการโครงการคลองขนส่ง่ท้ายแล้วส่วนจะส่งใครไปออกรบนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางเลยไม่ใช่หรือ?
คำพูดของกงอี่โม่ทำให้จินอวิ่นถอนหายใจเล็กน้อยเื่ที่เขากังวลย่อมไม่ใช่กงเจวี๋ยแต่เขากลัวว่าฝ่าาของเขาจะทำเื่ที่ไม่ฉลาดออกมาทำให้ประชาชนแคว้นอวี้เหิงต้องเดือดร้อน
แม้จะคิดเช่นนี้ ทว่าขณะที่กงอี่โม่เขียนจดหมายตอบกลับกงเจวี๋ยนั้นนางยังคงบอกเขาเกี่ยวกับข่าวนี้ อีกทั้งยังบอกให้เขาระมัดระวังตัวให้มากยิ่งขึ้น
ส่วนด้านกงเจวี๋ยก็กำลังยุ่งมากเช่นกัน
อากาศร้อนอบอ้าว พายุทรายก็แรงมากทว่าชาวบ้านที่ขุดทางน้ำกลับออกแรงอย่างเต็มที่! ความคิดของพวกเขานั้นง่ายมากหากทำเื่นี้เสร็จแล้วก็เป็การสร้างประโยชน์ต่อบุตรหลานของพวกเขา
เมื่อได้รับจดหมายจากกงอี่โม่แล้ว กงเจวี๋ยจึงรีบวางงานทั้งหมดลงเขานั่งอยู่ข้างต้นไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มอ่านจดหมายอย่างละเอียด ทั้งๆที่มีเพียงสองสามบรรทัด ทว่าเขากลับอ่านอย่างตั้งใจมากราวกับว่าเขากำลังคิดถึงภาพกงอี่โม่ขณะเขียนจดหมายนางกัดปลายพู่กันเพราะคิดไม่ออกว่าจะเขียนอย่างไรดี
เด็กน้อยหลายคนกำลังเล่นสนุกอยู่ห่างออกไป พวกเขาอายุไม่น้อยแล้วเวลานี้กลับแอบกวาดตามองกงเจวี๋ยอยู่
อากาศอบอ้าวมาก เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นแล้วทว่ากงเจวี๋ยกลับสดชื่นแห้งสบาย แม้ว่าเขาจะสวมชุดจากผ้าฝ้ายเหมือนกันทว่าเขาไม่เหมือนกับคนอื่น ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แต่ท่าทางของเขายังคงสง่างาม ทำให้ผู้คนได้แต่มองเขาอย่างชื่นชม
เวลานี้ไม่รู้ว่ากงเจวี๋ยเห็นอะไรถึงได้ยิ้มน้อยๆ เช่นนี้ในสายตาของเด็กน้อยที่แอบมองมาพวกเขารู้สึกว่าภาพของกงเจวี๋ยสะดุดตายิ่งอย่างพระอาทิตย์บนท้องฟ้าเสียอีก
กงเจวี๋ยรู้เป็อย่างดีมาตลอดเสด็จพี่ของเขาไม่ใช่คนกระตือรือร้นเลย หากผู้อื่นไม่ไปหานางนางก็จะไม่มีทางไปหาผู้อื่น จนกระทั่งเมื่อมีโอกาสได้เจอกันแล้วนางก็จะทำตัวเหมือนแต่ก่อนราวกับเวลาที่ไม่ได้เจอกันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนนางไม่ใช่คนที่พรรณนาถึงเื่แผนในอนาคตนางคิดว่าคนเราก็ควรลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง
ทว่าเขาจะไม่เหมือนคนอื่นๆ เสด็จพี่จะสนใจความรู้สึกของเขายกตัวอย่างจากการเขียนจดหมายทั่วๆ ไป หากเป็การตอบกลับผู้อื่น นางคงเขียนเพียงข้าสบายดี ไม่ต้องเป็ห่วงเท่านั้นเอง
เขาหลุดหัวเราะออกมา
เวลานี้มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมองเห็นกงเจวี๋ยพวกเขาจึงรีบเข้ามาทำความเคารพ
กงเจวี๋ยส่งยิ้มอย่างอ่อนโยน และประคองพวกเขาขึ้นมา“ไม่จำเป็ต้องทำความเคารพใหญ่โตเช่นนี้ ข้าก็แค่ออกมาดูเท่านั้นเอง”
ทว่าชายวัยกลางคนกลับส่งยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น “ขอบคุณใต้เท้ามาก! หากไม่ได้เป็เพราะใต้เท้ามาได้ทันท่วงทีจากเหตุการณ์โรคระบาดในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพวกข้าทั้งสองจะผ่าน่เวลาในตอนนั้นได้อย่างไร”
“นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ” กงเจวี๋ยส่งยิ้มอย่างถ่อมตน
เมื่อเขากล่าวจบ สองสามีภรรยาต่างขอบคุณมากมายสุดท้ายจึงจับมือกันเดินจากไป ผู้เป็ภรรยายังเอ่ยชมไม่ขาดปากใต้เท้าน้อยผู้นี้ช่างมีจิตใจดียิ่งนัก หน้าตาก็งามราวกับเซียนน้อยเลยทีเดียว
ทว่าไป๋เซิงที่มาหากงเจวี๋ยเห็นเหตุการณ์นี้แล้วเขากลับรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง
เดิมทีตอนที่องค์ชายรู้ว่าองค์หญิงถูกถอดพระยศในวันนั้นเขาก็ลงมือทำเื่บางอย่างอย่างลับๆ มาตลอด ไป๋เซิงคิดว่าถึงเขาจะไม่ตายเขาก็ต้องถูกองค์ชายลดตำแหน่งให้ไปทำงานที่ต่ำที่สุดแต่ใครจะรู้ว่าองค์ชายไม่ได้ทำอะไรเขาเลย อีกฝ่ายครุ่นคิดอยู่เป็นานสุดท้ายจึงสั่งให้เขาลงมือจัดการเื่หนึ่ง
เป็เื่ที่น่ากลัวมากเื่หนึ่ง!
เหตุผลที่เขาถูกองค์หญิงเลือกให้มาอยู่เคียงข้างกายขององค์ชายนั้นนอกจากเขาจะสามารถวางแผนได้อย่างดีแล้วสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขามีความรู้ทางการแพทย์ องค์หญิงให้เขาอยู่ข้างกายองค์ชายก็เพราะเกรงว่าองค์ชายอาจถูกคนอื่นลอบเล่นงานนาง้าให้เขาคอยช่วยอีกฝ่าย
ทว่าวันนั้นองค์ชายกลับกล่าวว่า
“ข้าจะไม่ฆ่าเ้า แต่...เ้าต้องทำงานอย่างหนึ่งเพื่อเป็การชดใช้ความผิด”
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความยินดี แต่กลับได้ยินอีกฝ่ายกล่าวออกมา
“ข้าจะถ่วงเวลาออกไปอีกสองสามวันส่วนเ้าให้รีบขี่ม้าเร็วเดินทางไปแดนประจิมจากนั้นให้วางยาในแหล่งน้ำหนึ่งเดียวของที่นั่นก็คือในทะเลสาบเทียนชื่อ”
“ไม่ต้องรุนแรงนักขอแค่ทำให้พวกเขาคิดว่ากำลังติดโรคระบาดจนตื่นตระหนกก็พอ เพราะตอนนี้มีภัยแล้งร่างกายของพวกเขาก็อ่อนแอมากแล้ว การมีโรคภัยไข้เจ็บก็ถือว่ามีเหตุมีผล” หนุ่มน้อยค่อยๆยิ้มอย่างช้าๆ
ไป๋เซิงไม่อยากทำเื่นี้เลย! เดิมทีคนเหล่านี้ก็ลำบากมากแล้วหากต้องป่วยอีกครั้งอาจทำให้เสียชีวิตได้
“ข้า ข้าเรียนวิชาแพทย์เพื่อช่วยคน” เขาก้มศีรษะลึกๆ
ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเสียงต่ำ กงเจวี๋ยก้มมองเขาทั้งๆ ที่อีกฝ่ายกำลังยิ้ม ทว่าสายตากลับเ็าจนทำให้ผู้คนเย็นะเื
“ช่วยคนได้? ช่วยได้ก็ต้องฆ่าได้เ้าว่าถูกไหม?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้