ถ้อยคำเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของเซวียเสี่ยวหรั่นทำให้เหลียนเซวียนนึกเคลือบแคลงอยู่บ้าง ฟังจากน้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ หรือว่าถนนหนทางของบ้านเมืองนางจะสร้างได้ดีมาก ว่าแต่มันคือสถานที่ใดกันแน่?
ด้วยรู้ว่าถึงถามไปนางก็ไม่ตอบ สายตาของเหลียนเซวียนเต็มไปด้วยข้อกังขา
รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้า เซวียเสี่ยวหรั่นรั้งสายตากลับมาจากทิวทัศน์ริมทาง
หลังออกจากเมืองหลินอัน ถนนก็กว้างขึ้นมาก นั่งรถม้าค่อนข้างมั่นคงกว่าเกวียนเทียมโค อาการเมารถจึงไม่นับว่ารุนแรง
"เหลียนเซวียนเมื่อวานท่านไม่ได้นอนทั้งคืน ก็ฉวยโอกาสตอนนี้งีบหลับสักหน่อยเถิด พวกเรายังต้องเดินทางอีกหลายวันเลยนะ"
"ไม่ต้อง" เหลียนเซวียนส่ายหน้า ถึงรู้ว่านางใคร่ครวญเพื่อเขา แต่เขาก็ไม่คุ้นกับการนอนกลางวัน
"ไม่ได้ ต้องนอน" เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่เขา "ท่านหาใช่เทพเซียนเสียหน่อย ไหนเลยจะอดหลับอดนอนต่อเนื่องได้หลายวัน"
พูดจบ นางก็ปูที่นอนอย่างคล่องแคล่ว "มาเร็วๆ อย่าดันทุรังนักเลย มานอนสักครู่"
เหลียนเซวียนมองนางด้วยแววตาดุจน้ำบ่อลึก
"วสันต์ง่วงงุน สารทเหนื่อยล้า คิมหันต์นั่งสัปหงก เหมันต์ยิ่งนอนไม่ตื่น หนึ่งปีสี่ฤดูล้วนหลับสบาย มีใครอดหลับอดนอนแล้วจะรู้สึกสดชื่นบ้าง รีบนอน มานอนเร็วๆ ห้ามอดนอน"
แม้จะเผชิญหน้ากับแววตานิ่งขรึมของเขา แต่เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังคงหน้าหนาพูดพล่ามต่อไป
"ท่านตื่นแล้ว คืนนี้ถึงจะมีแรงนั่งสมาธิกระมัง นั่งสมาธิร่างกายก็ต้องกระปรี้กระเปร่าก่อนถูกต้องหรือไม่ อีกอย่างท่านยังาเ็ ต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่ าแถึงจะหายเร็ว ท่านว่าจริงหรือไม่ ท่าน..."
เซวียเสี่ยวหรั่นยังอยากบ่นต่อ แต่ฝ่ามือใหญ่กลับยื่นมาตรงหน้า ให้นางหยุดพูด
หัวคิ้วของเหลียนเซวียนกระด้างขึ้นหลายส่วน ถอนหายใจเงียบๆ คลำหาผ้าห่มแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอน
เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกบานขึ้นมาทันที ช่วยห่มผ้าให้เขา "ถูกต้องแล้ว ได้หลับสักตื่นท่านจะสดชื่นขึ้นมาก"
"เงียบ" เหลียนเซวียนหลับตา ทำตามที่นางปรารถนา ดังนั้นอย่าบ่นไม่รู้จักจบสิ้น อายุน้อยแค่นี้ ไม่รู้ไปหัดนิสัยพูดมากน่ารำคาญเช่นนี้มาจากไหน
"คิกๆ ข้าเงียบแล้ว ท่านนอนเถอะ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ถือสาท่าทางรังเกียจรังงอนของเหลียนเซวียน อย่างไรเสียเป้าหมายก็สำเร็จ
เหตุใดนางถึงชอบบ่นน่ะหรือ? อืม... ก็คงติดนิสัยมาจากคุณย่ากระมัง
กับคุณปู่
ตอนอยู่บ้าน คุณย่าก็ชอบบ่นเธอกับคุณปู่ไม่จบไม่สิ้น
"สูบบุหรี่ให้มันน้อยหน่อย ดูคุณสิไอน้อยอยู่เสียเมื่อไร"
"ดื่มเหล้าให้มันน้อยหน่อย กลัวว่าจะอายุยืนนักหรือไง"
"กินเนื้อให้น้อยลงหน่อย ไขมันในเืของคุณสูงอยู่นะ"
กับเธอ
"กินเยอะหน่อย ดูซิ เรียนหนักจนผอมหมดแล้ว
"สวมเสื้อให้หนาหน่อย ข้างนอกหนาว อย่าเอาแต่เรียนจนไม่สนใจดินฟ้าอากาศ"
"ใช้เงินเสียบ้าง อย่าเขียมนักเลย อะไรควรจ่ายก็ต้องจ่าย"
นึกถึงคุณปู่คุณย่า เซวียเสี่ยวหรั่นก็น้ำตารื้น บ้านของเธอ เธอคงจะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นเงยหน้าขึ้น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งออกมา
เหลียนเซวียนไม่เคยชินกับการนอนกลางวัน เขานอนเพื่อให้หูได้เงียบหน่อย
เขานอนพักสายตาสักครู่ค่อยลุกขึ้น นางก็ไม่มีเหตุผลในการบ่นจุกจิกแล้ว
แต่ผลลัพธ์ก็คือ เขาต้องใตื่นเพราะเสียงร้องซี้ดของนาง
"เป็อะไร" เขาถามด้วยจิตใต้สำนึก น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
"ท่านตื่นแล้วหรือ ข้าถูกเข็มตำมือน่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเป่านิ้วชี้ที่ถูกเข็มแทงดังฟู่ๆ
อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เธอจึงหยิบส้นรองเท้าที่ซีมู่เซียงซ้อนเป็ชั้นมาให้แล้วออกมาเย็บ
แม้เซวียเสี่ยวหรั่นจะเคยเห็นซีมู่เซียงกับอูหลันฮวาเย็บรองเท้ามาแล้ว แต่การทำครั้งแรก ประกอบกับยังไม่ชินมือ จึงพลาดพลั้งถูกเข็มตำเอา
"ยุ่งยากนักก็อย่าทำเลย ซื้อมาสวมก็ได้" เหลียนเซวียนค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง
"เดินทางรู้สึกเบื่อเลยหางานทำสักหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นยังคงใช้เข็มเย็บรองเท้าเจาะรูเข้าไป
"เ้าเย็บมานานแค่ไหนแล้ว" เหลียนเซวียนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย นี่เขาถึงกับหลับไปจริงๆ มิหนำซ้ำยังหลับลึกอีกด้วย
"อืม... ประมาณหนึ่งชั่วยามได้" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ค่อยแน่ใจนัก เมื่อไม่มีนาฬิกา ก็ต้องคาดเดาเวลาเอาเอง
หนึ่งชั่วยาม เหลียนเซวียนสับสนเล็กน้อย
สัญชาตญาณระวังตัวของเขาย่ำแย่ขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร
เหลียนเซวียนเงยหน้ามองสตรีที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเย็บรองเท้าด้วยสีหน้าสับสน
เที่ยงตรง คาราวานวาณิชก็หยุดพักที่ตำบลฉุยหลิ่ว ผู้ที่้าเติมเสบียงก็เริ่มลงมาจากรถม้า เดินเข้าไปในตลาด
เซวียเสี่ยวหรั่นกระดี๊กระด๊าอยากลงจากรถไปซื้อของ แต่กลับถูกเหลียนเซวียนรั้งไว้ บอกให้อูหลันฮวาไปจ่ายตลาดคนเดียวก็พอ นางไม่จำเป็ต้องวิ่งแล่นไปทั่วให้วุ่นวาย
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกขัดใจ อุตส่าห์ผ่านทางมาทั้งที เธอก็อยากชมทิวทัศน์และวัฒนธรรมความเป็อยู่ของผู้คนดูบ้าง
"คาราวานพ่อค้าหยุดพักสองเค่อ ไม่มีเวลามากพอไปเที่ยวเล่น สถานที่เล็กๆ แบบนี้ไม่มีอะไรน่าสนุก ต่อไปหากมีเวลาข้าจะพาเ้าไปท่องเที่ยวปูชนียสถานอันเลื่องชื่อลือนามด้วยตนเอง"
เหลียนเซวียนเกลี้ยกล่อมอย่างอดทนอดกลั้น
แท้จริงแล้วเซวียเสี่ยวหรั่นเป็คนว่าง่าย ขอเพียงไม่ขัดกับหลักการ หรือไม่ล้ำเส้นจนเกินไป เธอก็จะไม่ดื้อดึงมากนัก
ดังนั้นจึงมอบหมายให้อูหลันฮวาไปซื้ออาหารที่้า โดยที่ไม่ตามไปด้วย
แต่แทนที่จะนั่งรออยู่เฉยๆ กลับเดินวนเวียนอยู่ละแวกใกล้ๆ
รถม้าเหล่านี้ล้วนติดตามอยู่ด้านหลังของคาราวานวาณิช เดินทางมาสองวัน ทุกคนต่างเริ่มคุ้นหน้า
มีสตรีสองสามคนยิ้มและโบกมือให้เธอ
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยิ้มตอบกลับไป
พวกเขาพักแค่่สั้นๆ พอครบสองเค่อ ด้านหน้าก็เริ่มเคลื่อนขบวนอย่างช้าๆ
พวกอูหลันฮวาเพิ่งกลับมาถึง ทำเวลาได้เร็วมากจริงๆ หากเธอเป็คนไปเองไม่แน่ว่าป่านนี้คงจะยังไม่กลับมา
เซวียเสี่ยวหรั่นเกาหน้าผากเกลี้ยงเกลาอย่างประหม่า
รีบขึ้นรถ เริ่มออกเดินทาง
ตกค่ำยังคงค้างแรมในป่าเหมือนเดิม มีเสบียงมาเพิ่มจากตอนกลางวัน อาหารมื้อเย็นจึงไม่ใช่ซาลาเปาอีกต่อไป
เซวียเสี่ยวหรั่นตุ๋นโจ๊กกระดูกหมูเห็ดหอมหม้อหนึ่ง ทั้งยังมีข้าวเหนียวไส้พุทราแดงร้อนๆ ที่ซื้อมาจากตลาด
อาหารมื้อหนึ่งก็ผ่านไปเรียบร้อย
วันรุ่งขึ้นเซวียเสี่ยวหรั่นยังคงให้เหลียนเซวียนงีบ่กลางวันเหมือนเดิม
เหลียนเซวียนจำต้องนอนลงอย่างเบื่อหน่าย
แต่ผลก็คือหลับไปได้ไม่นานเท่าไรก็ใตื่นเพราะเสียงดังโหวกเหวกจากด้านนอก
เขาลุกขึ้นมานั่ง ข้างนอกมีเสียงอาวุธและคนกำลังต่อสู้กัน
"เหลียนเซวียน เกิดเื่แล้ว โจรูเามาแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นเกาะอยู่ขอบหน้าต่างพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
โจรป่ามากันมากมาย แต่ละคนล้วนถือมีดถือหอกครบมือ
กองคาราวานเพิ่งจะเลี้ยวเข้าสู่ช่องเขา ด้านหลังก็มีคนกลิ้งหินลงมาปิดเส้นทาง ด้านหน้าก็มีโจรป่าบุกเข้าโจมตี
หลังจากพวกเขาเจรจากันไม่กี่ประโยค แต่ดูเหมือนจะตกลงกันไม่ได้จึงเริ่มเปิดศึกต่อสู้กัน
โจรป่าจำนวนไม่น้อยวิ่งกรูลงมาจากเนินเขา เหล่าผู้คุ้มกันของกองคาราวานต่างเข้าไปต่อสู้กับโจรป่า
ปลาซิวปลาสร้อยที่ติดสอยห้อยตามอย่างพวกเขา จึงยังไม่อยู่ในความสนใจของโจรป่าชั่วคราว
"ต้าเหนียงจื่อ ซีอู๋บอกให้พวกเรารีบหนีไปก่อน" อูหลันฮวาวิ่งมาอย่างเร่งร้อน
"ใช่ ควรรีบหนีก่อนที่มันจะสังเกตเห็นพวกเรา" อู๋โจวรีบรื้อห่อสัมภาระออกมาจากลังไม้ด้านล่าง "ต้าเหนียงจื่อ หลางจวินรีบหนี หากช้าจะไม่ทันกาล"
เขารีบถอดสายรัดออกจากตัวม้าออกจากคานเชื่อมรถ
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง แล้วหยิบกระเป๋าของเหลียนเซวียนส่งให้เขาสะพายหลังเช่นกัน แล้วค่อยถือไม้เท้าของเขาะโลงมาจากรถก่อน
"เหลียนเซวียน รีบลงมา"
เหลียนเซวียนได้ยินเสียงตีรันฟันแทงจากด้านหน้า แววตาพลันเยียบเย็น
