กองไฟในกระท่อมนั้นก่อขึ้นจากฟืน ความร้อนจึงคงที่ ซ้ำยังควันน้อย
ยามเหล่าปามาถึงแล้วเห็นเด็กชายที่นอนอยู่ข้างกองไฟ ก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง
บนพื้นยังมีคราบเืสดๆ อยู่
“ท่านอาปา ข้าเพิ่งจะฆ่าคนตาย”
ยามเหล่าปาเพิ่งย่างกรายเข้ามาในกระท่อม อาลู่ก็เอ่ยเื่นี้ขึ้นเป็สิ่งแรก
เหล่าปาได้ยินแล้วก็ไม่ได้กล่าวอันใด เพียงหันกายกลับไปปิดประตูให้เรียบร้อย
ชายหลังค่อมยืนมองอาลู่ที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ
“เ้านึกเสียใจหรือไม่ แล้วกลัวไหม”
“ข้าไม่เสียใจ เพียงแต่รู้สึกกลัวเท่านั้น” อาลู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่เสียใจก็ดีแล้ว เดี๋ยวเ้าก็ชินไปเอง แต่ไหนเ้าลองเล่าทีว่ามันเป็มาอย่างไร”
“ตอนนั้นเขาหันหลังให้ข้า ข้าเลยซุ่มอยู่ในมุมมืด จากนั้นก็ปามีดออกไป ตามที่ท่านเคยเล่าว่าจุดที่อ่อนแอที่สุดของมนุษย์คือตำแหน่งหัวใจที่เยื้องไปทางขวาเล็กน้อย ข้าเพียงเล็งตามตำแหน่งที่ท่านว่า ต่อมาเขาก็ตายเสียแล้ว มันเกิดขึ้นรวดเร็วนัก ข้าว่าเขาคงจะไม่เ็ปเท่าใด เขาไม่ได้ร้องออกมาสักแอะเสียด้วยซ้ำ” อาลู่ค่อยๆ เล่าย้อนเหตุการณ์ให้เหล่าปาฟัง
“ตำแหน่งที่เ้าว่านั่นถูกต้องแล้ว ส่วนเื่ที่เขาไม่ร้องนั้นก็หมายความว่าเ้าลงมือได้ว่องไว ทว่าที่เ้าแอบในมุมมืดนั้นเห็นจะไม่เหมาะนัก ว่าแต่ตอนนั้นเ้าแบกเฉินโย่วอยู่หรือไม่” เหล่าปานั่งลง แล้วถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
อาลู่พยักหน้าตอบ
ตอนนั้นบนหลังเขายังแบกน้องสาวอยู่ หากเขา้าช่วยคน เขาไม่อาจให้มีความเสี่ยงหลงเหลือเพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจลงมือฆ่าอย่างไม่ลังเล
“อาโย่วว่าง่ายมาก” ในตอนนั้นเขาเงียบงันราวกับจะหยุดหายใจ ทว่าประโยคนี้เขากลับไม่ได้บอกเหล่าปา ด้วยกลัวว่าเหล่าปาจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ตอนนี้เมื่อคิดขึ้นมา ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ ด้วย
บางทีอาจเป็เพราะเขากังวลเกินไปกระมัง
ทันใดเหล่าเด็กบนพื้นก็พากันขยับตัว
เฉินโย่วน้อยนั้นตื่นขึ้นมาเป็คนแรก ตาคู่น้อยนั้นปรือขึ้นเพียงครึ่ง เมื่อมองเห็นท่านอาปา นางก็รีบกลิ้งไปอยู่ข้างกายเขาทันที
ทุกครั้งยามที่ทารกน้อยเข้ามาใกล้เหล่าปา ชายหลังค่อมที่เคยนิ่งเงียบมาตลอดก็พลันมือเท้าพันกันเป็ระวิง
กับอาลู่ท่าทีของเหล่าปาล้วนเ็าเสมอมา ทว่ากับเฉินโย่วน้อยนั้น เขากลับมีท่าทางราวกับกำลังหวาดกลัว กลัวว่ามือหนักๆ ของตนนั้นจะทำให้นางาเ็
ทว่าเฉินโย่วน้อยนั้นเก่งกาจเื่การแยกแยะความรู้สึกของผู้อื่นอยู่เสมอ
เช่นยามอยู่ต่อหน้านายท่านสาม นางก็จะว่าง่ายเป็พิเศษ
ยามอยู่ต่อหน้านายท่านใหญ่ นางก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นิ่งเงียบราวกับจะหายตัว
เหล่าปาได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ เฉินโย่วน้อยจึงหลับตาแล้วคลานไปทางที่เขานั่งอยู่ จากนั้นจึงหาพื้นที่สบายๆ แล้วนอนหลับต่อ
เหล่าปายามนี้แม้อยากจะกล่าวอันใด ก็ยังไม่กล้ากล่าวเสียงดัง
“เหตุใดเ้าจึงเก็บเ้าเด็กสองคนนี้กลับมา อาหารบนเขามีไม่พอจะเลี้ยงจ้าพวกนี้หรอก เ้าจะช่วยก็ช่วยได้เพียงชั่วคราว ให้ช่วยไปทั้งชาตินั้นคงเป็ไปไม่ได้ ยิ่งหากว่าคนในค่ายมาเห็นเข้า จะถูกฆ่าทิ้งตอนไหนก็ไม่อาจรู้”
เหล่าปาพูดเสียงเบาราวกับจะกระซิบ ทว่าร่างของอาสวินและอาอู่พลันกระตุกขึ้นทีหนึ่ง
ความจริงแล้วเพียงเหล่าปาเพิ่งจะก้าวเข้ามาในกระท่อม พวกเขาก็ตื่นแล้ว
พวกเขาคือเด็กจากถ้ำเชลย ต่อให้หมดสติไป ร่างกายก็ยังคอยระแวดระวังภัยอยู่ดี
ก่อนหน้านี้อาลู่ก็เคยได้ยินเหล่าปาพูดเื่ถ้ำเชลย
เขาจึงตรองเื่นี้ดูอีกครั้งหนึ่ง
“ข้าจะไปคุยกับนายท่านสามว่าข้าจะจ่ายค่าเช่าเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง แล้วให้เ้าสองคนนี้คอยติดตามข้า ข้าเคยได้ยินว่ายามอยู่ในหน่วยลาดตระเวนแล้วทำผลงานได้ดี ก็จะสามารถเลือกผู้ติดตามได้ รอพวกเขารักษาตัวจนหายดี ก็ให้เ้าตัวโตติดตามข้าไป ส่วนเ้าตัวเล็กก็ให้อยู่เป็เพื่อนอาโย่ว”
อาลู่เพียงเพิ่งจะกล่าวจบ เสี่ยวอู่ก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วพูดตะกุกตะกักขึ้น “ข้าทำอะไรก็ได้ ข้าวิ่งเร็วนัก อาสวินก็ดูแลคนเก่ง ที่ผ่านมาเขาก็ดูแลข้าเป็อย่างดี”
อาสวินพลันลืมตา ไม่ได้ลุกขึ้นมา เพราะไม่อาจลุกไหว ทว่ามือของเขานั้นก็ยังคงถูกเสี่ยวอู่กำไว้แน่น
เหล่าปาเพียงพ่นลมหายใจหึขึ้นทีหนึ่ง ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือสนับสนุนอาลู่
เขาไม่ชอบใจนักที่อาลู่ใจอ่อน ทว่าก็รู้สึกว่าจิตใจเขายังคงมีเมตตาเช่นกัน
อาลู่บัดนี้คือเด็กหนุ่มที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มพวกเขาแล้ว ซ้ำยังราวกับเสาหลักให้พวกเขาเช่นกัน
ข้าวเที่ยงวันนี้นั้นคือน้ำแกงเต็มหม้อที่ต้มไว้
อาลู่ตักให้เหล่าปาก่อนเป็ถ้วยแรก จากนั้นจึงตักให้เสี่ยวอู่ที่ลุกผุดลุกนั่งขึ้นมาอีกถ้วยหนึ่ง
เสี่ยวอู่ที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับการดูแลเช่นนี้ก็พลันมือสั่น ค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับน้ำแกงถ้วยนั้น
ถ้วยนั้นร้อนเสียจนฝ่ามือก็พลอยรู้สึกร้อนไปด้วย
เสี่ยวอู่นั้นรู้ดีว่าพวกคนในค่ายเชลยนั้นจะโดนเหล่าคนในค่ายใหญ่ไล่ตะเพิดมาก็ไม่แปลกอะไร ซ้ำเหล่าโจรในค่ายยาม้าฝึกฝนมือให้ชินกับการฆ่าคน ก็จะมาเลือกคนจากถ้ำเชลยไปฝึกฝน
เขายังจำได้ว่าในตอนนั้นเหล่าคนที่เข้ามาล้วนไม่เปิดกล้าเผยใบหน้า ตอนนั้นเขาทำได้เพียงแบกอาสวินหนีไปให้ไกลที่สุด สำหรับเขาแล้วถ้ำเชลยนั้นคือนรก แต่ด้านนอกนั้นสำหรับคนในถ้ำเชลยแล้วก็คือนรกเช่นกัน
เขารีบวางถ้วยลง แล้วพยุงอาสวินให้ลุกขึ้น
เขาเองก็รู้สึกหิวมากเช่นกัน
ยามมองน้ำแกงในหม้อเดือดปุดๆ เขาก็แทบจะตาลายด้วยความหิวโหย
ทว่าบัดนี้เขานั้นกลับตักน้ำแกงกรุ่นร้อนในถ้วยที่เขาถืออยู่ ป้อนน้ำแกงข้นๆ นั้นเข้าปากอาสวินทีละช้อนๆ
อาสวินที่ถูกเสี่ยวอู่พยุงไว้นั้น รู้สึกว่าตนเหนื่อยนัก ซ้ำยังปวดไปทั้งร่าง
ทว่าเขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร พยายามใช้แรงทั้งหมดฝืนปากตนให้อ้าออก ก่อนจะพยายามกลืนอาหารลงไป ในใจเขาคิดว่าเขานั้นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาอยากมีชีวิตอยู่เหลือเกิน เพราะเสี่ยวอู่นั้นช่างเขลาเกินไป
เมื่อกินไปได้ครึ่งถ้วย
เสี่ยวอู่ก็ไม่ได้ฝืนให้เขากินต่อ เพียงยกน้ำแกงครึ่งถ้วยที่เหลือขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วซดในอึกเดียว
ดื่มอึกๆ เข้าไปเพียงครู่เดียว น้ำแกงครึ่งถ้วยนั้นก็ไม่เหลือเพียงสักหยด
จากนั้นเขาก็ลงมือเลียถ้วยอย่างตั้งอกตั้งใจ ถ้วยเก่าๆ นั้นถูกเสี่ยวอู่เลียเสียจนขึ้นเงา
สุดท้ายเขาจึงยื่นถ้วยที่ถูกเลียจนขึ้นเงานั้นคืนให้อาลู่
เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องขอเพิ่มแต่อย่างใด
อาลู่เองก็ไม่ได้ตักให้เพิ่มเช่นกัน
“ไม่ได้กินอาหารมานาน ก็ค่อยๆ กินหน่อยเถิด เพิ่งกินอาหารครั้งแรก หากกินมากเกินไปอาจจะตายเอาได้” อาลู่มองหน้าเด็กหนุ่มแล้วเห็นแววระแวดระวังและคาดหวังนั้น จึงอธิบายให้เด็กหนุ่มฟัง
เสี่ยวอู่พยักหน้าแรงๆ
วันต่อมา เพิ่งจะยามเช้า อาลู่ก็ลงเขาไปเสียแล้ว
เมื่อวานแม่นางหลัวก็มาที่นี่เพื่อกำชับให้เขาเอาเฉินโย่วมาฝากกับนาง
อาลู่ตอบตกลง
ส่วนเ้าเด็กสองคนที่ช่วยมาจากถ้ำเชลยนั้น ร่างกายบัดนี้แทบจะไม่เหลือชิ้นดี จึงให้รักษาตัวไปอีกระยะหนึ่ง
แม่นางหลัวนั้นมายังกระท่อมั้แ่ยังเช้ามาก
ยามนางมาถึง เฉินโย่วจึงยังหลับอุตุ
เฉินโย่วนั้นยังเล็กนัก เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จก็ยังต้องนอนต่ออีกพักหนึ่ง
เหล่าปานั้นก็ออกไปทำงานเสียแล้ว
เฉินโย่วน้อยนั้นนอนอยู่ข้างอาสวิน
อาสวินก็ยังหลับอยู่ แต่เสี่ยวอู่นั้นตื่นแล้วแต่ยังนอนนิ่งอยู่เฉยๆ ทำใจไม่ได้ที่จะลุกขึ้นจากที่นอน เขานั้นชินกับการมองเห็นคนอื่นในถ้ำมืดเสียแล้ว แม้แต่อาสวินนั้นเขายังไม่เคยได้เห็นหน้าชัดๆ
อาสวินแท้จริงแล้วหน้าตาไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่ผอมแห้งไปเสียหน่อย ซ้ำยังมีใบหูใหญ่โตกว่าคนอื่น เมื่อรวมกับร่างผอมบางนั้นจึงทำให้ดูประหลาดไม่เบา
ส่วนเ้าทารกน้อยนั้นกลับหน้าตางดงามนัก ดวงตา จมูกหรือริมฝีปากล้วนดูจิ้มลิ้ม เพียงแค่ผิวของนางนั้นออกจะดูคล้ำไปสักหน่อย
เ้าทารกน้อยนี้มีนามว่าเฉินโย่ว พี่ชายนางเรียกนางว่าอาโย่ว
ส่วนพี่ชายนางมีนามว่าอาลู่
เสี่ยวอู่มองอาสวินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองอาโย่ว คิดในใจว่าเป็เช่นนี้ช่างดีนัก ในที่สุดก็ได้หลับอย่างวางใจ ไม่ต้องคอยหดกายอยู่ตลอด ไม่ต้องกังวลอันใด
อาลู่ก่อนออกเดินทางกำชับให้เขาดูแลน้องสาวให้ดี
เสี่ยวอู่จึงตัดสินใจจับตามองอาโย่วตาไม่กะพริบ
คิดๆ ไปก็คิดได้ว่าเขายังมีลูกปัดกระดูกอยู่กับตัวอีกสองเม็ด จึงล้วงออกมาแล้วแอบยัดใส่มือทารกน้อยไว้ ในใจคิดว่ายามทารกน้อยตื่นมาเห็นไข่มุกสองเม็ดนี้ นางจะต้องยิ้มออกมาอย่างแน่นอน
รอยยิ้มที่ไม่มีแม้กระทั่งฟันนั้น ทำให้เสี่ยวอู่รู้สึกรอคอยนัก
ทันใดนั้นประตูกระท่อมก็พลันถูกผลักให้เปิดออก
เสี่ยวอู่ใจนแทบะโ พลันรีบเข้าไปบังตรงหน้าของทารกน้อยและอาสวินไว้
ทว่าคนที่ผลักประตูเข้ามานั้นกลับเป็เพียงแม่นางน้อยคนหนึ่ง นางสวมกระโปรงสีฟ้าดอกไม้ สวมรองเท้าคู่น้อย องค์เอวช่างดูอรชร
เสี่ยวอู่พลันหน้าแดงขึ้นทันใด
ทว่าเขาก็ยังคงระแวดระวังตัวเป็อย่างมากอยู่ดี ท่าทางของเด็กหนุ่มนั้นดูราวกับหมาป่าที่พร้อมจะพุ่งไปกัดคนอยู่ทุกเมื่อ ผมสั้นยุ่งๆ บนศีรษะของเขานั้นพากันตั้งชัน
ทว่าแม่นางน้อยนั้นกลับไม่ได้ก้าวเข้ามาในกระท่อม เพียงเบี่ยงกายไปด้านข้าง จากนั้นจึงมีสตรีอีกนางปรากฏขึ้นด้านหลัง
เสี่ยวอู่เมื่อเห็นสตรีนางนั้นก็พลันอ้าปากค้าง
สตรีตรงหน้าเขานั้นดูเปี่ยมไปความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของนางก็ราวกับเปล่งแสงได้
“ท่านคือพระโพธิสัตว์หรือ”
“คิกๆ” เสียงหัวเราะของเสี่ยวเถา สาวใช้ด้านข้างดังขึ้น
“ไม่ๆ นางคือเลี่ยงเลี่ยงของข้า” เฉินโย่วน้อยตื่นแล้ว จึงะโบอกขึ้นเสียงดัง
หลัวอู๋เลี่ยงก็อดไม่ไหวที่จะหัวเราะขึ้นเช่นกัน